“เดาได้แล้วว่าข้าคือผู้ใด?” เซวี่ยลี่มองชายหนุ่มร่างผึ่งผายรูปงามตรงหน้าเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ กล่าวออกมา น้ำเสียงมีอารมณ์สั่นไหวแอบซ่อน
หลินซือเย่าจ้องมองชายที่ว่าเป็นฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้า “ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงไม่ใช่หรือ?!” ชายที่มีวาสนาได้มองผ่านหน้ากันที่ร้านอาหารที่เมืองเยว่ขุย ชายที่สองวันก่อนตอนลอบเข้าวังหลวงและได้เห็นเขาแสดงอาการเกรี้ยวกราดต่อหน้าฮ่องเต้ต้าหุ้ย ย่อมเป็นเขา… ‘เซวี่ยลี่’ ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิง
“ไม่เพียงเท่านี้” เซวี่ยลี่ส่ายหน้าเบาๆ จับจ้องหลินซือเย่าพลางค่อยๆ เล่าเรื่องที่ฟังแล้วไม่น่าเชื่ออย่างยิ่งออกมา “เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อน หน้าร้อนคืนฝนพรำ ลูกชายที่ยังไม่ครบเดือนของข้า อยู่ๆ หายไปจากวังหลวงเซวี่ยหมิง กลายเป็นหลีเมาขนดำขลับมาแทนที่เขาในเปล…วันต่อมา ในและนอกเซวี่ยหมิงต่างลือกันว่า รัชทายาทเซวี่ยหมิง เดิมคือหลีเมาตัวหนึ่ง ข้าไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ พยายามตามหาร่องรอยลูกชายที่หายไปทุกวิถีทาง พอหาไปๆ…ก็หามาถึงยี่สิบสี่ปี” เล่าถึงตรงนี้ เซวี่ยลี่ก็มองหลินซือเย่ายิ้มถามว่า “เดาได้แล้วใช่ไหมว่าจากนี้ข้าจะพูดอะไร”
“ไม่ว่าคืออะไร ข้าล้วนไม่สนใจ” หลินซือเย่าอยู่ๆ หันหลังให้เซวี่ยลี่พลางกล่าวทิ้งท้ายเย็นชา ก่อนจะก้าวออกจากพระที่นั่งข้างที่หลี่เหวินซิว ยกให้พวกเขาคุยกันส่วนตัว
“หนีหน้าไม่อาจแก้ไขปัญหาอะไรได้…” เซวี่ยลี่ไม่ได้รั้งเขาไว้ เพียงแต่กล่าวสำทับตามหลังหลินซือเย่าที่กำลังจากไปอย่างรวดเร็ว
“ทำไม ไม่ยอมรับ? ชิ…เราก็บอกแล้วอย่างไร…” ฮ่องเต้ต้าหุ้ยหลี่เหวินซิวไม่รู้เดินเข้ามาในพระที่นั่งปีกข้างตอนไหน จับจ้องเซวี่ยลี่อยู่ที่ประตูตำหนัก พลางส่ายหน้ากล่าว
“หุบปาก!” เซวี่ยลี่ระงับอารมณ์ หรี่ตามองหลี่เหวินซิวคำรามตวาดเบาๆ ยกขาเตะไปที่ประตูพระที่นั่ง
“เฮ้อ…คิดจะไปจากวังหลวงเราตอนไหน คงไม่อาจเพราะเขาไม่รับเจ้าก็จะเอาแต่อยู่ต่อที่นี่นะ ที่นี่เป็นวังหลวงแผ่นดินต้าหุ้ย เป็นที่ข้ากับบรรดาสนมนางในวันๆ…”
“วางใจ ไปวันนี้เลย เจ้าคิดว่าข้าอยากอยู่นักหรือ” หากไม่ใช่ว่ารู้ว่าคนผู้นั้นวันที่แปดจะเข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาก็ขี้เกียจจะมารอที่นี่ เขาชินกับการที่ข้างกายมีภรรยาที่รักคนเดียวเคียงข้างแล้ว มองไปยังหลี่เหวินซิวที่วันๆ เปลี่ยนคนไปมาไม่หยุด หนึ่งเดือนไม่เคยใช้ชีวิตส่วนตัวซ้ำคน มองแล้วขัดตาจริง ถึงกับมีนางสนมไร้สมองไม่กลัวตายหลายคน มาเห็นตนอยู่คนเดียวในสวนดอกไม้ ก็คิดจะเข้ามาชิดใกล้ เหมือนว่าชีวิตนี้ขาดผู้ชายรักใคร่เอ็นดู เขาก็ไม่ใช่ว่ากลัวภรรยาหึง แต่กลัวตนเองสูญเสียการควบคุม ทำให้พวกนางบาดเจ็บโลหิตเปรอะเปื้อนวังหลวงแผ่นดินต้าหุ้ย ขายหน้าหลี่เหวินซิว
“เช่นนั้นก็ดี! ถือโอกาสบอกข่าวเจ้าข่าวหนึ่ง ได้ยินว่าวันนี้เขาจะไปจากเมืองหลวงแล้ว” หลี่เหวินซิวตะโกนดังใส่เซวี่ยลี่
อืม หากชายหนุ่มเย็นชาวิทยายุทธสูงส่งผู้นี้เป็นลูกชายเขาจริง ย่อมเป็นเรื่องดีของแผ่นดินต้าหุ้ย!อย่างไรชายหนุ่มนี่ก็มีทารกแฝดชายหญิงน่ารักมากคู่หนึ่ง มารดาก็คือบุตรสาวภรรยาเอกจวนอ๋องจิ้งแผ่นดินต้าหุ้ย เมื่อเป็นเช่นนี้ เซวี่ยหมิงกับแผ่นดินต้าหุ้ยก็นับว่าได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้ว ดูซิว่าเซวี่ยลี่จะเอาอะไรมาข่มขู่คุกคามแผ่นดินต้าหุ้ยอีก! ราษฎรชายแดนทางเหนือแผ่นดินต้าหุ้ยก็ไม่ต้องเอาแต่กังวลชาวเซวี่ยหมิงป่าเถื่อนอีกแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะมารุกรานชีวิตสงบสุขตนเองอีกแล้ว
ชิ…ตอนแรกทำไมไม่คิดใช้วิธีนี้นะ เอาลูกสาวแต่งไปเป็นพระชายารัชทายาทแผ่นดินเพื่อนบ้าน หากไม่ได้จริงๆ ก็เป็นพระสนมฮ่องเต้แผ่นดินนั้นก็ได้นี่…เช่นนี้แล้ว แผ่นดินต้าหุ้ยยังต้องเป็นกังวลการรุกรานของแผ่นดินเพื่อนบ้านอีกหรือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้ล้ำเลิศจริง ฮ่องเต้ต้าหุ้ยหลี่เหวินซิวคิดไปก็เดินเข้าห้องทรงอักษรไป ตัดสินใจไปดูว่ามีแผ่นดินเพื่อนบ้านใดคิดรุกรานแผ่นดินต้าหุ้ย จะได้คิดว่าจะยกลูกสาวให้ใครดี…
……
“ตัดสินใจไปวันนี้จริงหรือ” เหลียงเสวียนจิ้งขมวดคิ้วถามไม่ยินดีนัก อย่างไรเขาก็เป็นพ่อตา จะไปไม่หารือสักคำ บอกจะไปก็ไป!
“เมื่อวานได้บอก…เอินไจ่ไปแล้ว” หลินซือเย่าอึ้งไป จะให้เขาเอ่ยเรียกเหลียงเอินไจ่ว่าพี่ เรียกไม่ออกจริงๆ ตนเองอายุมากกว่าอีกฝ่ายถึงเจ็ดปีนะ
“เชอะ เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่บอกข้าเอง!” เหลียงเสวียนจิ้งไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าตนรู้สึกน้อยใจ เสียทีที่เขาเรียกว่า ‘ลูกเขย’ คนเขาแม้แต่ออกเดินทางก็ยังไม่บอกเขาสักคำ ในสายตามีพ่อตาอย่างเขาที่ไหน!
“ท่านพ่อตา หรือยังมีเรื่องอื่นให้ข้าจัดการ?” หลินซือเย่ามองเหลียงเสวียนจิ้งอย่างไม่เข้าใจ เขามาเมืองหลวงครั้งนี้เดิมก็เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้จบเรื่อง หากไม่ใช่ว่าเหลียงเอินไจ่เขียนมาในจดหมายหนักหนาสาหัส อย่างไรก็ย่อมไม่พาทั้งครอบครัวเดินทางไกลเช่นนี้ สุ่ยเลี่ยนกับทารกแฝดทนเดินทางไกลไม่ไหว
“หืม? ไม่มีอะไรก็ไม่ควรรั้งพวกเจ้าให้อยู่ต่อหรือ อย่างไรซวี่เอ๋อร์ก็ลูกสาวข้า ลูกสาวอยู่บ้านบิดามารดาสักสองสามวันต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” เหลียงเสวียนจิ้งถลึงตาโตไม่พอใจ
“อืม ไม่มีอะไรก็ดี” หลินซือเย่าได้คำตอบแล้วก็พยักหน้า ไม่สนใจเหลียงเสวียนจิ้งที่ฮึดฮัดไม่หยุด
“ท่านพ่อ” ซูสุ่ยเลี่ยนที่ช่วยจัดเก็บของในห้องนอนทารกแฝดเสร็จ เพิ่งก้าวออกมาก็ได้ยินเหลียงเสวียนจิ้งบ่นไม่หยุด สีหน้านางแทบอยากจะร้องไห้ เข้าไปคล้องแขนเขาไว้ ค่อยๆ เดินไปที่โต๊ะ ให้เขานั่งลง รินน้ำชาให้เขา น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้ากับอาเย่าอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ต้องจากไปสักวัน…นับประสาอันใดกับการที่ที่บ้านแม้ว่ามีชุนหลันดูแล แต่อย่างไรก็ต้องการพวกเรากลับไปดูแล…ท่านกับท่านแม่…หากมีเวลาว่าง ก็ไปเมืองฝานฮัวเยี่ยมพวกเราได้นี่”
“เจ้าใจร้าย ข้ากับแม่เจ้าล้วนอายุปูนนี้แล้ว จะทนเดินทางไกลบ่อยๆ ได้อย่างไรกัน!” เหลียงเสวียนจิ้งจ้องมองซูสุ่ยเลี่ยน เดิมเขายังคิดจะถือโอกาสนี้ให้พวกเขาพักที่นี่ไปเลย ไปหาซื้อบ้านละแวกนี้อยู่ คิดกล่อมพวกเขาให้อยู่เมืองหลวงต่อเสียเลย ไม่คาดว่าเขายังไม่ทันได้เริ่มหาบ้าน พวกเขาก็ว่าจะกลับแล้ว จุ๊ๆ…ลูกสาวแต่งแล้วก็คนนอก กล่าวได้ไม่ผิดสักนิด!
“ท่านพ่อ! ก็ไม่ได้ว่าให้พวกท่านไปเมืองฝานฮัวบ่อยๆ ปีหนึ่งก็มาพักสั้นๆ สักครั้งเปลี่ยนบรรยากาศ ท่านแม่บอกแล้วว่าที่นั่นอากาศบริสุทธิ์กว่าเมืองหลวง” จริงๆ นางหมดแรงจะรับมือบรรดาแม่รองและลูกสาวพวกนั้นต่างหาก แต่ไม่อยากบอกเหลียงเสวียนจิ้ง อย่างไรที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นางกับอาเย่าจะอยู่นาน อย่างไรก็ต้องไป ก็ไม่คิดอยากหาเรื่องให้มากความ ไม่อยากทำให้พวกเขาไม่พอใจ
“เชอะ! แม่เจ้าย่อมหลอกเจ้า” เหลียงเสวียนจิ้งแค่นฮึเบาๆ
“เอาอย่างนี้ ท่านพ่อ รอให้เซียวเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์โตอีกหน่อย พวกเราค่อยพาพวกเขามาเที่ยวเมืองหลวง ถึงตอนนั้นท่านอย่ารำคาญพวกเขาก็พอ” ซูสุ่ยเลี่ยนปลอบใจพลางลูบแขนเหลียงเสวียนจิ้งปลอบใจ
“ผู้ใดกล้ารำคาญพวกเขา!” เหลียงเสวียนจิ้งสองตาถลึงโต กล่าวเสียงดัง
“สายแล้ว ออกเดินทางกันเถอะ” หลินซือเย่าเก็บของเสร็จ ก็ยกห่อผ้าขึ้น เอ่ยเตือนซูสุ่ยเลี่ยน
ใช่แล้ว ซีเยว่ยังรออยู่ที่แถวประตูเมืองนะ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ ซวี่เอ๋อร์ขออำลาก่อน พวกท่านโปรดรักษาสุขภาพด้วย!” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มให้บิดามารดาและพี่ชายที่มาส่งนาง ประตูใหญ่จวนอ๋องจิ้งมีรถม้าสี่คันรอพวกเขาอยู่แล้ว นอกจากสองคันขามา ยังมีเพิ่มคันบรรทุกของอีกคัน ยังมีอีกคันเตรียมไว้ให้หลงซีเยว่กับชิงหลัน แน่นอน ซูสุ่ยเลี่ยนเพียงแค่บอกว่าอยากจะมีรถม้าอีกสักคันไว้เผื่อให้ทุกคนได้นั่งกันสบายๆ สักหน่อย
เฟิงไฉ่อวิ้นกุมมือซูสุ่ยเลี่ยนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ปากก็บ่นไม่หยุด ตั้งแต่ห้องโถงมาถึงประตูหน้า ยังคงเอาแต่พูดไม่หยุด
“ซวี่เอ๋อร์ มีเรื่องอะไรก็เขียนจดหมายมา คนไม่พอใช้ก็บอกมาได้ แม่จะให้พ่อบ้านเหลียงจัดการให้ อย่าได้ลำบากตัวเจ้าเอง”
“ท่านแม่วางใจ ลูกรู้แล้ว” สำหรับความเป็นห่วงเป็นใยของมารดา ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธน้ำใจ ซูสุ่ยเลี่ยนรับฟังอย่างว่านอนสอนง่าย พยักหน้าหงึกๆ
“เอาละ ในเมื่อจะไปก็รีบออกเดินทาง จะได้ทันหาที่พัก” เหลียงเสวียนจิ้งแสร้งทำรำคาญใจสองแม่ลูกที่เอาแต่อำลากันไม่เลิกรา หันไปโบกมือให้หลินซือเย่าพลางเร่ง
ทุกคนพากันขึ้นรถม้า ค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกล เหลียงเอินไจ่หันกลับเข้าจวนไปเก็บของ
“เอินไจ่ เจ้าทำอะไรนี่” เหลียงเสวียนจิ้งเดิมคิดจะตามลูกชายมาหารือเรื่องฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงตามลูกเขยไปคุยเรื่องลับอะไร แต่เห็นเหลียงเอินไจ่กำลังเก็บของใส่ห่อผ้า
“กำลังเตรียมออกเดินทางสักหน่อย ท่านพ่อมีอะไรหรือ” เหลียงเอินไจ่ไม่ได้กะว่าจะกล่าวให้กระจ่าง เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยได้ไปไหน ดังนั้นเหลียงเสวียนจิ้งก็ไม่ได้อยากจะถามต่อว่าเขาจะไปไหนทำอะไร
เพียงแต่ลากเขามาคุยถึงเจตนาของเซวี่ยลี่
“น้องเขยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่มีอะไร” เหลียงเอินไจ่แม้ว่าอยากรู้อยากเห็นว่าเซวี่ยลี่นั่นมาหาหลินซือเย่าด้วยเหตุใด แต่ตอนขากลับ หลินซือเย่าตอบกลับด้วยท่าทีที่ปกติยิ่งกว่าปกติว่า ‘ไม่มีอะไร’ เขาเองก็คิดว่าไม่มีอะไรจริงๆ
นับประสาอันใดกับเรื่องสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิง ตามที่ฮ่องเต้ตรัส เซวี่ยหมิงไม่เอาเรื่องแล้ว
“เฮ้อ หวังว่าไม่เป็นไรจริงๆ ข้ามักรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรซ่อนเร้น” เหลียงเสวียนจิ้งถอนหายใจเบาๆ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องนอนเหลียงเอินไจ่ เหมือนว่าจะคุยนาน
“ท่านพ่อ” เหลียงเอินไจ่เรียกเตือนอย่างไม่รู้ทำเช่นไร “ข้าจะออกเดินทางแล้ว” ความหมายคือเขาควรกลับห้องตนเองได้แล้ว
“อ้อ เจ้าไปของเจ้า” เหลียงเสวียนจิ้งโบกมือ ความคิดไปจมอยู่กับตอนที่เซวี่ยลี่กับหลินซือเย่าเข้าไปในพระที่นั่งปีกข้าง ไม่ทันสังเกตว่าเขากำลังอยู่ห้องลูกชาย มองสายตาประหลาดลูกชายแล้วก็กล่าวว่า “ต้องให้ไปส่งเจ้าที่ประตูไหม”
“ไม่ต้อง!” เหลียงเอินไจ่กุมขมับหมดแรง ยกห่อผ้าไปยังบิดาที่นั่งอยู่ “ท่านพ่อ ท่านกำลังกลุ้มใจอะไรอยู่”
“เจ้าไม่ได้ยินที่ฮ่องเต้ตรัสหรือ ระยะนี้บ้านเราจะมีงานมงคลใหญ่?” เหลียงเสวียนจิ้งหรี่ตามองลูกชาย “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าจะแต่งภรรยา แต่ว่า…” เขานิ่งไป เหลือบมองลูกชายในชุดธรรมดาสามัญ “ความเป็นไปได้นี้แทบเท่ากับศูนย์ ดังนั้นเลยคิดไม่ตก ไยฮ่องเต้ตรัสวาจาซ่อนเร้นเช่นนั้น”
“ฮ่องเต้แต่ไรมาก็ชอบตรัสอ้อมไปมา ไม่ใช่เป็นมาแค่วันสองวันนี้ ท่านพ่อควรชินได้แล้ว” เหลียงเอินไจ่หันไปมองพระอาทิตย์ที่เริ่มค่อนไปทางตะวันตกแล้ว แอบถอนหายใจ หากยังยื้อไว้อีก วันนี้ไม่รู้ว่าจะทันเข้าเซวี่ยหมิงไหม
“ครั้งนี้ออกจากบ้านไปทำอะไร” เหลียงเสวียนจิ้งอยู่ๆ เปลี่ยนประเด็น จ้องมองห่อผ้าในมือเหลียงเอินไจ่พลางถาม
“ตาม…” เหลียงเอินไจ่เบรกไว้ทัน คำว่า ภรรยา ยังไม่ทันได้ออกจากปาก ก็เก็บลงลำคอไปทันที เกือบไป! เขาแอบกลัว ยังไม่มั่นใจว่าก่อนหน้านี้นางคิดอย่างไรกับเขา เขาไม่กล้ายอมรับว่าตนจะไปเซวี่ยหมิงตามภรรยากลับมา เกิดไม่สำเร็จ ใช่ว่าเสียหน้าเขา ‘เหลียงเอินไจ่’ หรือ!
“ไม่ว่าตามอะไร จำไว้ว่ากลับมาอย่างปลอดภัย!” เหลียงเสวียนจิ้งไม่ทำอยากทำให้เขาลำบากใจ บุตรชายเขาลุกขึ้นจะเดินออกไป เขากลับกล่าวตามหลังไปว่า “ฝากทักทายหมอโอวหยางแทนข้าด้วย!”
เหลียงเอินไจ่ที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูได้ยินเข้าก็แทบจะลื่นหน้าคะมำ! ท่านพ่อเขารู้ตอนไหนว่าเขาจะไปเซวี่ยหมิง