บทที่ 92 กล่องดวงใจพังแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 92 กล่องดวงใจพังแล้ว

บทที่ 92 กล่องดวงใจพังแล้ว

ท่านหมอหม่าไม่ได้เจตนาทำให้ผู้อื่นตกใจ เมื่อครู่เขาได้เห็นตรง…นั้นของกู้ฉวนโซ่วด้วยตาตัวเองว่ามันบวมค่อนข้างหนัก และความเจ็บปวดอย่างสุดแสนนี้ก็ทำให้กู้ฉวนโซ่วถึงกับสลบเหมือด ในใจของหมอหม่าดูรู้ว่าหากรักษาไป เกรงว่าอย่างไรก็คงไม่หายแล้ว

“ท่านหมอพูดว่าอะไรเจ้าคะ” เฉาซื่อฟังที่ท่านหมอพูดคำนั้น ก็เหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ “เมื่อครู่ท่านหมอพูดอะไรนะเจ้าคะ” เฉาซื่อรีบคว้ามือท่านหมอหม่า รัวคำถามออกมาไม่หยุด “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร ที่ผ่านมาข้าเตะเบามากนะ!”

“เฉาซื่อ ปล่อยมือเสีย!” ท่านหมอหม่าค่อนข้างกลัวเฉาซื่อที่กำลังสติหลุดไปแล้ว ใช้แรงกระชากมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเฉาซื่อ จากนั้นก็ถอยห่างออกไปไกลสองสามก้าว หากนำเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้มาพูดแล้วล่ะก็ เฉาซื่อช่างน่ากลัวเกินไปหน่อยจริง ๆ ไม่ใช่เท้านั้นหรอกหรือที่นางใช้เตะสามีของตัวเอง ท่านหมอหม่าไม่กล้าอยู่กับสตรีผู้นี้แล้ว หากเฉาซื่อเป็นบ้าขึ้นมาจนเตะตัวเองเล่า? ท่านหมอหม่าแค่คิดยังไม่กล้า เขากุมเป้ากางเกงแล้วพูดว่า “เจ้าเตะจนมันพังแล้ว บวมขนาดนั้น ต่อไปคงจะใช้การไม่ได้แล้ว” พูดจบเขาก็หยิบห่อยาเพื่อจะได้รีบออกไปจากบ้านตระกูลกู้เสียที

เฉาซื่อเห็นท่านหมอหม่ากำลังจะจากไปง่าย ๆ ก็รีบวิ่งมาขวางเขาเอาไว้ด้านหน้า พูดอย่างข่มขู่ว่า “ถ้าท่านหมอหม่ากล้าเอาเรื่องของสามีข้าออกไปพูดแม้แต่นิดเดียว ข้าไม่ปล่อยท่านไปแน่!”

เหตุใดท่านหมอหม่าจะไม่รู้ว่า สิ่งที่เหล่าบุรุษหวาดกลัวที่สุดก็คือการที่คนอื่นรู้ว่าของตัวเองใช้การไม่ได้ ตอนนี้กล่องดวงใจของกู้ฉวนโซ่วใช้การไม่ได้แล้ว ถ้าคนในหมู่บ้านนี้รู้แล้วเขาจะมีหน้าสู้ใครได้? ท่านหมอหม่าจึงรีบพยักหน้ารับปาก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่พูดออกไปแน่นอน!”

เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาจากท่านหมอหม่า ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เฉาซื่อจะรั้งเขาไว้ นางนั่งร้องไห้ราวฟ้าจะถล่มคนเดียว ก่อนจะสลบไปพร้อมกับกู้ฉวนโซ่วอย่างเงียบงัน

ภายในห้องไร้เสียงการเคลื่อนไหว เฉาซื่อนำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้มาคิดทบทวน คิดถึงตอนเช้าที่กู้ฉวนโซ่วยังดี ๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าถ้ากู้ฉวนโซ่วฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าของตัวเองใช้การไม่ได้อีกแล้ว เขาจะเป็นบ้าหรือไม่! เฉาซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นซุนซื่อที่อยู่อีกห้องนั่น แค้นเสียจนอยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของนาง

ท่านหมอหม่าที่วิ่งออกมาจากบ้านตระกูลกู้หันมามองบ้านใหญ่ตระกูลกู้อย่างอกสั่นขวัญแขวน ลูบหน้าอกตัวเองเบา ๆ เพื่อให้ขวัญที่หายของตัวเองกลับมา เฉาซื่อช่างกล้าหาญนัก ถึงกลับทำลายกล่องดวงใจสามีตัวเองได้ลงคอ

หลายปีแล้วที่ในหมู่บ้านไม่มีข่าวร้ายแรงเกิดขึ้น ถ้าพูดออกไปในหมู่บ้านจะต้องแตกตื่นอย่างแน่นอน แต่หมอต้องมีจรรยาบรรณ ท่านหมอหม่าจึงทำเพียงกลืนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดลงไปในปาก ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนกลับบ้านไป

เรือนใหญ่และเรือนตะวันตกของตระกูลกู้เงียบสงัดไปทั่วบริเวณ พอเรื่องเมื่อตอนเช้าผ่านไปแล้ว ที่นี่ก็เงียบงัน แต่ทางด้านกู้เสี่ยวหวานกลับคึกคักอย่างมาก

หลังจากท่านป้าจางกลับไป กู้เสี่ยวหวานก็หยิบเงินสองสามตำลึงกับถุงข้างเข้าบ้าน หลังจากเก็บเงินกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เด็ก ๆ ทั้งสี่ก็มองรวมกันที่ห้องใหญ่เพื่อพูดคุยกัน

เพราะวันนี้อากาศหนาวเกินไปแล้ว ด้านนอกยังมีแต่หิมะ แม้กู้เสี่ยวหวานจะอยากปาหิมะเล่นมากก็ตาม แต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยจะเหมาะนัก เด็ก ๆ ยังมีอายุน้อยเกินไป ถ้าเล่นสนุกข้างนอกจนตัวแข็งก็ไม่คุ้มค่า กู้เสี่ยวหวานทราบมาว่าในสมัยโบราณความรู้ทางการแพทย์มีค่อนข้างจำกัด ได้ยินว่าหากเด็ก ๆ เป็นหวัดก็อาจจะตายได้

กู้เสี่ยวหวานแค่คิดยังไม่กล้า เพื่อความปลอดภัยแล้วให้เด็ก ๆ อยู่ในบ้านดีกว่า

ไม่รู้ว่ากู้หนิงอันเอาหนังสือเล่มเล็กมาจากไหนออกมา และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหนังสือเล่มนี้อยู่มาตั้งแต่ปีไหนแล้ว มันถูกเปิดจนเปื่อยยุ่ย กู้เสี่ยวหวานมองสำรวจก็พบว่าตัวเองรู้จักตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้ทุกคำ คาดว่าเป็นช่วงยุคสมัยที่เจริญแล้วเหมือนกันกับตัวเอง เป็นไปได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่ถูกละลายหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์แน่แล้ว

กู้หนิงอันอ่านหนังสืออย่างจ่อและมีสมาธิ บางครั้งยังใช้นิ้วเขียนที่กลางฝ่ามือตัวเอง ราวกับเขากำลังฝึกเขียนตัวอักษร กู้เสี่ยวหวานมองแล้วก็ปลื้มใจและรู้สึกผิดเล็กน้อยเช่นกัน ตัวเองมาที่นี่ครึ่งปีแล้ว น้องชายและน้องสาวชอบอะไรบ้างก็ไม่รู้เลย

กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงอายุหกขวบแล้ว ถึงวัยที่จะต้องเรียนหนังสือ กู้เสี่ยวอี้เพิ่งสี่ขวบ ยังสามารถผ่อนผันได้ แต่ไม่ว่าใครก็ต้องได้เรียนหนังสือ

ในโลกก่อนกู้เสี่ยวหวานจบการศึกษาระดับปริญญาเอกแล้ว ในท้องมีหมึกดำ*อยู่เต็ม เขียนอักษรได้สวยราวกับคัดลายมือ และยังวาดภาพหมึกจีนได้งดงามอีกด้วย ครั้นเห็นกู้หนิงอันชอบเรียนหนังสือ นางก็ไม่รู้ว่าควรไปหาโรงเรียนเอกชนที่ไหนที่สามารถส่งกู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงเข้าไปเรียนได้

*หมายถึง ความรู้

แต่ก่อนอื่นกู้เสี่ยวหวานหมายมั่นในใจว่าก่อนที่จะส่งน้องชายและน้องสาวเข้าเรียน ตนจะต้องสอนให้พวกเขาเขียนตัวอักษรให้ได้เสียก่อน ถึงตอนนั้นค่อยเข้าเมืองเพื่อซื้อพู่กันกับหมึกมา

พื้นภายในห้องเป็นดินที่ถูกอัดจนแน่นแล้ว แต่หากใช้ของแหลม ๆ หน่อย ก็น่าจะพอเห็นชัดเจนอยู่ กู้เสี่ยวหวานหากระเบื้องดินเหนียวที่ทำแตกก่อนหน้านี้ แล้วเขียนคำว่า ‘กู้’ คำใหญ่ ๆ ลงบนพื้น

กู้หนิงผิงกับกู้เสี่ยวอี้ที่วิ่งเล่นวุ่นวายภายในห้องรีบวิ่งไปนั่งข้างกู้เสี่ยวหวานทันที พวกเขาเห็นพี่สาวใช้กระเบื้องดินเผาในมือวาดอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจบนพื้นดิน ทั้งสองแปลกใจมากนั่งเงียบ ๆ มอง ไม่นานตัวอักษรที่เป็นระเบียบ และประณีตก็ปรากฏตรงหน้าทั้งสาม

กู้หนิงผิงกับกู้เสี่ยวอี้รู้แค่ว่าพี่สาวตนเขียนอักษรออกมา มันสวยเหมือนกับตัวอักษรบนหนังสือของกู้หนิงอัน ทำให้พวกเขามองอย่างโง่งม แล้วมองพี่สาวอย่างนับถือที่เขียนตัวอักษรออกมาได้สวยขนาดนี้

“ท่านพี่ ๆ ท่านเขียนอะไรน่ะ สวยจังเลย!” กู้หนิงผิงมองพี่สาวที่นับวันยิ่งเก่งกาจอย่างนับถือ ระดับการชื่นชมพี่สาวก็ยิ่งระงับเอาไว้ไม่อยู่

“นี่ก็คือคำว่ากู้!” หลังจากกู้เสี่ยวหวานเขียนเสร็จ ก็พูดอธิบาย

“เกอ*รีบมาดูเร็ว ท่านพี่เขียนหนังสือแหละ!” กู้เสี่ยวอี้เรียกกู้หนิงอันอย่างตื่นเต้น พอกู้หนิงอันได้ยินก็รีบวางหนังสือในมือ แล้ววิ่งมาหาก็เห็นตัวอักษรที่ประณีตเรียบร้อยตัวหนึ่งอยู่บนพื้น

*แปลว่า พี่ชาย

“ท่านพี่ นี้คือคำว่าอะไรหรือ?” กู้หนิงอันไม่เคยเรียนหนังสือและไม่เคยเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเช่นกัน ยิ่งไม่เคยมีคนสอนเขาด้วย โดยปกติเขาชอบอ่านหนังสือ แม้จะไม่รู้ว่าในนั้นเขียนว่าอะไรหรือมีความหมายอะไร แต่เขาก็ยังชอบคัดตัวอักษรทีละขีด ๆ แต่ก็เขียนได้ไม่สวยนัก คิดถึงตัวอักษรที่เขาเขียนแล้วมองตัวอักษรที่พี่สาวเขียน ก็รู้ว่าระดับของทั้งสองนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

……………………………………………………………………………………………………………………. สารจากผู้แปล

บ้านสามก็คือพัง ขณะที่บ้านเสี่ยวหวานอยู่อย่างสงบสุข

ถึงเวลาต้องสอนวิชาความรู้ให้น้องแล้ว เสี่ยวหวานรับหลายหน้าที่มากอะ

ไหหม่า(海馬)