บทที่ 93 สอนเขียนหนังสือ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 93 สอนเขียนหนังสือ

บทที่ 93 สอนเขียนหนังสือ

“นามสกุลของพวกเรา!”

“กู้!” กู้หนิงอันพูด หลังจากนั้นเขาก็ลูบไปตามรอบโค้งเว้าของตัวอักษรอย่างหลงใหลแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านเขียนอักษรสวยมากจริง ๆ!”

“เมื่อก่อนท่านพ่อเคยสอน!” กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าเด็ก ๆ จะถามตัวเอง จึงรีบเอ่ยปากอธิบายเมื่อเห็นสายตาสงสัยของน้องชายและน้องสาวที่มองตัวเอง แต่กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่า พ่อของร่างเดิมกู้เสี่ยวหวานก็น่าจะไม่รู้หนังสือเหมือนกัน!

“อืม..ท่านพ่อเก่งจังเลย!” กู้เสี่ยวอี้ตบมือพูด

กู้เสี่ยวหวานได้ยินกู้เสี่ยวอี้พูดแบบนั้นก็พลันเข้าใจว่าตอนที่ท่านพ่อเสียชีวิต เด็กพวกนี้ยังเล็กมาก สรุปแล้วท่านพ่อสามารถอ่านหนังสือได้หรือไม่นั้นพวกเขาก็น่าจะไม่รู้ อีกทั้งคนในชนบทคนปกติสนใจแค่เรื่องกินอิ่มท้องหรือไม่ การที่บิดาของพวกเขารู้จักตัวอักษรไม่กี่คำก็คงไม่มีใครสนใจหรอก

“ใช่แล้ว ท่านพ่อของพวกเราต้องเก่งแน่อยู่แล้ว!” กู้หนิงผิงพอพูดถึงบิดาตน นัยน์ตาก็ฉายแววเคราพนับถือออกมา ท่านพ่อของเขาสามารถสอนอะไรมากมายให้พี่สาวของเขาขนาดนั้น น่าเสียดายที่ตัวเองในตอนนั้นยังเล็กเกินไป ย่อมไม่สามารถเรียนเขียนหนังสือกับท่านพ่อได้ ในใจของกู้หนิงผิงจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานเห็นกู้หนิงผิงที่จู่ ๆ เปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วก็รีบถามว่า “เป็นอะไรไป?”

“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าตัวเองเด็กเกินไป ถ้าข้าโตมากกว่านี้อีกนิดก็คงสามารถเรียนหนังสือกับท่านพ่อพร้อมกับท่านพี่ได้ เรียนตกปลาเป็น เรียนหาโสมเป็น เรียนขุดหน่อไม้ เรียนเขียนอักษร! แต่ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ข้ายังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!” เสียงของกู้หนิงผิงสั่นเทาเล็กน้อย เขารู้สึกเสียดายอย่างมาก

ความรู้สึกของกู้หนิงผิงแทงเข้ากลางใจที่อ่อนไหวที่สุดของกู้หนิงอัน ที่กู้หนิงผิงพูดไม่มีตรงไหนผิดเลย พวกเขาทั้งสองเป็นผู้ชายแต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ในบ้านมีแค่พี่สาวคนเดียวที่จัดการทุกอย่าง ให้พวกเขากินอิ่ม ให้พวกเขากินอาหารดี ๆ หาเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเขาใส่ ซื้อผ้านวมใหม่ หาเงิน พี่สาวที่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ให้ผู้หญิงออกไปทำการค้า ออกไปข้างนอก แต่พวกเขาที่เป็นผู้ชายกลับทำอะไรไม่เป็นเลย

กู้หนิงอันในใจรู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจ มันทำให้เขายิ่งอารมณ์ดิ่งลงเหว!

คล้ายกับว่านางเข้าใจความรู้สึกของน้องชายตัวเล็กแล้ว ในใจของกู้เสี่ยวหวานก็ตื้นตันใจ และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“พวกเจ้าสองคนยังเด็ก พ่อกับแม่ต้องคอยชี้นำข้าที่เป็นพี่สาวคนโตอย่างไรเล่า เพื่อให้ข้าสามารถดูแลพวกเจ้าได้ รอพวกเจ้าโตแล้วค่อยดูแลพี่ดีหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดให้ตัวเองดูดีแต่ไม่เป็นความจริงออกมา น้องชายและน้องสาวตรงหน้านางรู้สึกว่าไม่ว่านางจะพูดเรื่องอะไรมันก็ซับซ้อนทั้งนั้น พวกเขารับรู้ได้ว่าชีวิตนั้นไม่ง่าย ต้องคิดถึงความลำบากของพี่สาว คิดถึงการปกป้องดูแลพี่สาวจากอุปสรรค ทั้งหมดนี้มันก็เพียงพอแล้ว กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าทั้งหมดที่ตัวเองทำ แค่ได้เห็นสายตาเป็นห่วงของน้อง ๆ มันก็ทำให้นางรู้สึกคุ้มค่าแล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจคำพูดของตัวเองหรือไม่ กู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่าเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตนี้ของนางคือทำให้น้องทั้งสามเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของกู้เสี่ยวหวานมีอยู่เจ็ดร้อยกว่าตำลึง นี่ถือว่าเป็นเงินก้อนโต แม้ตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินอะไรมาก แต่ต่อไปต้องมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกมาก เด็กชายทั้งสองต้องเรียนหนังสือ และนั่นยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

ยังมีเรื่องการหาเงินเข้าบ้านอีก ซึ่งนางคิดว่าการหาเงินโดยการหาของป่าบนภูเขาไปขายไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไร ถ้าสามารถซื้อที่นาไว้ให้คนอื่นเช่า ก็สามารถนั่งอยู่บ้านรอรับเงินค่าเช่าได้อย่างมั่นคง แต่นี่เป็นเรื่องของอนาคตแล้ว

กู้เสี่ยวหวานหมายมั่นไว้ในใจว่ารอให้ผ่านพ้นการฉลองปีใหม่และเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ นางจะส่งกู้หนิงผิงกับกู้หนิงอันไปโรงเรียน แต่ตอนนี้นางต้องสอนพวกเขาเขียนหนังสือก่อน อันดับแรกก็คือเขียนชื่อของตัวเอง

หมึกหรือกระดาษของเหล่านี้นางยังไม่มีเลยสักอย่าง เช่นนั้นก็เขียนตรงพื้นนี้แหละ

“หนิงอัน หนิงผิง พี่สอนพวกเจ้าเขียนหนังสือดีหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าความรู้คือพลังที่ดีที่สุด

หลังจากกู้เสี่ยวหวานสอนคำว่ากู้หนึ่งคำแล้ว ก็ให้กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงฝึกเขียนข้างกัน เมื่อนางคิดว่าใกล้จะได้เวลากินข้าวแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็รีบเข้ามาภายในห้องครัวเล็กและเตรียมอาหารกลางวันของวันนี้

วันนี้เป็นวันก่อนส่งท้ายปี กู้เสี่ยวหวานเตรียมพร้อมจัดการอาหารเย็นของวันนี้ ด้วยอยากให้ทุกคนได้กินอาหารดี ๆ สักมื้อ

ส่วนอาหารกลางวันนั้น กู้เสี่ยวหวานหั่นเนื้อมาหนึ่งเส้น หลังจากล้างเนื้อจนสะอาดก็นำมาหั่นเป็นแผ่นบาง ๆ เปิดน้ำใส่หม้อ จากนั้นก็ใส่เนื้อลงไป ตามด้วยหัวไชเท้าที่หั่นเรียบร้อยแล้ว ต้มเป็นน้ำแกงเนื้อหัวไชเท้า กินพร้อมกับข้าวฟ่าง ทั้งสี่คนกินอย่างเอร็ดอร่อย หลังกินข้าวเสร็จ กู้เสี่ยวหวานก็พาพวกเขาเดินวนรอบห้องก่อนขึ้นเตียงนอนพักผ่อน จนกระทั้งเวลาประมาณบ่ายสามโมง กู้เสี่ยวหวานก็ลุกขึ้นมา

ด้านนอกยังมีหิมะโปรยปรายลงมา กู้เสี่ยวหวานเตรียมตัวทำอาหารเย็น โดยไม่ลืมให้กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงไปเชิญท่านป้าจางมากินข้าวกับตัวเองด้วย เหตุใดกู้เสี่ยวหวานจึงรีบไปเชิญท่านป้าจางมาเร็วขนาดนี้น่ะหรือ? เพราะนางกลัวว่าท่านป้าจางจะเตรียมทำกับข้าวก่อนฉลองกับพวกนาง ถ้าไปเชิญช้าเกินไปจนท่านป้าจางทำกับข้าวแล้วจะเป็นการสิ้นเปลือง

เมื่อกู้เสี่ยวอี้ได้ยินว่าเย็นนี้ที่บ้านจะมีแขกมา นางก็ดีใจจนลุกขึ้นมาจากผ้าห่มอันอบอุ่น แล้ววิ่งไปห้องครัวช่วยกู้เสี่ยวหวานเตรียมกับข้าวด้วยกัน

กู้เสี่ยวหวานคิดว่าจะทำอาหารจานผัดสองสามอย่างกินฉลองปีใหม่ด้วยกันกับท่านป้าจาง

หลังจากพ่อแม่ของเจ้าของร่างนี้จากไป พวกเขาสี่คนก็มีชีวิตรอดอยู่ได้เพราะท่านป้าจาง นางมักส่งข้าวส่งอาหารมาให้กิน ถ้ากู้เสี่ยวหวานยุคปัจจุบันไม่ย้อนมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ กู้เสี่ยวหวานคงตายไปแล้วจริง ๆ เดาได้ไม่ยากว่าชีวิตของเด็กสามคนนี้จะต้องพึ่งท่านป้าจางแน่

ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกซาบซึ้งในตัวท่านป้าจางมาก ถ้าไม่มีท่านป้าจางก็คงไม่มีชีวิตรอด ก่อนกู้หนิงอันจะออกไป กู้เสี่ยวหวานฝากคำพูดให้กับกู้หนิงอันสองสามประโยคด้วย นางกลัวว่าถึงเวลาแล้วท่านป้าจางจะไม่ยอมมา

เย็นนี้กู้เสี่ยวหวานเตรียมอาหารหนักนิดหน่อย มีน้ำแกงกระดูกหมู ผัดหน่อไม้ดองใส่หมูสับ และยังทำผัดเนื้อหัวผักกาดเหลือง กู้เสี่ยวหวานล้างเนื้อที่ซื้อมาให้สะอาดแล้วจัดการแขวนไว้บนคาน ไม่ได้คิดจะเอามาทำอาหารในเย็นนี้

คนทั่วไปในชนบทไม่กินเครื่องในหมูพวกนี้ เพราะคิดว่ามันสกปรก กลิ่นไม่ดี กู้เสี่ยวหวานยังเป็นหญิงสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง หากทำอาหารที่ท่านป้าจางไม่เคยกินมาก่อนในปริมาณมากเกินไป ก็ไม่รู้ว่าท่านป้าจางจะสงสัยหรือไม่

…………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ท่านป้าจางสมควรได้รับการตอบแทนบุญคุณอย่างดีเลยล่ะค่ะ ไม่มีท่านป้าจางก็คือเด็กสี่คนนี้ไม่รอดแน่

ไหหม่า(海馬)