บทที่ 107 ภายในอุโมงค์วิญญาณ

ความมืดมิดฉับพลันที่โอบล้อมร่างทำให้ชิงอวี่ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดไปชั่วขณะ แต่นางรู้สึกได้ว่านางกำลังถูกคนผู้หนึ่งกอดปกป้องอยู่ในอ้อมแขน อยู่ใกล้ถึงขนาดที่นางได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากคนผู้นั้น เป็นกลิ่นที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยได้อย่างน่าประหลาด

ไม่รู้ว่าหุบเหวนี้ลึกเท่าไร แต่ตอนนี้ร่างของนางยังคงร่วงหล่นไปไม่หยุด ความรู้สึกที่เท้าไม่อาจสัมผัสพื้นดินได้ทำให้ใจอยู่ไม่เป็นสุขไม่น้อย

สุดท้าย ในตอนที่ชิงอวี่รู้สึกมึนงงเพราะความง่วงงุน เท้านางก็เหยียบลงบนบางสิ่งบางอย่างสัมผัสนุ่มเท้า

หือ? ตกลงมาถึงพื้นแล้วหรือ…..

แต่….. เหตุใดพื้นจึงนุ่มนัก?

ชิงอวี่จึงก้มหน้าลงมองที่เท้าตน เมื่อนัยน์ตาปรับสภาพจนมองเห็นในความมืดได้แล้ว นางจึงพบว่าสิ่งที่นางเหยียบอยู่คือมือมนุษย์ขนาดเล็กข้างหนึ่ง คล้ายกับจะเป็นมือของเด็กทารก

ร่างนางพลันแข็งค้าง รีบกระโดดถอยไปสองก้าว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองพื้นที่โดยรอบ พบว่าทั่วทั้งพื้นมีแต่ซากศพเด็กทารกเต็มไปหมด ไม่มีร่างใดสมประกอบ ต่างมีอวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่งหายไปทั้งสิ้น

ใบหน้านางซีดขาวลงในทันที

“กลัวหรือ?” มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่นาง น้ำเสียงที่ดังมาทุ้มนุ่มลึก

ชิงอวี่หันไปมองช้า ๆ แม้รอบกายจะมืดสนิท แต่นัยน์ตาสีม่วงของชายหนุ่มกลับส่องแสงเรืองจาง ๆ น่าดึงดูด

“เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่ด้วยเล่า?” ชิงอวี่ประหลาดใจเล็กน้อย นางบอกให้ไป๋จือเยี่ยนมาไม่ใช่หรือ? คนผู้นี้ฐานะสูงส่งเกินไป นางจะให้เขามาเสี่ยงกับพวกนางได้อย่างไร??

โหลวจวินเหยามองใบหน้านางที่ราวกับจะบอกว่า “มาทำไม?” จากนั้นจึงหรี่ตาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ข้าเพิ่งช่วยเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับถามข้าเช่นนี้หรือ? อะไรกัน? เป็นเพราะเจ้าเห็นข้าพึ่งพาไม่ได้เท่าไป๋จือเยี่ยน? เจ้าถึงได้แอบส่งจดหมายนั่นไปให้เขาหรือ?”

ชิงอวี่ถูกถามรัว ๆ เช่นนั้นก็ชะงักไป เหตุใดเขาจึงต้องไม่พอใจด้วย?

แล้วที่ว่าแอบหมายความว่าอย่างไร?

นางส่งโร่วโร่วให้นำข้อความไปส่งอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา อีกทั้งไป๋จือเยี่ยนได้รับข่าวแล้วจะไม่ไปบอกเขาได้อย่างไร? สุดท้ายเขาก็มาอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?

แต่แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น ชิงอวี่ก็ยังเลือกใช้คำนุ่มนวล คำอธิบายที่ออกจากปากนางจึงเป็น “เป็นเพราะท่านมีตำแหน่งที่น่าเคารพนับถือมากไม่ใช่หรือไร? อีกทั้งท่านยังไม่ใช่นักปรุงยา ดังนั้นจึงไม่น่าช่วยอะไรได้มาก ที่สำคัญคือข้าไม่อยากให้ท่านต้องมาเสี่ยงภัย หากร่างกายอันสูงส่งของท่านได้รับบาดเจ็บขึ้นมาอีกข้าจะทำอย่างไร?”

โหลวจวินเหยาเหลือบมองนางด้วยใบหน้าเรียบเฉย มองอยู่นานก่อนจะเอ่ยคำถามประหลาดขึ้น “เช่นนั้นเจ้าเป็นห่วงร่างกายข้าหรือ?”

ชิงอวี่ได้ยินแล้วชะงักไปไม่น้อย….. เหตุใดจึงฟังดูเหมือนไม่ค่อยถูกต้องกัน? หากแต่นางก็ไม่ใส่ใจอันใดมาก เพียงแต่พยักหน้ารับตามตรง “ข้าเสียเวลาและความตั้งใจไปมากกับการรักษาร่างกายของท่าน! ข้าย่อมต้องเป็นห่วง!”

ได้ยินดังนั้นใบหน้าของชายหนุ่มก็ดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “แล้วเจ้ามีธุระอันใดจึงต้องเดินทางมายังสถานที่โสมเช่นนี้?”

ชิงอวี่ถอนหายใจยาว “เรื่องมันยาวมาก พวกข้าไม่มีจิตคิดร้ายใด แต่อีกฝ่ายคงจะสัมผัสจุดมุ่งหมายของพวกข้าได้จึงชิงลงมือก่อน”

พูดถึงตรงนี้นางก็สะดุ้งไป “ท่านเห็นสหายข้าหรือไม่? นางสวมชุดดำทั้งตัว”

“ไป๋จือเยี่ยนจะช่วยนางเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” โหลวจวินเหยาตอบ นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจเล็กน้อย “หากเจ้าต้องการทำสิ่งใด ข้าใช้ให้คนไปทำแทนเจ้าได้ เหตุใดเจ้าจึงต้องทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้? บาดแผลเจ้าเพิ่งจะหายดีไม่ทันไร นั่งอยู่นิ่ง ๆ บ้างไม่ได้เลยหรือ?”

น้ำเสียงเขาเจือแววโกรธอย่างหาได้ยาก ชิงอวี่ที่คล้ายกับจะถูกเขาตำหนิประหลาดใจไม่น้อย

นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่นางถูกผู้อื่นดุเช่นนี้

หากเป็นในสถานการณ์อื่น นางคงเถียงคำไม่ตกฟาก หากแต่….. คำพูดเหล่านั้นถูกเปล่งออกมาด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง นางจึงพูดไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง

ครู่ใหญ่ ๆ นางจึงเอ่ยออกมาได้ “ข้าเคยช่วยชีวิตท่านมาก่อน ท่านเองก็ช่วยชีวิตข้าไว้เช่นกัน ครั้งก่อนข้าเคยกล่าวไว้ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเรา….. ไม่ติดค้างสิ่งใดกันอีก เช่นนั้นแล้วข้าจะเอ่ยปากขอร้องท่านได้อย่างไร…..”

โหลวจวินเหยากลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง น้ำเสียงที่เอ่ยหยอกล้อ ที่ริมฝีปากคลี่เป็นรอยยิ้มหนึ่ง “ไป๋จือเยี่ยนเป็นลูกน้องข้า เจ้าเอ่ยปากขอร้องเขากับขอร้องข้าแตกต่างกันอย่างไร? อีกทั้งข้ายังจำได้ว่าข้าเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ที่หุบเขาพญายมอีกครั้งหนึ่ง รวมครั้งนี้เข้าไปเจ้าก็ติดหนี้ชีวิตข้าสองครั้งสองคราแล้ว”

จิ้งจอกน้อยเกลียดการติดค้างผู้อื่นมากที่สุดไม่ใช่หรือไร? ข้าควรจะทำให้นางติดค้างข้ามากขึ้นเรื่อย ๆ กระมัง ใครใช้ให้นางใจแข็งทั้งยังไร้หัวใจเช่นนี้เล่า?

เป็นไปอย่างที่เขาคิดทุกประการ ชิงอวี่ได้ยินแล้ว ดวงหน้าเล็กก็ยับยู่ยี่ลงในพลัน หน้าตาดูเคร่งเครียดมาก

เพื่อสมุนไพรต้นเดียว นางยอมแลกกับอะไรไปมากมายนัก กระทั่งบาดเจ็บจากการใช้หนี้บุญคุณ น่าจะนับว่าเป็นการใช้คืนนับร้อยเท่าได้แล้ว หากแต่ตอนนี้เขากลับช่วยชีวิตนางไว้ ดังคำกล่าวว่าช่วยชีวิตคนได้กุศลถึงชั้นฟ้า แล้วนางจะตอบแทนเขาอย่างไร?

เห็นนางมีท่าทางสิ้นหวังเช่นนั้น โหลวจวินเหยายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกขบขัน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “เจ้าไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ ใช้คืนทีละน้อยก็ได้ ข้าไม่หนีเจ้าไปไหนแน่ แต่หากวันใดเป็นเจ้าหนีไปแทน ข้าก็มีทางตามหาเจ้า”

ก็คล้ายกับที่เขาปิดประกาศตามหาตัวนางนานถึงสองปีบนแดนธาราขาวกลับไร้ผล แต่สุดท้ายนางก็มาปรากฏยังถิ่นของเขาอยู่ดีมิใช่หรือไร?

หรือก็คือทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต

ใบหน้าชิงอวี่ยิ่งดูเคร่งเครียดยู่ยี่กว่าเดิม นางทำเพียงหันหลังเดินจากไปเท่านั้น กระทั่งศพทารกที่นางเคยเกรงกลัวที่สุดยังไม่สะเทือนนางอีกต่อไป อาจเป็นเพราะนางกำลังโกรธ ความกล้าจึงเพิ่มสูงขึ้นก็เป็นได้

โหลวจวินเหยาเดินตามหลังนางไปอย่างขบขัน

แม้รอบกายจะมืดสนิทจนแทบไม่เห็นสิ่งใด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อคนทั้งคู่ที่สามารถมองเห็นในความมืดได้ แต่ยิ่งทั้งสองคนเดินลึกเข้าไป กลิ่นอายชั่วร้ายก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น จนกระทั่งขนอ่อนนางลุกทั่วร่าง

นางเงยหน้าขึ้นมอง เห็นบางอย่างสีขาวนับไม่ถ้วนกำลังลอยอยู่ด้านบน พวกมันลอยร่อนเร่ไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย

สิ่งนั้นคือฝูงวิญญาณที่มีรูปร่างเช่นมนุษย์ ผมเผ้ารุงรัง กำลังลอยไปมา เมื่อเข้ามาใกล้จึงพบว่าร่างนับร้อยนับพันที่ล่องลอยอยู่ด้านบนนั้นคือคนที่ตายโดยการแขวนคอ ต่างก็ใบหน้าเขียวคล้ำ ลิ้นยืดยาวออกมา ส่วนร่างก็ส่ายไปมาราวกับไร้กระดูก

เงาร่างหลายเงาลอยผ่านมาทางพวกนางเป็นบางครั้ง ดูท่าทางสงสัยใคร่รู้ในตัวคนสองคนที่จู่ ๆ ปรากฏตัวขึ้นนัก เหล่าวิญญาณพลันรวมกลุ่มกันกระซิบกระซาบเสียงเบา แต่กลับได้ยินมาถึงพวกนาง

“เหตุใดสองคนนั้นจึงดูแตกต่างพวกเรานักเล่า?”

“ข้าว่าอาจเพราะพลังบำเพ็ญของพวกเขาคงยังต่ำต้อยอยู่กระมัง ดังนั้นร่างวิญญาณจึงดูผิดแปลกไป เห็นไหม ยังลอยไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าสงสารพวกเขาจัง”

“อย่าพูดอีกเลย สองคนนั้นน่าเวทนานัก”

“…..”

ชิงอวี่ “…..”

โหลวจวินเหยา “…..”

กล้าพูดว่าเขาเป็นวิญญาณงั้นหรือ? พวกเจ้าอยากลิ้มรสความรู้สึกที่จิตวิญญาณถูกพลังซัดจนแตกสลายไปจนสิ้นหรือไร?

เคราะห์ดีที่แม้วิญญาณที่สิ้นชีพจากการแขวนคอจะมีรูปร่างน่ากลัวไปบ้าง แต่ก็ดูไม่ได้มีจิตมุ่งร้าย เพียงแต่ลอยเข้ามาใกล้เพราะความสงสัยเท่านั้น จากนั้นก็ลอยห่างออกไป

ชิงอวี่คิดหัวแทบแตกว่าเผ่าวิญญาณชนิดใดที่สามารถกักเก็บพลังงานได้ ประเภทที่ดีที่สุดคงจะเป็นพวกที่ไม่ก้าวร้าวและควบคุมได้ง่าย เช่นประเภทที่เพิ่งจะกลายเป็นวิญาณดวงน้อยได้ไม่นาน

นางตกอยู่ในภวังค์ความคิด พลันรู้สึกว่าร่างนางถูกดึงกลับไป เป็นโหลวจวินเหยาที่เร่งฝีเท้าตามมา ตอนนี้กลับยืนอยู่เบื้องหน้านาง ร่างสูงของเขาบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าของนางจนสิ้น ชิงอวี่รู้สึกฉงนเล็กน้อยกับท่าทีไม่คาดคิดจากเขา “มีอะไรหรือ?”

โหลวจวินเหยาหันมามองนางชั่วครู่ เอ่ยเสียงเรียบหนึ่งออกมา “มันไม่ปลอดภัย”

“ข้ารู้…..”

“เจ้ายืนข้างหลังข้าไว้”

“…..”

นัยน์ตาชิงอวี่ดูสับสนขณะแหงนมองคนตรงหน้า เขากำลังปกป้องนางหรือ?

นี่นับเป็นครั้งแรกที่ชิงอวี่ที่มักคอยปกป้องคนอื่นอยู่ตลอดถูกปกป้องไว้ด้านหลังคนผู้หนึ่งเช่นนี้ เป็นความรู้สึกที่นางเองก็อธิบายไม่ถูก เหตุใดเมื่อเทียบกับคนผู้นี้แล้วนางจึงดูอ่อนแอนักกันนะ?

แล้วความรู้สึกประหลาดเช่นนี้มันคืออะไรกัน!

หากแต่อีกฝั่งหนึ่งกลับโกลาหลนัก มู่ไหลถูกฝูงวิญญาณชุดแดงโจมตีอย่างดุร้าย

วิญญาณเหล่านั้นร่างแหลกเละ มีร่างไม่สมบูรณ์ ไม่มีแขนขาและหัว แต่กลับชั่วร้ายนัก เห็นแล้วขนลุกซู่ทั่วร่าง วิญญาณร้ายพุ่งเข้ามาเป็นฝูงใหญ่ น้ำเสียงชั่วร้ายและโศกเศร้าโศกาดังวนเวียนอยู่ในหู ทำลายสติของคนฟังอย่างดุร้าย

“คืนหัวข้ามา….. คืนชีวิตข้ามา….. คืนลูกให้ข้า…..”

สีหน้ามู่ไหลเปลี่ยนไปเป็นไม่น่ามอง ได้ยินคำของวิญญาณผู้โศกเศร้าประดังเข้ามาในหูไม่หยุดหย่อนทำให้นางรู้สึกคล้ายกับตนเป็นคนผิด ทำให้พวกวิญญาณต้องทุกข์ทนเช่นนี้ นางพลันรู้สึกหวาดกลัว รู้สึกผิดบาป และรู้สึกเจ็บปวดทรมานจากอารมณ์เชิงลบที่พุ่งซัดเข้าสู่จิตใจนางจนเกือบจะถูกวิญญาณร้ายตนหนึ่งเข้าสิงร่างได้

เป็นตอนนั้นเองที่เสียงกระดิ่งไพเราะดังกังวานขึ้น ตามมาด้วยเสียงคล้ายกับเสียงบทสวดพุทธมนต์ เสียงนั่นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฝูงวิญญาณร้ายพลันเปล่งเสียงร้องแหลม แตกกระจายไปทั่วทิศ บางตัวหนีไม่พ้นร่างก็พลันหงิกงอ ก่อนจะกลายเป็นควันสีเขียวกลุ่มหนึ่ง วิญญาณแตกสลายหายไป กลายเป็นความว่างเปล่า

มู่ไหลเหงื่อเย็นไหลท่วมร่าง คนสองคนพลันปรากฏขึ้นตรงหน้านาง ชายสวมชุดคลุมแดงเป็นผู้ที่เดินนำหน้ามา ชายหนุ่มที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจคลี่ยิ้มแล้วยื่นมือมาช่วยนางลุกขึ้น “เป็นอะไรหรือไม่?”

มู่ไหลลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรง “ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเหลือ”

ชายหนุ่มชุดเทาด้านหลังถือกระดิ่งสีเขียวพวงหนึ่งไว้ในมือ ยังคงสั่นมันไม่หยุด “จุ๊ ๆ เจ้านี่ใช้ได้ดีไม่น้อยเลยว่าไหม?”

ไป๋จือเยี่ยนมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “หยุดเล่นได้แล้ว เราต้องหาสองคนนั้นให้เจอก่อน”

มู่ไหลมองชายหนุ่มทั้งสองแล้วก็พลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นก็เข้าใจเรื่องบางอย่าง “ท่านเป็นสหายของชิงอวี่หรือ?”

“ถูกต้อง!” ไป๋จือเยี่ยนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม

มู่ไหลจึงรู้สึกโล่งอก “เช่นนั้นเราต้องรีบหานางแล้ว พวกเราเพิ่งถูกแยกกันเมื่อครู่ ข้าไม่รู้ว่านางตกไปยังที่ใด หรืออาจจะตกอยู่ในอันตรายใดหรือไม่”

ไป๋จือเยี่ยนพยักหน้ารับรู้ จากนั้นยื่นมือแตะไหล่ชายหนุ่มที่ยังคงสั่นกระดิ่งเล่นไม่หยุด “รีบดูเร็วเข้าว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”

ชายหนุ่มชุดเทาจึงหยุดมือ วาดแขนผ่านหน้าคราหนึ่ง ห้วงอากาศเบื้องหน้าพลันถูกแยกออกและหมุนเวียนวน จากนั้นเขาก็จ้องลึกเข้าไปในนั้นเพื่อมองหาร่องรอยของโหลวจวินเหยาและชิงอวี่

สหายที่ชิงอวี่กล่าวถึงเป็นผู้มีฝีมือจากดินแดนระดับสูง!

ภายในชั่วไม่กี่อึดใจ เงาร่างสองเงาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ตอนนี้พวกเขายังถูกความมืดมิดปิดล้อม แต่ตรงที่โหลวจวินเหยายืนอยู่นั้นสว่างยิ่งนัก เต็มไปด้วยแสงสีแดง

“ที่นั่นมันที่ใดกัน?” มู่ไหลถามด้วยความประหลาดใจ

ใต้ดินลึกเช่นนี้เหตุใดจึงมีสถานที่เช่นนั้นได้ แล้วเหตุใดจึงมีแสงสีแดงมากมายเช่นนั้น?

ชายหนุ่มชุดเทาขมวดคิ้วแน่น “นั่นมัน….. เขตแดนของวิญญาณเพลิงโลหิต”