บทที่ 108 วิญญาณเพลิงโลหิตเจ้าเล่ห์

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

วิญญาณเพลิงโลหิตนั้นเป็นวิญญาณที่มีพลังโจมตีสูงในเผ่าวิญญาณ ไม่อาจปล่อยให้มันสัมผัสกายได้ ไม่เช่นนั้นจะจับไข้สูงจนกระทั่งทั้งร่างเปลี่ยนเป็นสีแดง หากโชคร้ายแก่นพลังชีวิตก็จะถูกกัดกินจนกระทั่งแห้งเหือดหายไปและสิ้นใจลงในที่สุด

วิญญาณร้ายชุดแดงเหล่านี้นับได้ว่าเป็นวิญญาณร้ายระดับสูงได้แล้ว แต่วิญญาณเพลิงโลหิตนั้นอยู่เหนือกว่ามาก ผีร้ายเหล่านี้ก่อนสิ้นใจต้องประสบพบเจอกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ถูกแผดเผาร่างจนตาย

ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว ยังมีแคว้นแห่งหนึ่งที่มีเจ้าครองแคว้นอันโหดเหี้ยมทารุณ ใครที่ล่วงเกินเขาจะถูกโยนเข้ากองเพลิง ปล่อยให้กรีดร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาอยู่ในกองไฟ ส่วนตัวเขาก็จะนั่งมองดูภาพนั้นด้วยความพึงพอใจอันผิดมนุษย์มนา

เหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดคือครั้งที่เขาลงโทษสังหารคนพันคนในคราเดียว คนนับพันทั้งกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดทั้งกรีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน แต่กลับไม่อาจมีใครช่วยเหลือพวกเขาได้เลย ความหวังที่หวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยเหลือกลายเป็นความสิ้นหวัง สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นอันเป็นแหล่งพลังมหาศาล

วิญญาณเหล่านี้มีผิวสีแดงฉานตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ ส่วนมากมีรูปร่างหน้าตาพิลึกพิลั่น น่าสยดสยองเกินกว่าจะมองดู เห็นร่างวิญญาณเป็นเช่นนี้ก็พอจะเดาได้ว่าตอนพวกเขาสิ้นใจต้องน่ากลัวขนาดไหน

ชิงอวี่เอื้อมมือมาดึงเสื้อชายหนุ่มไว้ให้หยุดฝีเท้า

“มีอะไรหรือ?” โหลวจวินเหยาหันมาถาม

“ข้ารู้สึกไม่ดีเลย” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นช้า ๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด

โหลวจวินเหยาเห็นนางกลัวก็อยากแหย่นางเล่นอีกสักหน่อย แต่รอบกายที่เคยเป็นสีดำสนิทเบื้องหลังเขาพลันมีแสงสว่างจ้าขึ้น กลายเป็นแสงสีแดงสว่างไปทั่วพื้นที่

ชิงอวี่จ้องมองภาพนั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง

บนพื้นปรากฏหลุมขนาดใหญ่ คล้ายจะบรรจุคนได้มากนับหมื่น ภายในหลุมนั้นมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา และแม้เปลวเพลิงโหมแรงจะปิดกั้นจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด แต่กลับได้ยินเสียงร้องโหยหวนทุกข์ระทมดังออกมาอย่างชัดเจน

และที่ปากเหวลึกนั่นยังมีมือชุ่มโชกเลือดหลากหลายมือกำลังคืบคลานออกมาราวกับต้องการขอความช่วยเหลือ

“มันกำลังแผดเผาร่างข้า….. เจ็บปวดเหลือเกิน…… ข้ากำลังจะตาย…..”

“ช่วยข้าด้วย….. ข้ายังไม่อยากตาย….. ข้ายังไม่อยากตาย…..”

ภายในกองเพลิงมีใบหน้ามนุษย์ที่ถูกไฟเผาจนผิดรูปร่างจากเดิมไปอยู่นับไม่ถ้วน พวกเขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือมองคนทั้งสอง คล้ายกับจะหวังให้พวกนางช่วยเหลือตน

ชิงอวี่เผลอก้าวเท้าออกไปครั้งหนึ่ง

“อย่าเข้าไป คนพวกนี้ตายไปแล้ว” โหลวจวินเหยาดึงร่างนางกลับมา น้ำเสียงเขาเคร่งขรึมเยียบเย็น

ชิงอวี่กำมือแน่น ใบหน้าดูเจ็บปวดเล็กน้อย “แต่พวกเขากำลังเจ็บปวด…..”

โหลวจวินเหยากำมือที่คว้าร่างนางไว้แน่นขึ้นอีก ชิงอวี่พลันรู้สึกเจ็บแปล๊บ “ลืมตาตื่นเสีย อย่าให้ถูกพวกมันชักจูงจิตใจ”

แม่นางน้อยอาจจะมีฝีมือ แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนเกินไป ไม่โหดเหี้ยมมากพอ พริบตาที่นางรู้สึกเวทนาวิญญาณเพลิงโลหิตเหล่านี้เพียงนิดก็นับว่าติดกับดักของมันแล้ว วิญญาณเพลิงโลหิตเหล่านี้เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ดังนั้นจึงส่งผลต่อจิตใจมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย

ชิงอวี่ดึงตนเองหลุดออกจากภวังค์ด้วยแรงบีบที่ไหล่ ใบหน้าระบายด้วยความโกรธแล้วสบถเสียงเบาออกมา “บัดซบ!”

เกือบติดกับมันเข้าแล้ว

หลุมลึกตรงหน้านางปิดกั้นทางไปสิ้น อีกทั้งยังไม่อาจเดินไปตามขอบหลุมได้อีก หากพลาดเพียงนิดก็อาจถูกมือวิญญาณเพลิงโลหิตเหล่านั้นดึงลงหลุมเพลิงไปได้

พวกเขาสิ้นชีพในหลุมเพลิง เมื่อกลายเป็นวิญญาณ หลุมเพลิงเหล่านี้ก็เปลี่ยนเป็นกรงกักขังพวกเขาไว้ ไม่อาจหนีไปได้ ต้องทนทรมานจากเปลวเพลิงโหมไหม้ต่อไป

วิญญาณเหล่านี้ไร้ซึ่งเนื้อหนัง แท้จริงมีเพียงร่างวิญญาณที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น จึงไม่ควรที่จะหวาดกลัวเปลวเพลิงอีก แต่ความเจ็บปวดฝังลึกยามสิ้นใจนั้นอาจมีมากเกินไปจนกระทั่งทำให้พวกเขาเกรงกลัวเหลือคณา ต้องทนร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือต่อไปไม่จบไม่สิ้น

โหลวจวินเหยามองดวงหน้าเล็กที่มีสีหน้าครุ่นคิดแล้วพลันเอ่ยเสียงนุ่มขึ้น “ว่ากันว่าวิญญาณเพลิงโลหิตเป็นวิญญาณประเภทเดียวในเผ่าวิญญาณที่สามารถเกิดใหม่ได้”

ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็ตกใจ เงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจยิ่ง “เกิดใหม่หรือ?”

โหลวจวินเหยาพยักหน้า “เพราะเชื่อกันว่าวิญญาณเพลิงโลหิตเหล่านี้ สมัยยังมีชีวิตอยู่เป็นคนจิตใจดี ไม่ได้ทำชั่วอันใดไว้ แต่กลับถูกทำให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน เพราะเหตุนั้นความโกรธแค้นและความทรมานจึงไม่อาจเจือจางลงโดยง่าย ทำให้กลายเป็นวิญญาณที่อาจไปผุดไปเกิด ดังนั้น…..”

นัยน์ตาเขาทะมึนลงยามมองภาพมือทั้งหลายที่พยายามตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาที่ขอบหลุม หากแต่ก็ร่วงหล่นลงไปในกองเพลิงโชติช่วง “ในหลุมฝังกลบขนาดใหญ่นี้ หากชีวิตคนนับหมื่นให้ตายแบบเดียวกันกับที่วิญญาณเหล่านี้ตายล่ะก็ วิญญาณเพลิงโลหิตจะมีโอกาสเกิดใหม่ได้”

ชิงอวี่แทบอ้าปากค้าง “แต่เช่นนั้นไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ!?”

“พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อความอยู่รอด”

โหลวจวินเหยาชี้นิ้วไปยังจุดหนึ่งในหลุมเพลิง เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยังดูมีอายุไม่มากนัก

แต่เขากลับมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากวิญญาณน่าขนลุกที่อยู่รอบกาย นอกจากผิวที่เป็นสีแดงก่ำแล้ว ใบหน้าก็ยังดูเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังดูหล่อเหลาไม่น้อย นัยน์ตาคู่นั้นยังมองมาทางพวกนางอย่างดุดัน เต็มปด้วยความปรารถนาและโลภะ

“รู้ไหมว่าทำไมเด็กคนนั้นจึงดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ มากนัก?”

“ทำไมเล่า?”

“เพราะเขากลืนกินแก่นพลังชีวิตมนุษย์ไปอย่างน้อยกว่าร้อยคน และตอนนี้ก็กำลังรอโอกาสลงมือ หมายจะล่อเราให้ไปหาเขา” โหลวจวินเหยาเม้มริมฝีปาก “แม้จะไม่อาจออกจากหลุมเพลิงมาได้ไกลนัก แต่ก็สามารถเคลื่อนไหวอยู่รอบหลุมเพลิงในระยะร้อยเมตร หากเราเข้าไปในระยะการล่าของเขา เขาก็จะลงมือ”

ชิงอวี่เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่นางเกือบจะเดินเข้าไปแล้วก็รู้สึกสะท้านไปทั้งตัว

“ชิงอวี่!”

ในตอนที่นางกำลังครุ่นคิดจนตกอยู่ในภวังค์ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง นางหันไปก็พบว่าเป็นมู่ไหลที่อยู่ในสภาพไม่ได้ดูดีเท่าไรนัก กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับไป๋จือเยี่ยนและชายชุดเทาที่นางเคยเห็นมาก่อนสองสามครั้งกำลังเดินตามหลังนางมาอีกที

“ไหลไหล เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? บาดเจ็บหรือไม่?” ชิงอวี่รีบเดินไปหานางแล้วกุมมือนางไว้ มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า

มู่ไหลส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่เป็นไร โชคดีที่สองคนนี้มาช่วยไว้ได้ทันเวลา”

ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็หันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มทั้งสอง “ขอบคุณมาก”

“ไม่เป็นไร” ชายชุดเทาตอบเสียงเกียจคร้านนัก

แต่ไป๋จือเยี่ยนกลับส่งยิ้มสดใสหากก็ดูชั่วร้ายในทีมาให้ “เจ้าไม่ต้องมากพิธีกับข้าหรอก! เจ้ากับข้าก็คล้ายจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว! อย่างไรก็ต้องช่วยเหลือกัน”

“…..” ใครคล้ายจะเป็นครอบครัวกับเจ้ากัน? มาทำท่าทีสนิทสนมเช่นนี้

ฝูงวิญญาณเพลิงโลหิตที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าขวางทางไว้ คนทั้งหมดจึงไม่อาจมุ่งหน้าต่อไปได้ แม้จะเข้าใกล้ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้จึงติดอยู่กับที่

ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นถาม “ตอนนี้พวกเรามีสองตัวเลือก ไม่กำจัดวิญญาณเพลิงโลหิตพวกนี้จนวิญญาณสูญสลายไปให้สิ้น ก็ต้องลากตัวหมอผีที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ออกมาสั่งสอน ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือแล้วเช่นนี้ เราก็ควรตอบแทนเขากลับ ขุดรากถอนโคนลูกน้อยของเขากลับคืนไปบ้าง”

“จุ๊ ๆ ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ?” ชายชุดเทาเอ่ย หน้าตาดูสงสารวิญญาณเหล่านั้นไม่น้อย “พวกนั้นตอนตายก็ทรมานมากแล้ว เจ้ายังคิดจะทำลายวิญญาณพวกเขาให้สูญสิ้นอีกหรือ? เจ้านี่มันปีศาจ!”

ไป๋จือเยี่ยนกดความรู้สึกอยากเตะบั้นท้ายคนไว้ภายใน ฝืนยิ้มออกมาแทน “เช่นนั้นหากเจ้ามีจิตเมตตานัก ไม่กระโดดลงไป เสียสละชีพเพื่อวิญญาณพวกนั้นเล่า?”

ชายชุดเทาตวัดสายตามองเขาทันที เก็บท่าทีทำเป็นมีเมตตาไว้ กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังในพลัน

“อย่างนี้เป็นไร? ข้ามีความคิดหนึ่ง” ชิงอวี่ที่เงียบมานานพลันเอ่ยขึ้น “วิญญาณเพลิงโลหิตเหล่านี้….. เกรงกลัวไฟไม่ใช่หรือ?”

นางยื่นแขนออกข้างหนึ่ง คบไฟอันหนึ่งพลันปรากฏในมือ ที่ปลายคบเพลิงเป็นลูกไฟสีทองเหลือบแดง แม้จะยืนอยู่ห่างออกไปแต่ก็ยังรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาได้

ดูแล้วลูกไฟดวงนี้จะมีระดับสูงกว่าไฟในบ่อเพลิงมากนัก

“นี่มัน…..” ชายชุดเทานัยน์ตาเป็นประกาย ดูจะสนใจสีเหลือบแปลก ๆ ของลูกไฟดวงนั้นมาก

ชิงอวี่หัวเราะเสียงเบา “มันคือไฟโลหิตจากแก่นพลังชีวิตของข้า ร้อนกว่าไฟธรรมดาสิบเท่า หากพวกเราถือคบเพลิงไว้คนละอันก็น่าจะเดินทางลัดเลาะผ่านขอบหลุมไปได้”

พูดแล้วชิงอวี่ก็ส่งคบเพลิงนั้นให้ชายชุดเทาที่มีท่าทีทั้งสงสัยใคร่รู้และตื่นเต้น จากนั้นก็หยิบคบเพลิงที่มีหน้าตาเหมือนกับอันแรกออกมาอีก

เมื่อส่งคบเพลิงอันสุดท้ายให้โหลวจวินเหยา ชายหนุ่มก็มีสีหน้าสับสนงงงวยเป็นยิ่งนัก แม้สุดร้ายจะรับคบเพลิงมา แต่หน้าตาสับสนเช่นนั้นก็มองแล้วน่าขำยิ่ง ราวกับเขาทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นชินเอามาก

ใช่แล้ว สำหรับคนที่เมื่อมีสิ่งใดขวางทางก็ทำลายสิ้นแล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาหลบเลี่ยงศัตรูเช่นนี้

“แบ่งไฟโลหิตออกจากร่างมามากมายเช่นนี้ไม่เป็นอะไรหรือ?” โหลวจวินเหยาถามเสียงเบา

“ไม่เป็นไร ไฟโลหิตนี้มีสติปัญญาแล้ว มันเฉลียวฉลาดนัก อีกทั้งระยะทางยังไม่ได้ไกลมาก เมื่อข้ามฝั่งสำเร็จมันก็จะกลับมาเอง” ชิงอวี่พูดยิ้ม ๆ จากนั้นงอมือไว้บนลูกไฟบนคบเพลิง เจ้าลูกไฟพลันกระโดดขึ้นมาคุดคู้อยู่บนนิ้วนางอย่างขี้เล่นคล้ายกับเด็กเล็ก ๆ

ชายชุดเทาเป็นคนที่เดินนำไปคนแรก ตามมาด้วยมู่ไหล ไป๋จือเยี่ยนเดินอยู่ตรงกลาง ส่วนโหลวจวินเหยาเดินอยู่ด้านหลังสุด

ชายชุดเทาเดินผ่านไปได้อย่างปลอดภัย วิญญาณเพลิงต่างก็เกรงกลัวความร้อนแรงจากไฟโลหิตกันทั้งสิ้น พวกเขาหลีกหนีไปอยู่อีกฝั่งของหลุมเพลิง ไม่คิดโจมตีแต่อย่างใด แม้จะเสียใจที่พลาดโอกาสแต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้

ตอนที่ชิงอวี่เดินข้ามไป โหลวจวินเหยาก็เดินตามนางมาติด ๆ ในตอนที่นางกำลังจะข้ามไปนั่นเอง ก็พลันได้ยินเสียงเด็กหนุ่มร้องขึ้น เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าใจยิ่งนัก “พี่สาว ได้โปรดพาข้าออกไปจากที่นี่ด้วยเถอะ”

เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นนั่นเอง เด็กหนุ่มมองตามนางหวังให้นางช่วยเหลือเขา ชิงอวี่หรี่ตาลง แต่ไม่สนใจเขาอีก ข้าก็ก้าวไปกำลังจะข้ามไปยังอีกฝั่งจนสำเร็จ

“ท่านพี่ เจ็บปวดเหลือเกิน….. อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่เลย….. อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว…..”

น้ำเสียงน่าสงสารของเด็กหนุ่มและท่าทางถูกทอดทิ้งเช่นนั้นละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าน้องชายซื่อบื้อที่เรือนของนางยิ่งนัก เวลาขอร้องกับนางก็มีท่าทีเช่นนี้ ท่าทีอ่อนแอยามขอไม่ให้นางทอดทิ้งเขานั้นดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

ชิงอวี่พลันหยุดฝีเท้าลงแล้วกำมือแน่น นางไม่อาจทำเมินเสียงเช่นนั้นได้

โหลวจวินเหยาเห็นท่าทีนางก็เลิกคิ้วถาม “เป็นอะไร?”

ชิงอวี่ดูลังเล “ข้า…..”

แต่จังหวะที่นางใจอ่อนยวบเพียงชั่วอึดใจเดียวนั้น เด็กหนุ่มในหลุมเพลิงที่หลุบสายตาลงต่ำก็พลันเปล่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ชิงอวี่ด้วยความปราดเปรียว หมายจะฝังเขี้ยวลงบนลำคอสีขาวที่โผล่พ้นคอเสื้อนั่น

โลหิตในร่างของมนุษย์นางนี้นั้นทำให้เขาไม่อาจต้านทานไหว มันน่าดึงดูดใจกว่ามนุษย์คนใดที่เคยได้พบ ทำให้เขาไม่อาจรีรอที่จะลิ้มรสเลือดของนางได้

ภาพฉากนั้นเกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนไม่ทันตั้งตัว

แม้ชิงอวี่จะตอบสนองรวดเร็วฉับไว แต่ก็ไม่รวดเร็วเท่าความกระหายเลือดของวิญญาณเพลิงโลหิต เรื่องราวเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่มีใครทันเอ่ยคำใด โหลวจวินเหยานัยน์ตาเรืองรองขึ้น ซัดฝ่ามือหนึ่งออกไป วิญญาณเพลิงโลหิตเปล่งเสียงร้องโหยหวนก่อนวิญญาณจะถูกทำลายจนดับสลายไป