ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 73 ปราณกระบี่เมื่อพันปีก่อนตื่นขึ้น

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 73 ปราณกระบี่เมื่อพันปีก่อนตื่นขึ้น

หลังจากนิพพานแล้วคืออะไร

หนิงอี้ไม่รู้

สุ่ยเยวี่ยไม่รู้

ราชันดาราอี๋อู๋ เจ้าสำนักศึกษาตะวันสูง เจ้าสำนักศึกษาขุนเขา รวมถึงยอดผู้บำเพ็ญราชันดาราอย่างเจ้าจวนขานฟ้า ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ต่อให้เป็นซูมู่เจอที่เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตนิพพาน ก็ยังรู้ครึ่งไม่รู้ครึ่งกับขอบเขตที่ไม่รู้จักระหว่างความเป็นตายนี้ ไม่มีเวลามากพอจะศึกษาและตรวจสอบ

หากให้เวลาซูมู่เจอมากพอ ในกาลเวลายาวนาน นางก็อาจจะสู้กับบุตรสู่ฟ้าในตอนนี้ได้…แต่ว่า หลังจากกฎเหล็กต้าสุยปลดออก นางก็รู้ว่าตนไม่มีโอกาสชนะเลย

ฝ่าบาทไท่จงท่านนั้นในเมืองหลวง…ได้แสดงท่าทีของเขาแล้ว

เสียงระฆังดังข้ามภูเขาข้ามสันเขามาจวนภูเขาคราม ยอดผู้บำเพ็ญของสามสำนักศึกษา คนพวกนั้นที่เงยหน้ามองฟ้าพบว่าป้ายคำสั่งบนฟ้าเมืองหลวงค่อยๆ ถอดสี พวกเขาเผยรอยยิ้มเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ทว่าในโลกนี้ บางคนยังคงมีสีหน้าจริงจัง

อย่างเช่นองค์รัชทายาทที่นั่งพิงหน้าต่างโรงเตี๊ยมในตอนนี้

อย่างเช่นองค์ชายสามกับองค์ชายรองที่ก่อนหน้านี้สวีชิงเค่อกับหานเยวียได้บอกบทสรุปสุดท้ายของการต่อสู้ครั้งนี้

อย่างเช่น…หนิงอี้ที่นั่งยองอยู่ตรงมุมบ่อน้ำ

และยังมีบุตรสู่ฟ้าที่พลังเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด

บรรพจารย์ชราไม่ใช่บรรพจารย์ชราอีก บุตรสู่ฟ้าเหยียดหลังตรงมาก แขนเสื้อใหญ่โบกสะบัด ดูฮึกเหิมเร่าร้อน เหมือนปรมาจารย์สำนักศึกษาผู้มีความรู้และสง่างามหนุ่ม จอนผมสองข้างแฝงจิตสังหาร

เขาก้าวสู่นิพพานมาหลายร้อยปี เลือกผนึกตัวเองในสุสาน ไม่รู้ว่าโลกข้างนอกผ่านไปกี่ปีแล้ว ตอนนี้ตื่นขึ้นมาก็ตกใจว่าฝ่าบาทไท่จงที่คุมกฎเหล็กในตอนนี้ท่านนั้น มีพลังบำเพ็ญสูงมากจริงๆ กดตนได้ถึงระดับต่ำสุด…ไม่อย่างนั้นเขาแค่ล่วงเกินการกำราบของกฎในช่วงสั้นๆ ก็พลิกมือปราบหญิงสำนักศึกษาคนนี้ได้ ดึงวิญญาณนาง เก็บเนื้อและกระดูกไว้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญที่ก้าวสู่นิพพานก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือเขา จะกลายเป็นนักโทษชั้นล่างในสุสานจวนขานฟ้า เป็น ‘ผู้ไร้วิญญาณ’ ที่เฝ้าประตูสำนักศึกษา

เขามีสีหน้าจริงจัง ไม่ได้มองซูมู่เจอที่เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตนิพพาน แต่มองไปรอบๆ ตามหากลิ่นอายที่มีอำนาจคุกคามต่อตน

อยู่ในจวนภูเขาคราม…

บุตรสู่ฟ้าขมวดคิ้ว

เขามองไปรอบๆ ก็ยังไม่พบอีกฝ่าย

กลางละอองน้ำของจวนภูเขาคราม มีกระบี่บินที่ลอยอยู่ในอากาศสามเล่ม ตัวกระบี่สั่นไหวไม่หยุด ส่งเสียงร้องด้วยความเศร้าโศก พยายามจะบินออกไปสุดชีวิต การสั่นไหวและเสียงทั้งหมดถูกดวงจิตไร้รูปลบหายไป ต่อให้เป็นราชันดาราทุกคนอย่างเจ้าจวนขานฟ้าที่อยู่ใกล้ยิ่ง ก็ไม่สังเกตเห็น

บุตรสู่ฟ้าหมุนตัวกลับมาช้าๆ กระบี่ที่ลอยอยู่ข้างหลังเขาพลันเคลื่อนไหว

ร่างของคุณชายหนุ่มถูกทะลวง ‘หนวดมังกร’ เล่มนั้นที่ลอยอยู่บนบ่อน้ำตามังกรกลายเป็นลำแสงสายฟ้าทะลวงผ่านไหล่เขาในพริบตา บุตรสู่ฟ้าหรี่ตาลง ร่างแสงดาราของตนถูกปราณกระบี่มองข้าม ตอนที่ ‘หนวดมังกร’ ทะลวงผ่านไหล่เขา ยังลากเลือดไปจำนวนมาก

บุตรสู่ฟ้ารีบหมุนตัวกลับก่อนทะยานขึ้น เขายกแขนเสื้อใหญ่ พลังดุจดั่งธารน้ำใหญ่ไหลผ่านดินแดน กดฝ่ามือลงบนจวนภูเขาคราม

‘อักษรเต่า’ พลันหายไป

วินาทีต่อมา กระบี่บินที่ดูธรรมดาไม่ฉูดฉาดทะลวงฝ่ามือของบุตรสู่ฟ้า ก่อนจะลากหมอกโลหิตใหญ่ออกไป กระแทกบรรพจารย์สำนักศึกษาท่านนี้กระเด็นออกไป กระบี่พุ่งไปรวดเร็วยิ่ง ไร้เงาไร้รูป สิ่งที่น่าเย้ยหยันคือ ‘อักษรเต่า’ กับ ‘หนวดมังกร’ มาจากจวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูงและสำนักศึกษาขุนเขา

บุตรสู่ฟ้าลอยอยู่กลางอากาศ เขาเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ดวงจิตวิญญาณแผ่ออกทั้งหมด ไม่ใช่แค่จวนภูเขาคราม แต่ปกคลุมหลายลี้โดยรอบ ก็ยังไม่พบอะไร…หัวไหล่และฝ่ามือชุ่มเลือด บาดแผลกำลังสมานแผลช้าๆ สิ่งที่ต่างจากบาดแผลจากดาบของซูมู่เจอคือตอนนี้บุตรสู่ฟ้าพลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นแล้ว เหนือกว่าซูมู่เจอส่วนใหญ่ ก็ยังถูกกระบี่ทะลวงร่างได้สบาย ฝากปราณกระบี่ไว้ในบาดแผล แทบจะสมานกันไม่ได้ เขาต้องใช้พลังใจอย่างมากในการขับไล่

ยอดผู้บำเพ็ญสามสำนักศึกษาที่เห็นภาพนี้มีสีหน้าเหลือเชื่อ พวกเขาจ้องไปทางหนึ่ง

กลางหมอกละอองน้ำ

เด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองรูปปั้นหินเคียงกระบี่สูงใหญ่นั้น เอ่ยพูดพึมพำที่มีเพียงเขาที่ได้ยิน

“ผู้อาวุโส…ความเป็นเทพของข้ายกให้ท่านหมดแล้ว…”

รูปปั้นหินของเคียงกระบี่นั้น ประกายในแววตากำลังฟื้นกลับมาช้าๆ

สุ่ยเยวี่ยหันมามองช้าๆ นางไม่กล้าเชื่อนิดๆ พลังของกระบี่บินสามเล่มเมื่อครู่ถูกนางจับได้เสี้ยวหนึ่ง การเชื่อมต่อลับๆ มาจากข้างหลังตน เป็นรูปปั้นหินที่เงียบสงัดหรือหนิงอี้ที่ยืนหน้ารูปปั้นหินกัน

หนิงอี้ยืนหน้ารูปปั้นหิน

ในทะเลสาบจิตเขาเหมือนมีดวงจิตเลือนรางหนึ่ง เชื่อมต่อกับตนอย่างแนบแน่นผ่านความเป็นเทพของที่ราบกระดูก

หนิงอี้เงียบไปอีกครั้ง

“ผู้อาวุโส…เชิญท่านออกมาพบแสงตะวันโลกนี้”

ดวงจิตเลือนรางนั้นเปล่งเสียงมา

เสียงเบาเหมือนแสงเทียน แต่การออกเสียงกลับแน่วแน่ดุจหินใหญ่

“ดี!”

หนิงอี้ลืมตาขึ้น เขามองเคียงกระบี่ตรงหน้า ประกายแสงในดวงตาค่อยๆ สว่างขึ้น

เสียงที่วนเวียนในทะเลสาบจิตดังขึ้นอีกครั้ง

“ข้ามีเวลาคืนชีพไม่นาน…หนิงอี้ ข้าต้องให้เจ้าช่วย”

หนิงอี้งุนงงเล็กน้อย

“มีดวงจิตเทพของข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องสนใจพวกหนูข้างนอกนั่น” เคียงกระบี่พูดนิ่งๆ “ข้าอยากยืมมือเจ้า ล่อศัตรูที่แท้จริงออกมา”

ทะเลสาบจิตของหนิงอี้เกิดคลื่นขึ้น ศัตรูที่แท้จริง…ไม่ใช่บุตรสู่ฟ้าหรือ

ท่านเคียงกระบี่สิ้นชีพด้วยเหตุใดกัน หนิงอี้สัมผัสได้รางๆ ว่าความจริงของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวในตอนนั้น…กำลังจะถูกเปิดออกตรงหน้าตนแล้ว

ตอนนั้นดวงจิตของเคียงกระบี่ถูกทำลาย ความเป็นเทพดับสลาย แต่โชคดีที่ฝากดวงจิตเทพไว้ ความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์ปลุกดวงจิตเขา รูปปั้นหินนี้ปลุกตื่นได้ตลอดเวลาแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรอถึงช่วงสุดท้าย สู้กับศัตรูสุดท้ายด้วยกำลังทั้งหมด

……

กระบี่บินสองเล่มที่บินวนในอากาศ หนวดมังกรเล่มหนึ่ง อักษรเต่าเล่มหนึ่ง บินฉวัดเฉวียนในอากาศ สุดท้ายกลับมาหน้าบ่อน้ำตามังกรอีกครั้ง หยุดอยู่ข้าง ‘รุ้งขาว’ ที่ลอยแน่นิ่งนั้น

ปราณกระบี่ดังชิ้งๆ สายน้ำใบไม้ผลิเดือดพล่าน

คุณชายหนุ่มที่ลอยอยู่บนฟ้าจวนภูเขาครามกุมหัวไหล่ ทุบแขน ท่ามกลางฝนตกหนัก เส้นผมยุ่งเหยิง ความองอาจห้าวหาญก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น ดูสภาพน่าเวทนา

บุตรสู่ฟ้าหน้าดำมืด จ้องไปทางกระบี่สามเล่มนั้นพลางพูดอย่างเย็นชา

“ท่านเป็นใครกันแน่…เป็นเทพเซียนจากที่ใดกัน”

คนที่เดินออกมาจากหมอกช้าๆ เป็นร่างเงาชุดคลุมดำหนุ่ม เขาก้าวออกมาจากหมอกน้ำ ลายน้ำปรากฏใต้เท้า กระเพื่อมไม่หยุด หนิงอี้ไม่สนใจคุณชายหนุ่มคนนั้นที่ลอยอยู่บนอากาศ แต่เดินตรงมาหน้าซูมู่เจอ เอ่ยเสียงเบาที่มีเพียงสองคนที่ได้ยิน “การนิพพานยาก เจ้าต้องมีชีวิตต่อไป…ตระหนักรู้ช่วงเวลานี้ให้ดี”

ซูมู่เจอหรี่ตาลง นางมองใบหน้าหนิงอี้ เห็นประกายแววตาอบอุ่นที่คุ้นเคยในดวงตาอีกฝ่าย

เสียงของหนิงอี้ซ้อนทับกับเสียงของเคียงกระบี่

หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง

“ต่อไปยกให้ข้าจัดการเองเถอะ”

ซูมู่เจอจับด้ามดาบหมึก นางเหม่อมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ความสิ้นหวังและไร้ที่พึ่งตรงก้นบึ้งหัวใจ ตอนนี้วางลงช้าๆ ความซับซ้อนในใจเหมือนแม่น้ำใหญ่ทลายเขื่อน กั้นไว้ไม่อยู่อีก

ซูมู่เจอเอ่ยเสียงแหบแห้ง “หนิงอี้ พวกเขาตายหมดแล้ว…ข้าอยากบอกกับเจ้าว่า ขอโทษ”

ในคำขอโทษนี้แฝงด้วยความรู้สึกมากมาย

เผยหมิน เจ้าหรุยและสวีจั้งในตอนนั้น…ยังมีคนอีกมากมาย เรื่องราวเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน

หนิงอี้พยักหน้า เขาหมุนตัวกลับมามองบุตรสู่ฟ้า

คุณชายหนุ่มที่จะกว่าออกมาจากสุสานไม่ใช่ง่ายๆ แต่กลับถูกชนรุ่นหลังมองข้ามคนนั้น ตอนนี้หน้าดำมืด จ้องหนิงอี้

เขาไม่ลอยบนฟ้าอีก แต่ลงพื้นมาช้าๆ บาดแผลจากปราณกระบี่จู่โจมสมานแผลช้าๆ พลังในตัวกลับมาจุดสูงสุดอีกครั้ง

“ขอบเขตนิพพานห่างจากเจ้าตอนนี้ไกลมาก แต่ขอบเขตปราณกระบี่ไม่ต่างกัน”

เสียงของเคียงกระบี่ดังขึ้นในทะเลสาบจิตหนิงอี้อีกครั้ง

“ผู้ฝึกกระบี่ ฝึกคำว่า ‘หนึ่ง’ หนึ่งของเมล็ดข้าว หนึ่งของเขาไท่ซาน ล้วนใหญ่เหมือนกัน”

หนิงอี้เข้าสู่ห้วงความคิดหยั่งลึก

เคียงกระบี่เอ่ยนิ่งๆ และเฉยชา “ขอแค่เจ้าหาคำว่าหนึ่งของทุกสรรพสิ่งพบ เช่นนั้นแค่กระบี่เดียวก็จะทำลายอีกฝ่ายได้”

เด็กหนุ่มชุดคลุมดำยกแขนขึ้นเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ปราณกระบี่ที่ฝากฝังไว้ในกายตนนั้นพลันเปล่งแสงสว่างจ้า ทั้งน้ำพุตามังกร น้ำบ่อในระยะหลายสิบจั้งระเบิดขึ้นพร้อมกัน

บุตรสู่ฟ้าขนหัวลุก กระบี่บินสามเล่มพุ่งมาจากข้างหลังดังฟิ้ว ทะลวงผ่านแขนเสื้อกับชุดคลุมเขา ในชั่วอึดใจเดียว ทะลวงไปกลับหลายสิบครั้ง จากนั้นลอยอยู่หน้าหนิงอี้

กระบี่ยาวสามเล่ม

หนวดมังกร อักษรเต่า รุ้งขาว

เค้าโครงปราณกระบี่เกือบร้อยเหมือนกับของจริง ดำสนิท แดงฉาน ขาวหิมะ ตัดสลับกัน ยืดยาวไปมา จนกระทั่งหนิงอี้ยื่นนิ้วมือดีดบนตัวกระบี่ยาวสามเล่มนั้นช้าๆ พร้อมกันนั้นยังสั่นไหวอย่างรุนแรง ถึงได้ดังกึกก้อง

คุณชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใจกลางปราณกระบี่ร้อยกว่าสาย ร่างที่รวมจากแสงดารานั้นเริ่มลมรั่ว เริ่มปริแตก แสงดาราในกายสาดกระจายเหมือนน้ำตก ตรงหน้าอก ตรงด้านหลังเอว ทวารหลายร้อยเล็กใหญ่ถูกกระบี่ทะลวง

พายุฝนมาคุ

กระบี่เข้าใกล้

บุตรสู่ฟ้านั้นมีสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ตอนนี้รับความเจ็บปวดรุนแรง เขาจ้องหนิงอี้ อยากจะมองเหตุและผลให้ออก สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร…หลังจากนิพพาน ร่างกายจะรวมขึ้นจากแสงดารา การโจมตีจากวัตถุภายนอกยากจะทำให้เขาหลั่งเลือดได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสังหาร”

‘หนิงอี้’ เอ่ยอย่างเฉยชา เขาเล่นกระบี่ของสำนักศึกษาสามเล่มนั้น ก่อนพูดเสียงเบา “ข้าทำอะไรพวกนี้ก็เพื่อจะบอกเจ้าว่า ข้าใช้แค่ปราณกระบี่ก็สังหารเจ้าได้”

…………………………..