ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 74 ปราณกระบี่ขึ้นเขาคราม

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 74 ปราณกระบี่ขึ้นเขาคราม

ภายในจวนภูเขาครามที่พังระเนระนาด หมอกหมุนวน

สุดสายตาทุกคน คุณชายหนุ่มที่อยู่ระดับบรรพจารย์สำนักศึกษาสามคน อาภรณ์ถูกปราณกระบี่ทะลวงเป็นรู บาดแผลที่สมานกลับมาช้าๆ แสงดาราสาดกระจาย ตอนนี้ยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง สายฟ้ามากมายไหลมารวมกัน กำห้านิ้วมือ สายฟ้ารวมในมือกลายเป็นหอกยาวสีฟ้าใสยาวจั้งกว่า

บิดเอว ปาออกไป

หนิงอี้ในชุดคลุมดำลากนิ้วมือเบาๆ กระบี่ยาวสามเล่มนั้นหมุนวนช้าๆ ลากเป็นเศษเงา

หนิงอี้งอนิ้วกลางด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นิ้วกลางดีดตัวกระบี่รุ้งขาวเบาๆ แสงสีขาวเย็นฉ่ำสั่นไหวและกระเซ็น กระบี่ยาวสามฉื่อที่ลอยอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ตัวกระบี่ที่เดิมทีปักกลางฟ้าดิน ถูกแรงดีดเบาๆ ถาโถมออกไปข้างหน้า พุ่งไปในพริบตา

กลายเป็นรุ้งขาวไหลย้อนในฟ้าดิน

นักกระบี่ในโลก ระดับสามหกเก้า ขอใช้คัมภีร์กระบี่ของเขาสู่ซานเป็นตัวอย่าง หนึ่งขอบเขตหนึ่งชั้นฟ้า นักกระบี่ขอบเขตสี่จะเทียบได้กับผู้บำเพ็ญแสงดาราขอบเขตที่สิบ ปราณกระบี่ต้านแสงดารา สองสิ่งปะทะกันยากจะตัดสินแพ้ชนะได้

ขอบเขตที่สิบมีความลี้ลับยิ่งใหญ่

เก้าขอบเขตแรก ความต่างระหว่างหนึ่งขอบเขต เมื่อบรรลุถึงขอบเขตที่สิบจะสั่งสมน้อยได้มาก ความต่างระหว่างอัจฉริยะกับคนธรรมดาอยู่ตรงนี้ สามขอบเขตแรกของนักกระบี่ไม่ถือว่ายาก หากก้าวเข้าไปก็แทบจะตรงตามเงื่อนไขทั้งหมด มีน้อยคนมากที่จะติดอยู่ในนักกระบี่ขอบเขตที่สาม แต่การจะก้าวสู่ขอบเขตที่สี่ไม่ถือว่าง่าย ต่อให้ก้าวสู่ขอบเขตที่สี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสู้กับแสงดาราขอบเขตที่สิบได้

ต่อให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ก้าวสู่ขอบเขตที่สิบ ก็มีความต่างกัน

นักกระบี่ขอบเขตที่ห้า มีโอกาสสูงที่จะสู้บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ไม่ได้

นักกระบี่สามขอบเขตแรก หนึ่งขอบเขตเล็กเทียบเท่าหนึ่งขอบเขตใหญ่ของผู้บำเพ็ญแสงดารา ตั้งแต่ขอบเขตที่สี่ไปจนถึงขอบเขตที่หก ก็เพียงแค่ขอบเขตที่สิบของผู้บำเพ็ญแสงดารา

เส้นทางการบำเพ็ญมีความต่างกัน แต่ก็ไปสู่ปลายทางเดียวกัน หลักการก็เหมือนกัน ประตูใหญ่ขวางยอดผู้บำเพ็ญ ประตูเล็กขวางผู้บำเพ็ญน้อย

บรรพจารย์สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่ใช้ดวงจิตที่อาศัยในระหว่างคิ้วหนิงอี้ตอนนี้และสำแดงวิชากระบี่ของตน พลังบำเพ็ญวิถีกระบี่ตอนนั้น ยากจะใช้ขอบเขตพลังบำเพ็ญตอนนี้มากำหนดแล้ว

รุ้งขาวนั้นพุ่งชนสายฟ้าสีฟ้า ทำลายหอกยาวสายฟ้านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ

รุ้งขาวพลันหยุดอยู่หน้าบุตรสู่ฟ้า

คุณชายหนุ่มขอบเขตนิพพาน รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลตรงระหว่างคิ้ว เขากัดฟันเล็กน้อย ประกบมือ เท้าขยับไปข้างหลังเรื่อยๆ หินดินกระจาย ปราณะกระบี่ระเบิดอย่างไร้เหตุผล ไม่อาจเข้าไปในระยะใกล้ได้เลย!

เสียงเคียงกระบี่ดังขึ้นช้าๆ ในทะเลสาบจิตของหนิงอี้

“ดูให้ดี จำเอาไว้”

คำพูดนี้ทำให้หนิงอี้ใจสั่นสะท้าน

ครั้งก่อนก็มีคนพูดกับเขาเช่นนี้ เคยบอกกับตนเช่นนี้

เขากลั้นลมหายใจ ปลายนิ้วขยับไปข้างหน้าอย่างเสียการควบคุม ภายใต้การควบคุมของดวงจิตเคียงกระบี่ ปลายนิ้วดีดหนวดมังกรกับอักษรเต่าเบาๆ

ลำแสงสีดำและแดงสองสายพุ่งไปในฟ้าดิน ตามกันทะลวงออกไป กระบี่ยาวสามเล่มที่สามสำนักศึกษาดูแลเยี่ยงสมบัติเมื่อพันปีก่อน เคยอยู่ในการต่อสู้เป็นตายนั้นที่ลอบโจมตีเคียงกระบี่ ถูกเคียงกระบี่ชิงมา หลอมเป็นกระบี่ของตน ตอนนี้สำแดงอานุภาพสังหาร คลื่นลมของจวนภูเขาครามกระแทกเข้ามา แม้แต่ผู้บำเพ็ญดาราชะตายังไม่อาจต่อต้าน

คุณชายหนุ่มถอยไปข้างหลัง หัวไหล่ถูกลำแสงสองสายทะลวงอีกครั้ง ลากแสงดารากลุ่มใหญ่ออกไป เศษดารากระจาย เขาลอยขึ้นสูง ชุดคลุมตัวใหญ่ปลิวไสว

“สำนักศึกษาสั่งสมมาหลายพันปี จะยอมให้ถูกทำลายในวันเดียวไม่ได้” บุตรสู่ฟ้ามีสีหน้าจริงจัง สองมือซ้ายขวายกขึ้นกดบ่า ห้ามเศษดาราที่กระจายออกไปก่อนพูดอย่างเฉยชา “เหนือหัวมีเขาคราม เจ้ากับข้าตัดสินแพ้ชนะกันที่นั่น”

หลังจากปลดผนึกกฎต้าสุย พลังบำเพ็ญของคุณชายหนุ่มสำนักศึกษาคนนี้เหนือเกินกว่าพลังบำเพ็ญที่พวกราชันดาราอี๋อู๋จะจินตนาการได้ ตัวแข็งทื่อนิดๆ ขยับเองแม้ไร้สายลม พุ่งไปยังภูเขาครามนั้นบนจวนภูเขาคราม

ส่วนหนิงอี้ที่ยืนนอกน้ำพุตามังกร ชำเลืองตามองไปทางสุ่ยเยวี่ยกับซูมู่เจอ

เขาเดินมาหน้ารูปปั้นหินยักษ์นั่น หมุนตัวยื่นสองมือไปข้างหลัง แบกมันขึ้น…จากนั้น ละอองน้ำระเบิด พุ่งทะยานขึ้นฟ้า

“รูปปั้นนี่…คือบรรพจารย์สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวรึ”

ราชันดาราอี๋อู๋กุมหน้าอก พูดงึมงำด้วยสีหน้าปั้นยาก “ไม่ใช่ว่าสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวตัดขาดมรดก ไม่มีใครสืบทอดมรดกพันปี ไม่มีแม้กระทั่งผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพานหรือ…”

ซูมู่เจอปักดาบหมึก ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะ

คำพูดนี้ฟังดูในตอนนี้เป็นเรื่องตลกเท่าฟ้า!

กลิ่นอายพลังในตัวนางต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว ฝึกบำเพ็ญมาหลายร้อยปี นิพพานในคืนเดียว เดินก้าวนี้ออกไป นางก็มีความต่างจากเจ้าภูเขาปัจจุบันของเขาศักดิ์สิทธิ์ใต้ฟ้าและเจ้าสำนักศึกษาสามคนราวกับฟ้าดินแล้ว

นางเช็ดเลือดตรงมุมปาก มองคนจวนขานฟ้าทุกคนอย่างเฉยชาพลางเอ่ยทีละคำ “จูโฮ่ว เจ้าบอกว่าต้องดูท่าทีของไท่จง…ตอนนี้ เจ้าเห็นหรือไม่”

เจ้าจวนขานฟ้าจูโฮ่วจ้องซูมู่เจอ เขาไหล่ตกข้างหนึ่ง ห้านิ้วมือกำด้ามกระบี่อย่างเดียวดาย ปลายนิ้วยกขึ้นและตกลง แขนเสื้อปลิวไสวตามสายลม ร่างผอมแห้งที่แนบแน่นกลางหมอกฝน ท่ามกลางพายุฝนพัดผ่าน จูโฮ่วเหมือนกับจอกแหนไร้ราก โคลงเคลงจะล้มลง

จูโฮ่วพูดเสียงอ่อนแรง “ถ่านหินยังไม่ลงเตา ถึงดำก็ยังมีความทระนง แต่เมื่อลงเตา ไม่นานก็จะกลายเป็นเถ้าธุลี…ซูมู่เจอ คนที่เดิมทีเดินมาถึงก้าวนี้ น่าจะเป็นข้า”

ซูมู่เจอพูดนิ่งๆ “โลกนี้มีความว่า ‘เดิมที’ มากมาย…เป็นของเจ้า ก็คือของเจ้า ใครก็แย่งไปไม่ได้”

จูโฮ่วไม่พูด เหมือนกัดเลือดแตกในปาก พ่นออกมาอย่างแรง

ซูมู่เจอยืนอยู่กลางพายุฝน เอ่ยเนิบนาบ “หากเจ้ากล้าวางทุกอย่าง เดินก้าวนั้น ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า หลังจากปลดโซ่ตรวน เจ้ากับข้าจะสู้กันในพลังบำเพ็ญเดียวกัน เป็นตาย ไม่มีเสียใจ”

จูโฮ่วได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ ท่ามกลางพายุฝน เสียงหัวเราะนี้ฟังดูน่ากลัวนิดๆ…เขากุมท้องหัวเราะ กระบี่ยาวในมือปักลงพื้น ตัวกระบี่เรียวยาวถูกลมพัดจนโค้งงอไปมา บุรุษก้มตัวลง หัวเราะจนน้ำตาไหล

“เหอะๆๆ…ฮ่าๆๆ!”

“ข้าจูโฮ่ว ยามฝึกบำเพ็ญ ได้รับคำสรรเสริญจากใต้หล้า แม้แต่คุณชายเจ้าหรุยแห่งเขาสู่ซานยังบอกว่าข้าเป็นอัจฉริยะร้อยปีที่สืบทอดมหาดวงชะตาของจวนขานฟ้า ขอแค่มั่นคงบนเส้นทางบำเพ็ญ…ก็จะไม่มีสิ่งใดขวางข้าได้”

เจ้าจวนขานฟ้าพลันเงยหน้าขึ้น จ้องหญิงที่อยู่ไม่ไกลอย่างเหี้ยมโหด

“สี่สำนักศึกษา ผู้อาวุโสสูงส่ง ผู้โดดเด่นชนรุ่นหลังล้วนเทียบข้าไม่ได้! ไฉนข้าต้องเดิมพันกับเจ้า ซูมู่เจอ เจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วหรือ” จูโฮ่วจับกระบี่ยาวแน่น แผดเสียงตะโกน ดวงตาแดงก่ำ เอ่ยเสียงแหบแห้ง “เจ้าคิดว่าสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวซ่อนไพ่ตายไว้แล้วจะรอดไปได้รึ”

สุ่ยเยวี่ยมาข้างซูมู่เจอ ใบหน้านางไร้คลื่นอารมณ์

สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวซ่อนไพ่ตายไว้…คำพูดนี้ของเจ้าจวนขานฟ้ายัดเยียดสำนักตนแล้ว หากไม่ใช่เพราะหนิงอี้ พันปีมานี้สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็คงหาแดนเทวาเล็กของเคียงกระบี่ไม่พบ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีปลุกตื่นบรรพจารย์อันน่าเหลือเชื่อของเขา ไม่อยากเชื่อว่าจะปลุกดวงจิตของบรรพจารย์ได้

ความจริงที่ตอนนั้นพวกเฉาผีปิดล้อมเคียงกระบี่ จนถึงตอนนี้แทบจะถูกยืนยันความจริงแล้ว…หนิงอี้กอดรูปปั้นหินไปบนเขาคราม จะทำการตัดสินกับยอดฝีมือนิพพานของสามสำนักศึกษา

สุ่ยเยวี่ยมองไปบนภูเขาครามที่ยาวเหยียดเหนือศีรษะ พลันเกิดความกังวลขึ้นในใจเล็กน้อย

ท่านเคียงกระบี่ เล่าลือว่าเป็นเซียนกระบี่ชั้นหนึ่งของใต้ฟ้าต้าสุยตอนนั้น

พลังบำเพ็ญวิถีกระบี่สูงจนไร้ขอบเขต

ใช้ดวงจิตเดียวคุมกระบี่บิน ก็กำราบบุตรสู่ฟ้าที่คืนชีพมาอย่างสมบูรณ์ได้…เป็นระดับที่สูงสุดยอดจริงๆ

แต่ไม่รู้ว่า…จะสูงจนถึงระดับใด

หากสามสำนักศึกษายังมีไพ่ตายที่แกร่งกว่า ด้วยสภาพของท่านเคียงกระบี่ตอนนี้ จะรับไหวหรือไม่

“สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวถูกปิดล้อมแล้ว…หลายปีมานี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอำนาจต้าสุยที่ยืนอยู่เบื้องหลังจวนขานฟ้ามีเท่าไร!”

จูโฮ่วจับกระบี่ยาว โคลงเคลง ใบหน้าเขาขาวซีดและเหี้ยมเกรียมภายใต้ประกายสายฟ้ายืดยาว “ฝ่าบาทไท่จงจะทอดทิ้งจวนขานฟ้าไปเลือกสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวรึ ข้าไม่เชื่อ!”

สายฟ้าตกลงมา พื้นดินกลายเป็นสีขาวเงิน

ร่างเงาเจ้าจวนขานฟ้าสีแดงสดนั้น ถือกระบี่เดินเข้ามา หินครามกับละอองน้ำใต้เท้าลอยขึ้นพร้อมกัน พลันมาปรากฏตรงหน้าซูมู่เจอ ยังไม่ทันฟันลงไป สิ่งที่สะท้อนมาในม่านตาก็คือหลังดาบหมึกที่เหลือเพียงเงาขมุกขมัวเล่มหนึ่ง

ปัง

เสียงดังสนั่น

ท่ามกลางสายฟ้า หยดเลือดสีแดงพุ่งกระฉูด ดูน่าตื่นตกใจยิ่ง

เจ้าจวนขานฟ้าถูกสันดาบกระแทกลอยกลับไป ชนกับฐานรูปปั้นหินใหญ่อย่างแรง หน้าซีดขาว เลือดไหลจากทวารทั้งเจ็ด น่าอนาถอย่างยิ่ง

ซูมู่เจอที่ชักดาบหมึกกลับหรี่ตาลง ครุ่นคิดถึงคำพูดนั้นของจูโฮ่วอย่างละเอียด

หลายปีมานี้…กระแสลับเมืองหลวงต้าสุยไหลหลาก การต่อสู้ของสำนักศึกษาไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึง

คนที่ร่วมการต่อสู้นี้อยู่เบื้องหลัง ผลักดันคลื่นลมทั้งยังกดกระดาน ก็คือผู้มีอำนาจเยาว์วัยพวกนั้นรวมถึงขุมอำนาจที่เป็นตัวแทนเบื้องหลังแต่ละฝ่าย

พวกเขายืนอยู่เหนือสามสำนักศึกษาที่อยู่ตรงข้ามตน นี่คือท่าทีอย่างหนึ่ง

แต่ทุกคนรู้ดีว่าฝ่าบาทไท่จง คือเจ้าของต้าสุย

และเป็นคนโดดเดี่ยว

เขาไม่ต้องสนใจท่าทีของคนอื่น ไม่ต้องสนใจความคิดคนอื่น

เขายืนอยู่ที่ใด ที่นั่นจะเป็นแสงสว่างและตะวัน เป็นการตัดสินชัยชนะก่อนในความรู้สึกที่ถือไพ่เหนือกว่า

เสียงระฆังนั้นที่ดังเหนือศีรษะ ป้ายคำสั่งที่ลอยบนเมืองหลวงต้าสุยปลดออก ซูมู่เจอเคยมีวินาทีหนึ่งที่คิดว่าอนาคตของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวไร้แสงสว่างอีก

แต่ความจริงพิสูจน์แล้ว ไท่จงมองไกลกว่าทุกคนที่นี่

เหมือนปลดกฎเหล็กนั้น…ไม่ได้ปล่อยให้บรรพจารย์แก่สำนักศึกษาอย่างบุตรสู่ฟ้าออกมือออกเท้าได้เต็มที่

ฝ่าบาทท่านนั้นเหมือนเห็นล่วงหน้าว่า ปราณกระบี่นั้นเมื่อพันปีก่อนจะถูกเด็กหนุ่มชุดคลุมดำปลุกตื่นที่น้ำพุตามังกรในวันนี้ กฎเหล็กปลดออกเหนือทุกคนก่อนหน้า เหมือนกับการต้อนรับเคียงกระบี่กลับมาในตอนนี้มากกว่า

ซูมู่เจอมีสีหน้าจริงจัง

นางไม่มองกองกำลังสามสำนักศึกษาที่แตกพ่ายย่อยยับตรงหน้าอีก แต่มองเค้าโครงภูเขาครามเหนือศีรษะ

หากไท่จงอยากเห็นว่าการต่อสู้ของสำนักศึกษาจะจบลงแบบใด…

เช่นนั้นซูมู่เจอก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่มีคุณสมบัติให้ท่านเคียงกระบี่ออกมือ เป็นใครกันแน่

………………………..