กายสุริยัน!

อันที่จริงแล้ว โอวหยางป้าก็รู้ดีแก่ใจ ว่าเรื่องนี้มิอาจตำหนิบุตรีของมันได้เลย…

บุตรีของมันนั้นเติบโตมาภายในตระกูล แทบไม่เคยได้ออกไปไหนห่างเมืองหานเหอด้วยซ้ำ นางย่อมไม่เคยได้รับรู้กฏแห่งป่าของโลกภายนอก!

“เอ๋าท่านพ่อ! ไฉนท่านถึงกล่าวเหมือนมันเลยเล่า!?”

โอวหยางหลัวหน้ายู่เผยความงอแงออกมาทันที

นางยังจดจำได้ดีว่าตอนที่นางทวงแหวนพื้นที่ของผู้เฒ่าผิงคืนจากต้วนหลิงเทียน อีกฝ่ายก็กล่าววาจาทำนองเดียวกันกับบิดาของนางออกมาไม่ผิดเพี้ยน…

นี่หากนางไม่รู้ว่าบิดาของนางเคยรู้จักกับต้วนหลิงเทียนมาก่อนจริงๆ นางคงคิดว่าใช่บิดามันใช้นัดกับคนนอกให้กล่าววาจาเดียวกันหรือไม่..

“หลัวเอ๋อเอย…เรื่องนี้เป็นกฏแห่งป่าในโลกภายนอก”

โอวหยางป้าทำได้แค่อธิบายออกมาสั้นๆเท่านี้แค่นั้น…เพราะเรื่องนี้ยากจะเข้าใจได้ง่ายๆ ทั้งหมดต้องพบพานประสบการณ์และรับรู้เรื่องราวต่างๆด้วยตัวเอง

“เอาล่ะ ช่างมันเถิด เจ้าอย่าได้คิดมากเรื่องนี้สืบไป…ไปตามพี่ชายของเจ้ามาเสีย ข้าจะคุยกับมันเรื่องที่จักให้มันไปขอขมาสหายน้อยต้วนวันพรุ่งนี้”

โอวหยางป้ากล่าวบอกโอวหยางหลัว

“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรอก”

โอวหยางหลัวกล่าวออกหน้าเจื่อนๆ นางรู้นิสัยพี่ชายของนางดีว่าอีกฝ่ายถือดีแค่ไหน อัตตาสูงลิบเทียมฟ้าเช่นนั้นยังจะทำเรื่องพรรค์นี้ได้?

ไม่ต้องไปกล่าวถึงเรื่องขอขมาลาโทษกับคนที่พึ่งมีปากเสียงกันมาเลย ต่อให้พี่ชายนางเป็นฝ่ายผิดและล่วงเกินคนที่ไม่ได้มีปากเสียงอะไรกันมาก่อน พี่ชายนางก็ไม่มีทางขอโทษ!

“มันไม่เห็นด้วยมันก็ต้องทำ! ข้าไม่เชื่อว่าถ้าข้าบังคับมันแล้วมันยังจะกล้าไม่ทำ!!”

โอวหยางป้ากล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เอาล่ะ ลูกไปเรียกพี่มาเถอะ แต่อย่าได้บอกว่าพ่อคิดให้มันกระทำเรื่องอันใดก่อน…เดี๋ยวพ่อจกล่าวเรื่องนี้กับมันเอง หาไม่แล้วมันคงได้หนีไปก่อนเป็นแน่”

เกี่ยวกับนิสัยบุตรชายตัวเอง แม้จะไม่รู้ทั้งหมด แต่ไหนเลยโอวหยางป้ายังไม่ล่วงรู้บางอย่างได้

“ก็ได้ท่านพ่อ”

โอวหยางหลัวออกจากห้องพร้อมรอยยิ้มขื่นขม มุ่งหน้าไปหาพี่ชายของนาง โอวหยางชิง

ทว่าตอนนี้ในเมื่อโอวหยางชิงออกจากเขตที่ดินตระกูลโอวหยางไปแล้ว โอวหยางหลัวย่อมไม่อาจหาตัวมันเจอ

เมื่อมาหาพี่ชายและไม่พบอีกฝ่าย โอวหยางหลัวก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ชายนางออกไปด้านนอกแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะโล่งใจเล็กน้อย

หลังจากนั้นนางก็รีบกลับไปรายงานโอวหยางป้าทันที “ท่านพ่อ ข้าไปหาพี่ใหญ่ที่บ้านแล้วแต่มิเจอคน…พอข้าถามข้ารับใช้ในเรือน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ายังมิเห็นพี่ใหญ่กลับมา”

“ไอ้เด็กเหลือขอนั่น! มิพ้นต้องออกไปหาความสำราญระบายอารมณ์หลังถูกข้าตำหนิแล้วแน่…น่าทุบตีมันให้ขาหักนัก!”

โอวหยางป้ากล่าวตำหนิออกมาด้วยความไม่พอใจ

“พ่อบ้านจี้”

ทันใดนั้นเองโอวหยางป้าก็ตะโกนเรียกหาโอวหยางจี้เสียงดัง

“ท่านผู้นำ”

ทันใดนั้นชายชราที่เฝ้าอยู่หน้าห้องโถงใหญ่ก็เร่งเข้ามารอรับคำสั่ง มันคือพ่อบ้านสกุลโอวหยาง โอวหยางจี้

“ส่งคนไปตามหาตัวไอ้เด็กเหลือขอนั่นที่หอนางโลมเสีย! ไม่ว่าเจ้าจักใช้วิธีใดก็ต้องลากคอมันกลับมาให้ได้ ต่อให้ต้องมัดมันมาก็ช่าง ข้าต้องเห็นหน้ามันคืนนี้!”

โอวหยางป้ากล่าวสั่งเสียงเหี้ยม

“ทราบแล้วท่านผู้นำ”

โอวหยางจี้รับคำสั่งด้วยรอยยิ้มขื่นขม เรื่องนี้เป็นอะไรที่มันไม่อยากกระทำเป็นที่สุด อนิจจาแม้ไม่อยากแต่ก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง เพราะนี่เป็นคำสั่งประมุขผู้นำตระกูล!

โอวหยางชิงนั้น แม้จะเป็นผู้สืบทอดโอวหยางป้า เป็นดั่งว่าที่ผู้นำคนต่อไป แต่มันก็ไม่ได้กลัวอะไรอีกฝ่ายเลยเพราะอีกฝ่ายก็เสมือนเด็กไม่รู้จักโตคนหนึ่งเท่านั้น

มันมันไม่อาจไม่หวาดกลัวผู้ที่ให้ท้ายโอวหยางชิง!

เพราะคนผู้นั้นนับว่ามีอำนาจในตระกูลโอวหยางไม่น้อย ไม่ใช่ใครที่คนอย่างมันโอวหยางจี้จะล่วงเกินได้!

ด้านโอวหยางป้าก็คิดว่าตอนนี้โอวหยางชิงคงไปร่ำสุราเคล้านารีเพื่อระบายอารมณ์ที่หอนางโลมตามประสา

แต่มันไม่ทราบเลยว่าโอวหยางชิงกลับมีความคิด ‘อุกอาจ’ มุ่งร้ายต่อชายหนุ่มที่มันสนใจและสงสัยว่าจะมาจากขุมพลังชั้น 7!

มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่ำคืนนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนของสกุลโอวหยางที่จะทำให้ตระกูลต้องพบพานหายนะครั้งใหญ่…

ด้านต้วนหลิงเทียนหลังจากกลับออกมาจากตระกูลโอวหยางแล้วก็มุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยมที่พักทันที และไม่ได้ออกไปไหนอีก

หากเป็นคนที่ขี้ขลาดหวาดกลัวอันตราย ป่านนี้เขาคงไปซ่อนตัวหรือกระทั่งหาที่พักใหม่ เพื่อหลบไปให้ไกลจากสายตาของตระกูลโอวหยางมากที่สุด

แต่เขาไม่ใช่คนแบบนั้นเพราะเขาประเมินทุกสิ่งไว้แล้วว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง จึงไม่มีความคิดหลบหนีดั่งสุนัขหางจุกตูด

หลังจากที่กลับมาถึงที่พักต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจรอที่จะเข้าไปยังชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้สืบไป

กาลเวลาในชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันไหลช้ามาก สภาพแวดล้อมก็ประเสริฐยิ่ง มากพอที่จะหนุนเสริมให้พลังฝึกปรือเขาก้าวหน้าเร็วไวกว่าผู้อื่นเป็นพันลี้…

‘การบ่มเพาะพลังบนชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติตอนนี้ หากข้าคำนวณไม่ผิด เวลาในโลกภายนอกที่ใช้ไปในการทะลวงไปถึงหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่จากขั้นสมบูรณ์แบบ สมควรน้อยกว่า…เวลาในโลกภายนอกที่ข้าใช้ทะลวงจากหลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญไปหลุดพ้นมนุษย์ขขั้นสมบูรณ์แบบเสียอีก!’

เรื่องนีต้วนหลิงเทียนค่อนข้างมั่นใจ

สุดท้ายแล้วการฝึกฝนในชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ 5 วัน เวลาในโลกภายนอกก็พึ่งผ่านพ้นไปแค่วันเดียวเท่านั้น!

ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไม่อาจเทียบได้เลย!!

นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของชั้นที่ 2 ยังด้อยกว่าชั้นที่ 3 มาก

หากต้องการจะเปรียบเทียบเรื่องนี้อย่างจริงจังล่ะก็

อาจกล่าวชี้ชัดได้เลยว่าความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะที่ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันช้ากว่าชั้น 3 กว่าครึ่ง!

‘ก่อนที่ข้าจะกลับไปยังเกาะป้านเยว่ ข้าสมควรทะลวงไปถึงสู่เซียนขั้นกลาง…หากสามารถทะลวงไปถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญก็คงดีไม่น้อย’

พอนึกถึงเรื่องนี้ใจต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

‘ที่ข้าต้องทำตอนนี้คือเร่งบ่มเพาะพลัง ยกระดับพลังฝึกปรือของข้าให้เร็วที่สุด! ด้วยพลังทั้งหมดของข้าตอนนี้คงจัดการพวกตัวตนในระดับสู่เซียนทั่วๆไปได้อย่างไม่ยากเย็น…แต่ข้าตายแน่หากปะทะกับสู่เซียนที่ร้ายกาจของจริง’

เนื่องจากเขารู้แล้วว่าหากเป็นตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญขึ้นไปสามารถรอดพ้นการตรวจจับของเขาได้อย่างง่ายดาย ต้วนหลิงเทียนถึงกับรู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาต้องการที่จะยกระดับพลังฝึกปรือของเขา!

อย่างไรก็ตามทุกอย่างจำต้องใช้เวลาบ่มเพาะปลูกฝัง ไม่อาจเร่งร้อนรวบรัดได้ในเวลาอันสั้น

อย่างไรเสียใจเขายังเป็นกังวล ถึงขั้นอดร้อนรนไม่ได้

“มีคนกำลังลอบสังเกตุการณ์เจ้าอยู่ด้านนอก…”

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ ทว่าอยู่ๆพลันมีเสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน เสียงยังดังปานฟ้าผ่าพาลให้ต้วนหลิงเทียนคืนสติทันที

“ผู้เฒ่าหั่วท่านฟื้นแล้ว?”

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัว และลืมตาขึ้นมาเขาก็เห็นผู้เฒ่าหั่วอยู่ไม่ไกล

“อืม”

ผู้เฒ่าหั่วพยักหน้ารับ “การซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติรอบนี้ สร้างภาระให้ข้าหนักหนานัก จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้…แต่ข้ายังนับว่าได้กำไรอยู่บ้าง เพราะยามฟื้นตัวกลับมาความสามารถของข้าก็ฟื้นคืนมาอีกเล็กน้อย”

“ตอนนี้สำนึกเทวะของข้าฟื้นฟูแล้วบางส่วน ข้าสามารถแผ่สำนึกสติให้กระจายออกไปตรวจสอบเรื่องราวโดยรอบได้เป็นวงกว้าง…ถึงแม้จักมิได้มีความสามารถในการโจมตีอะไร แต่หากกล่าวถึงเรื่องตรวจสอบยังนับว่าใช้การได้ดี”

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “และตอนนี้ข้าก็พบว่าด้านนอกมีคน 2 คนกำลงจับตาดูเจ้าอยู่…ท่าทางยังมิได้มีเจตนาดี”

“มีคน 2 คนกำลังสอดแนมข้างั้นเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “หรือจะเป็นพวกตระกูลโอวหยางกัน…ไม่ผิดแน่ต้องเป็นพวกมัน! นี่พวกมันต้องการอะไรจากข้านักหนา!”

“ที่สำคัญยามข้าฟื้นพลังกลับมาครั้งนี้ พลังสุริยันของข้าก็ได้ฟื้นคืนกลับมาเสี้ยวหนึ่ง ข้าจักถ่ายพลังขุมนี้เข้าสู่ร่างกายของเจ้าเพื่อปรับแต่งปราณแท้ของเจ้า และยามใดที่ปราณแท้ของเจ้าพัฒนาไปเป็นปราณแรกกำเนิดของพิภพนี้ได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นเจ้าสามารถเปลี่ยนขุมพลังสุริยันที่ข้าถ่ายทอดนี้ให้กลายเป็นปราณสุริยันแรกกำเนิด!”

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน

ปราณแรกกำเนิดนั้นเป็นขุมพลังในร่างของตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียน!

หลังจากที่ใครสามารถทะลวงผ่านขอบเขตสู่เซียนจนบรรลุถึงขอบเขตเซียนได้ ปราณแท้ในร่างจะกลับกลายเป็นบริสุทธิ์มากขึ้น และวิวัฒน์พัฒนาไปเป็นปราณแรกกำเนิด

“พลังสุริยัน? ปราณสุริยันแรกกำเนิด?”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันใดเมือ่ได้ยินเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามคิ้วกลับย่นยู่ลงอีกครั้งหลังจากผ่านไปไม่นาน “ผู้เฒ่าหั่วเรื่องนี้เกรงว่าคงต้องเอาไว้ภายหลัง ตอนนี้ข้าต้องไปจัดการสองคนนั่นก่อน”

“มิได้! พลังสุริยันของข้าเพียงฟื้นฟูมาเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นและกำลังมอดดับลงทุกขณะ ข้ามิอาจประคองพลังขุมนี้ไว้ได้อยู่นานด้วยสภาพอ่อนแอของข้า…ด้วยปริมาณปราณแท้ของเจ้าในตอนนี้ ข้าใช้เวลาอย่างมากเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น”

ผู้เฒ่าหั่วไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบสนองอะไร ยกปลายนิ้วขึ้นมาจี้ออกดั่งกระบี่จรดหน้าผากต้วนหลิงเทียนทันที

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังอันร้อนระอุเต็มไปด้วยอำนาจแผดเผา แผ่พุ่งเข้ามาตีปะทะใบหน้า สุดท้ายก็กลายเป็นพลังความร้อนมหาศาลขุมหนึ่ง ชำแรกเข้าหว่างคิ้วหลั่งไหลไปยังทะเลปราณอย่างอุกอาจ!

เสมือนดั่งโจรร้ายบุกเข้ามาปล้นบ้านก็ไม่ปาน!

พลังความร้อนขุมนี้เสมือนสะพานเชื่อมให้พลังสุริยันของผู้เฒ่าหั่วชำแรกเข้าร่างเขา ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าทะเลปราณของเขาเสมือนกำลังเดือดพล่าน!

พริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกวิงเวียน ก่อนที่จะสิ้นสติไปทันที

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนสิ้นสติไป ร่างกายของเขาก็ถูกพลังไร้สภาพยกลอยขึ้นมา ปราณแท้ในทะเลปราณของเขาบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

ตอนแรกมันก็เดือดพล่านปานคุ้มคลั่งเสมือนถูกฉีดเลือดไก่!

หลังจากนั้นจุดชีพจรเซียนทั่วร่างทั้ง 99 จุดก็เปิดออก พลังความร้อนขุมนั้นชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศให้หลั่งไหลเข้าร่างต้วนหลิงเทียนผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สาย หมุนเวียนโคจรไปทั่วร่างรอบแล้วรอบเล่า!

ขุมพลังความร้อนนี้น่ากลัวนัก ยังมีพลังอำนาจดูดรั้งมหาศาลปาน “สูบกลืน”

พลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศของชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แต่เดิมที่ไม่อาจมองเห็น มาตอนนี้พวกมันหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ควบแน่นอยู่เหนือศีรษะต้วนหลิงเทียน มองไปเห็นมวลของเหลวมหึมาก้อนหนึ่ง ทั้งของเหลวดังกล่าวยังเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะเวลา…เป็นพลังวิญญาณฟ้าดินที่ควบรวมหนาแน่นจนมีสภาพ!

พลังวิญญาณฟ้าดินอันหนาแน่นดังกล่าวที่ควบรวมจนมีสภาพ เริ่มหลั่งไหลเข้าร่วงต้วนหลิงเทียนอย่างต่อเนื่อง พวกมันม้วนวนดั่งพายุพลัง แตกตัวออกเป็นสายพยายามพุ่งเข้าตามชีพจรเซียนทุกจุดบนร่างต้วนหลิงเทียน!

ตอนนี้เองทุกรูขุมขนบนร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏมนทิลสีดำอันเป็นสิ่งปนเปื้อนถูกขับออกมา

แน่นอนว่ามนทิลสีดำอันเป็นสิ่งปนเปื้อนที่ถูกขับออก…มันมีน้อยนิดนัก

นั่นเพราะร่างกายของต้วนหลิงเทียนได้ผ่านการ กำเนิดใหม่ หรือชำระไขกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นมาแล้วถึง 2 ครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ในตัวเขาจะมีมนทิลและสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้มากมายเหมือนผู้อื่น…

และในตอนนี้หากมีตัวตนอันทรงพลังมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ย่อมสามารถบอกได้ทันที ว่าตอนนี้อีกาทองคำสามขา กำลังถ่ายทอดพลังสุริยันเข้ามาชำระล้างร่างกายเขาอีกรอบ ทั้งยังช่วยให้ต้วนหลิงเทียนรู้แจ้งจนสำเร็จ กายสุริยัน!

วิธีการนี้การถ่ายทอดพลังทั้งสำนึกรู้แจ้งให้ผู้อื่นบรรรลุถึงกายสุริยันนั้น ชั่วชีวิตของอีกาทองคำสามขา สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เป็นพลังอำนาจอันอยู่เหนือและมีพลานุภาพอันน่าพรั่นพรึงนัก!

และตอนนี้เองผู้เฒ่าหั่วก็ได้หวนคืนกลับสู่ร่างที่แท้จริงแล้ว ลักษณ์อีกาทองคำ 3 ขา อันถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง คลื่นความร้อนอันน่าพรั่นพรึงแผ่กำจายออกไปทุกสารทิศ เปลี่ยนเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ร้อนระอุปานถูกชำระล้างด้วยคลื่นความร้อน!

และทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้วนหลิงเทียนที่สิ้นสติอยู่ไม่ได้รู้ตัวเลย

หนึ่งชั่วยามนั้นเทียบเท่า 2 ชั่วโมง

สองชั่วโมงต่อมา ผู้เฒ่าหั่วก็กลับมาสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง ผิวทั่วกายที่เคยสีแดงก่ำยามนี้ซีดลงจนคล้ายชราไปหลายร้อยปี

ตอนนี้เองในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ตื่นขึ้นมา

ตอนแรกเขายังสับสนงุนงงกับเรื่องราวอยู่บ้าง

แต่เมื่อคืนสติได้สักพักเขาก็กลับมาอยู่กับร่องกับรอย และเร่งสัมผัสปราณแท้ในร่างทันที

การตระหนักถึงครั้งนี้ทำให้เขาอดหวาดกลัวไม่ได้

“นะ…นี่มัน…”

ต้วนหลิงเทียนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ทำหน้าทำตาเหรอหราราวกับพบพานเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ลงคอ

“นี่มัน…สู่เซียนขั้นกลางงั้นเหรอ!?”

หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตัว เขากลืนน้ำลายลงคอดังอึก กล่าวออกด้วยความประหลาดใจ