บทที่ 114 จิตสังหารของเสิ่นฉง (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 114 จิตสังหารของเสิ่นฉง (ปลาย)

บทที่ 114 จิตสังหารของเสิ่นฉง (ปลาย)

เสิ่นฉงหรี่ตา สะบัดฝ่ามืออย่างรุนแรงจนยันต์แตกสลายทันที!

เขามองไปทางที่จากไป เต็มไปด้วยจิตสังหาร ราวกับเทพเจ้าแห่งความตาย

ลู่หยวน… ตระกูลเสิ่นของข้าไม่เหมือนกับตระกูลไป๋ ข้า เสิ่นฉง ไม่ได้ยอมรับความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเจ้าเหมือนกับไป๋หลางซิง!

ถ้าเจ้ากล้ามาผนวกรวมกับตระกูลเสิ่นของข้า สักวันหนึ่ง เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน!

“ออกมา!”

เสิ่นฉงกล่าวอย่างแผ่วเบา

ผู้อาวุโสจำนวนมากที่อยู่ด้านข้างลุกขึ้นคนแล้วคนเล่า “เชิญท่านบรรพชนถ่ายทอดคำสั่ง!”

“ตระกูลเสิ่นจะทำการไว้ทุกข์ กระจายข่าวการตายของเสิ่นหุนออกไป บอกว่าข้าเจ็บปวดสุดแสน และต้องการคนมาคุ้มกันโลงศพเป็นการส่วนตัว!”

“ให้กองกำลังและตระกูลใหญ่แห่งตำหนักธารสุญญะที่เหลือออกจากตระกูลเสิ่นทันที แล้วส่งคนไปแจ้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ว่าตระกูลเสิ่นจะไม่เข้าร่วมการรับสมัครศิษย์ในครั้งนี้!”

“สุดท้ายนี้ จงถ่ายทอดคำสั่งออกไป หากใครตามหาสมาชิกที่หายไปของตระกูลเสิ่นเจอจะได้รับรางวัล หรือใครก็ตามที่มีข้อมูล ตระกูลเสิ่นจะขอบคุณเป็นอย่างมาก!”

ผู้อาวุโสจำนวนมากตอบรับทันที ลุกขึ้นแล้วออกจากห้องโถงไป

ด้วยเกรงว่าหากล่าช้าเกินไป แล้วยังอยู่ที่นี่ต่อไปอีก จะถูกเสิ่นฉงทุบตีเอาได้!

ไม่นานหลังจากลู่หยวนกลับถึงห้องพัก เขาก็พบผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลเสิ่นกำลังเข้ามาแจ้งสิ่งที่เสิ่นฉงบอกกล่าวเมื่อครู่

ผู้อาวุโสกล่าวขอโทษว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ ตระกูลเสิ่นจะทำการจัดงานศพสำหรับเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่สะดวกนักที่จะให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อ เชิญท่านกลับไปด้วย ตระกูลเสิ่นจะเตรียมตำหนักศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันท่านไปยอดเขามังกรเร้น!”

ลู่หยวนเดาะลิ้น ก่อนจะครุ่นคิดสักพักแล้วพยักหน้า “ช่างเถอะ ตระกูลเสิ่นของเจ้าช่างมีเรื่องอัปมงคลเกิดได้ไม่หยุดหย่อน รีบออกไปน่าจะดีกว่า”

ผู้อาวุโสย่อมไม่กล้ากล่าวอะไร ได้แต่ยิ้มรับแล้วพยักหน้า

บุตรศักดิ์สิทธิ์นำคนจำนวนหนึ่งออกจากที่พำนัก ด้านนอก ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่มีขนาดเท่ากับห้องโถงใหญ่ลอยอยู่ในอากาศ

เขาชำเลืองมอง ใช้เนตรเทวะสังเกตเห็นยันต์จำนวนมากซ่อนอยู่ด้านใน

ยันต์เหล่านี้คือยันต์ตามรอย น่าจะถูกติดตั้งไว้โดยเสิ่นฉง จนมีเพียงการใช้เนตรเทวะจึงจะมองเห็น

ลู่หยวนไม่กล่าวอะไร ร่างของเขาวูบไหว ก่อนเคลื่อนกายไปอยู่ใจกลางตำหนักศักดิ์สิทธิ์

ที่นี่มีกลิ่นหอมกำยานอบอวล ประดับด้วยหมอนหยกไหมทองคำ ดูหรูหรายิ่งนัก

ตระกูลเสิ่นต้องทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นแน่

ฉินอี่หานและไป๋ชิวเอ๋อร์ขึ้นตามมาเช่นกัน ภายใต้กลิ่นอายของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นจำนวนหนึ่งคอยแนะนำแขกเหรื่อ โดยมีพวกจงซื่อนั่งอยู่ด้านนอก ใช้พลังวิญญาณเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของตำหนักศักดิ์สิทธิ์

ลู่หยวนตรวจสอบโดยรอบ แน่นอนว่าเขาพบยันต์ส่งสัญญาณจำนวนหนึ่ง

ตั้งแต่พวกเขาเข้ามา ก็มียันต์ตามรอยถูกติดตั้งไว้หลายใบ

ฉินอี่หานและไป๋ชิวเอ๋อร์ย่อมไม่สังเกตเห็น แต่ลู่หยวนมีเนตรเทวะ ทำให้ยันต์ตามรอยนี้อยู่ในสายตาของเขา ไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นได้

สุนัขเฒ่าเสิ่นเก่งเรื่องการจับตามองเสียจริง

ดูเหมือนว่าเขาจะถูกหลอก ดูท่าว่าถึงเวลาเริ่มการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว

ฉินอี่หานและไป๋ชิวเอ๋อร์เพิ่งนั่งลง เสียงของบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้น

“นับจากนี้ไป พวกเจ้าทุกคนห้ามละสายตาจากข้าเด็ดขาด ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมียันต์ตามรอยที่ถูกประทับโดยสุนัขเฒ่าเสิ่นบนร่างกาย กระทั่งในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ก็มียันต์ส่งเสียงติดตั้งอยู่ด้วย”

แววตาของสองสาวสั่นไหว ฉินอี่หานยังคงมีท่าทีปกติ ถึงนางจะประหลาดใจ แต่ก็สงบลงได้ทันที พลางพิงอยู่ด้านข้าง ถือถ้วยชาอันเย็นเฉียบ ยกขึ้นจิบด้วยท่าทีทะมัดทะแมงเช่นเดิม

แต่ไป๋ชิวเอ๋อร์ไม่ได้สงบเหมือนกับผู้ฝึกกระบี่หญิง สาวน้อยผู้เย็นชาดูกระวนกระวายยิ่ง

ลู่หยวนส่งกระแสจิตอีกครั้ง “ไม่มีอะไร หากเจ้าอยากพูดหรือทำอะไร ให้ทำตัวตามปกติ ไม่มีอะไรต้องกลัว”

คุณหนูไป๋จึงกดคาง พร้อมสีหน้าสงบลง

ตำหนักศักดิ์สิทธิ์บินไปตามทาง มุ่งตรงสู่ยอดเขามังกรเร้น ลู่หยวนอยู่บนเทือกเขาทอดยาวไปไกล พลางเลือกสถานที่ปักหลัก

เมื่อตำหนักศักดิ์สิทธิ์หยุดนิ่ง จงซื่อก็โบกมือ ก่อนหยิบอาวุธวิเศษออกมา มันมีรูปทรงเหมือนกับหอคอย ซึ่งเริ่มขยายใหญ่ขึ้นทันที เพียงไม่กี่อึดใจ หอคอยก็ปรากฏขึ้นกลางหุบเขา ชายคาโค้งสะท้อนนภา เสาสีแดงแกะสลักเป็นทรงเหลี่ยม มันตั้งตระหง่านราวกับหอคอยโลกเซียนก็ไม่ปาน

ใต้หอคอย ค่ายกลสีทองกระจายออกไปในทันทีจนปกคลุมเทือกเขาส่วนใหญ่

ลู่หยวนก้าวออกจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์ สายตามองข้ามค่ายกลไปไกลโพ้นพร้อมรอยยิ้มผุดพรายขึ้นในใจ

คนของสำนักศักดิ์สิทธิ์ยังมาไม่ถึง …ยังเหลือเวลาอีกสองวัน

ยิ่งกว่านั้น ผู้คนในแดนเหนือเริ่มมารวมตัวกันคนแล้วคนเล่า

หากเสิ่นฉงอยากฆ่าเขาจริง อย่างช้าสุดต้องเป็นคืนพรุ่งนี้ อีกฝ่ายจะต้องลงมืออย่างแน่นอน!

ลู่หยวนพาพวกฉินอี่หานเข้าไปในหอคอย ในขณะที่จงซื่อชำเลืองมองผู้อาวุโสอีกสองคนอยู่ด้านนอก พวกเขาสองคนพยักหน้า ก่อนแยกย้ายกันไปเพื่อเริ่มติดตั้งค่ายกลในพริบตา

ไม่ช้า… ราตรีเย็นเยือกดุจผืนน้ำและความมืดก็ปกคลุมทั่วปฐพี

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยืนพิงหอคอย มองดูหุบเขาอันเงียบสงัดอย่างเงียบงันด้วยสายตาเฉยชา

ฉินอี่หานเข้ามาช้า ๆ รินชาหนึ่งถ้วยให้กับชายหนุ่ม

ลู่หยวนรับชามาจิบ จากนั้นหันมองฉินอี่หานผู้มีสายตาเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกวิตกกังวลแต่อย่างใด จนอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”

ฉินอี่หานได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงขมวดคิ้ว “ท่านกลัวอะไรหรือ?”

เขายิ้มออกมา “สุนัขเฒ่าเสิ่นน่าจะอยู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับกลาง แต่ทางข้ามีเพียงบริวารขั้นเซียนยุทธ์สามคนเท่านั้น มีเพียงหนึ่งคนเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์”

นางเข้าใจว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอย่างไร

เหิงอีเจี้ยนผู้แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ข้างพวกเขาอยู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ แต่ก่อนหน้านี้ก็ถูกเสิ่นฉงกำราบจนพ่ายแพ้มา อีกทั้งยังเสียปราณกระบี่ฟ้าประทานไปบางส่วน หากวันนี้พวกเขาสู้กันอีกครั้ง อาจจะถูกกำราบจนพ่ายแพ้อีกรอบก็เป็นได้

ส่วนคนที่เหลืออยู่ขั้นเซียนยุทธ์ ไม่มากพอจะเผชิญหน้ากับขั้นปรมาจารย์ยุทธ์

ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าคงกล้าฟันธงทันทีว่าศึกนี้พวกเขาแพ้พ่าย!

ลู่หยวนไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน!

ความจริงฉินอี่หานมองไม่ออกว่าจะชนะได้หรือไม่ แต่สายตายังคงสงบนิ่งดังเดิม

“ในเมื่อท่านกล้าล่อเขาออกมา แสดงว่าต้องเตรียมตัวมาดีแล้ว ถึงข้ามองไม่ออกว่าท่านจะชนะได้อย่างไร แต่ข้ารู้ว่า ขอเพียงเสิ่นฉงออกมา เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!”

ลู่หยวนเห็นท่าทีมุ่งมั่นของฉินอี่หานก็อดยิ้มไม่ได้ …เป็นรอยยิ้มมั่นใจหาใดเปรียบ

“ใช่ ข้าจะต้องชนะอย่างแน่นอน!”

ทันทีที่สิ้นคำ มีเสียง ‘ครืนนน’ ดังขึ้น

หมู่เมฆดำม้วนตัวเหนือท้องนภา ก่อนรวมตัวเหนือเมืองหลวนทันที

อสนีบาตสีม่วงยังคงเคลื่อนไปตามหมู่เมฆดำดังหยดหมึก ราวกับเหล่าอสรพิษเกล็ดสีม่วงที่กำลังออกล่า โลดแล่น กลืนกินและแผ่แม่เบี้ยอยู่ในหมู่เมฆ ก่อนพวกมันจะหยุดนิ่ง ราวกับจะลงมือทำอะไรบางอย่าง

สายลมแรงกล้าพลันพัดผ่าน กระจายทั่วทั้งเมืองหลวน

วิ้ง!

เสียงกระซิบมาจากท้องนภาไร้พรมแดน ให้ความรู้สึกถึงวิถีพลังที่ปกคลุมทั่วโลกในพริบตา

พลังแก่กล้าพลันแผ่ไปทั่ว ผู้คนในเมืองหลวนล้วนคุกเข่ากับพื้นตาม ๆ กัน ยามหันหน้าไปทางท้องนภาอย่างต่อเนื่อง พึมพำบางอย่างเบา ๆ

ถึงแม้ยอดเขามังกรเร้นจะอยู่ไกลจากเมืองหลวน แต่พลังของวิถีแห่งสวรรค์อันแก่กล้าดังกล่าวก็เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ก่อนเคลื่อนผ่านลงมาหาทุกคน จนเหล่ายอดฝีมือรู้สึกยำเกรงอยู่ในใจ