บทที่ 115 เสิ่นฉงออกล่า

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 115 เสิ่นฉงออกล่า

บทที่ 115 เสิ่นฉงออกล่า

ลู่หยวนยืนขึ้นมองไปทางหมู่เมฆที่รวมตัว สายฟ้านับหมื่นปะทุอย่างต่อเนื่องจนก่อเกิดเป็นมังกรอัสนีขึ้นมา

“ทะลวงขั้นหรือ?”

บุตรศักดิ์สิทธิ์พ่นคำพูดเหล่านี้ออกมาช้า ๆ

ในดินแดนหยวนหง ตั้งแต่ยอดฝีมือก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเซียน จะมีการก้าวข้ามระหว่างทุกขั้นใหญ่ จึงก่อเกิดอสนีบาตจากสวรรค์และปฐพี ผู้ทะลวงขั้นต้องก้าวข้ามทัณฑ์อัสนีนี้ก่อนจึงจะสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อย่างเป็นทางการ

เมื่อสายฟ้านี้มาเยือน มันคือช่วงเวลาเดียวกับที่มีผู้คนอยู่ใกล้ ‘มหาวิถี’ มากที่สุด

จากประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหยวนหง มีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ตระหนักถึงมหาวิถีได้ตอนเผชิญหน้ากับทัณฑ์อัสนี ทำให้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด จนกระทั่งตั้งสำนักขึ้นมาได้

แม้กระทั่งตอนที่การบ่มเพาะของใครบางคนติดขัด จนต้องเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ทั่วทั้งดินแดน เพื่อตามหาคนที่กำลังจะทะลวงทัณฑ์อัสนี เพื่อจะได้ใช้ทัณฑ์อัสนีของอีกฝ่ายในการเข้าถึงมหาวิถี และแสวงหาการบ่มเพาะของตัวเอง

แน่นอนว่ายอดฝีมือหลายคนตายเพราะทัณฑ์อัสนีดังกล่าว จนเหลือแต่เพียงเถ้าธุลี

หลังจากก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ ต่อให้เป็นการทะลวงระหว่างระดับก็อาจจะไปกระตุ้นทัณฑ์อัสนีเข้า

เมื่อมองดูจากรูปแบบในวันนี้ น่าจะเป็นการปรากฏตัวของสุนัขเฒ่าเสิ่นที่กำลังทะลวงรากฐานการบ่มเพาะ

สายลมพัดพา ลู่หยวนยืนอยู่จุดสูงสุดของหอคอยในอาภรณ์แดงฉานห่มเสื้อคลุมดำ สายตาจับจ้องตรงไปทางเมืองหลวน

มังกรอสนีบาตก่อตัวขึ้นมา ทะยานฟ้าหมุนวนพัลวัน ราวกับจะพุ่งลงมาทุกเมื่อ

ฉินอี่หานก้าวมาข้างหน้า คิ้วขมวด “การทะลวงขั้นของเสิ่นฉง คงกินเวลาอย่างต่ำสิบวันถึงครึ่งเดือน แสดงว่าเขาจะไม่มาหรือ”

ลู่หยวนเงียบสักพัก ดวงตาเผยความเย็นเยือก

“ไม่ เขาจะต้องมาอย่างแน่นอน!”

เมื่อกล่าวจบ ยันต์จำนวนมากก็ปรากฏตรงหน้า

เขายกมือขึ้น ก่อนแถวตัวอักษรจำนวนหนึ่งจะถูกสลักลงไป

เมื่อยันต์หายไป ยันต์ของลู่หยวนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกจงซื่อที่ฟากหนึ่งของยอดเขามังกรเร้น

เหล่าบริวารชำเลืองมอง ก่อนร่างจะวูบไหวหายวับไปในพริบตา

มุมปากของบุตรศักดิ์สิทธิ์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม สายตาทอดมองฉากที่อยู่ห่างไกลออกไปซึ่งสามารถสั่นสะเทือนโลกทั้งใบได้ ร่องรอยความกระตือรือร้นปรากฏขึ้นในดวงตา “สุนัขเฒ่าเสิ่นใจกว้างกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก แต่ถ้าทำแบบนี้ เขาไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน!”

เมื่อกล่าวจบ ลู่หยวนพาฉินอี่หานกลับเข้าหอคอย

ณ ตระกูลเสิ่นในเมืองหลวน สายตาของเสิ่นฉงเต็มไปด้วยจิตสังหาร ยามมังกรอัสนีพลุ่งพล่านสู่ท้องนภาถูกพลังมหาวิถีกดข่ม แต่เขาคล้ายกับมองไม่เห็น

บรรพชนเสิ่นเข้าสู่ถ้ำหมื่นกระบี่ของตระกูลเสิ่นเพียงลำพัง ก่อนหยิบกระบี่ยาวจากในนั้นออกมา

ทันทีที่กระบี่มาอยู่ในมือ พลังมหาวิถีที่กดข่มเขาเอาไว้จึงคลายลง

เสิ่นฉงยื่นมือซ้ายออกไป แสงสว่างสีขาวหลายสิบสายวูบไหว มุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง …คือยอดเขามังกรเร้น!

บรรพชนเสิ่นเงยหน้าขึ้น พร้อมด้วยจิตสังหารเด่นชัด “ลู่หยวน วันนี้คือวันตายของเจ้า!”

สิ้นเสียงดังกล่าว เขาก็ฉีกกระชากความว่างเปล่า มุ่งหน้าสู่ยอดเขามังกรเร้น

ทันทีที่มาถึง เสิ่นฉงก็สังเกตเห็นการจัดเรียงของค่ายกลจำนวนมากรอบข้าง มีจำนวนหนึ่งร้อยเป็นอย่างต่ำ

เขาก้าวไปข้างหน้า โดยค่ายกลเหล่านี้ไม่อาจสัมผัสถึงตัวเขาได้แม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งอักขระก็ไม่ทำงาน

เสิ่นฉงกวาดสายตามองออกไป สายตาจับจ้องหอคอยหยกสูงตระหง่านในหุบเขา โดยมีร่องรอยความเหยียดหยันผุดขึ้นในใจ

เจ้าเด็กนี่รู้ว่าเขามาฆ่าแน่ ๆ เพราะงั้นเลยเตรียมค่ายกลพวกนี้เอาไว้!

ทว่า …ค่ายกลเหล่านี้โดยส่วนใหญ่อยู่ระดับราชัน และจักรพรรดิ หากเป็นคนอื่น ย่อมถูกค่ายกลเหล่านี้หยุดไว้ เป็นการยากที่จะเข้าใกล้ลู่หยวนได้จริง ๆ

แต่สำหรับเสิ่นฉง ค่ายกลเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอะไร… ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคเสียด้วยซ้ำ!

เจ้าหนูลู่หยวนนี่ คงจะอยู่ดีกินดีมานานเกินไป เลยไม่เคยได้เห็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาก่อน!

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับกลาง… พวกนี้นับว่าไม่เท่าไหร่

เสิ่นฉงถือกระบี่ยาวเอาไว้ ร่างพลันวูบไหว ก่อนจะปรากฏอยู่ด้านหน้าหอคอย

บนจุดสูงสุดของหอคอย คนผู้หนึ่งนั่งค้ำกระบี่ หลังจากสัมผัสถึงความผันผวนของกลิ่นอายได้แล้ว คนผู้นี้ก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ ปราณกระบี่ไร้ที่สิ้นสุดพวยพุ่งในทันที ปกคลุมทั่วทั้งยอดเขามังกรเร้นเอาไว้

“เหิงอีเจี้ยนหรือ?”

เสิ่นฉงมองคนตรงหน้า อดที่จะเย้ยหยันไม่ได้ว่า “ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะตามจับเจ้าอย่างไร แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาหาข้าถึงหน้าประตูเอง!”

เหิงอีเจี้ยนยืนขึ้นพลางคว้าฝักกระบี่ ปราณกระบี่ที่สั่นสะเทือนท้องนภารวมตัวบนฝักทันที ผ่านไปสักพัก คมกระบี่สามฉื่อพลันปรากฏ

สายลมรุนแรงพัดผ่าน ทำให้ชุดเปรอะเปื้อนของเขาพลิ้วสะบัดจนเกิดเสียง

ดวงตาราวกับเหยี่ยวจ้องตรงมาทางเสิ่นฉง “ข้ารับคำสั่งนายท่านมาฆ่าเจ้าที่นี่!”

เสิ่นฉงยิ้มเย้ยหยัน สายตาเผยแววดูถูก “แค่เจ้าน่ะหรือ?”

สิ้นคำ แรงกดดันที่เป็นของขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ก็แผ่ไปโดยรอบทันที กดข่มเจตจำนงกระบี่ทั้งหมดที่เหิงอีเจี้ยนปลดปล่อยออกมา

เหมือนกับเหตุการณ์ที่ตระกูลเสิ่นในวันนั้น มันยังเป็นการเผชิญหน้ากันตรง ๆ แต่ความแตกต่างของพลังทั้งสองได้กำหนดความผลลัพธ์เอาไว้แล้ว

เสิ่นฉงนำกระบี่ยาวในมือมาถือไว้เบื้องหน้า ชั้นพลังสีทองปกคลุมรอบกระบี่ยาว ภายใต้แสงสว่างสีทอง ถึงกับมีชั้นของพลังทมิฬปรากฏออกมา

เหิงอีเจี้ยนเพียงรู้สึกถึงแรงกดดันของแสงสว่างสีทองนั่น แต่ไม่สามารถรับรู้ถึงพลังครึ่งหนึ่งของพลังทมิฬได้

เสิ่นฉงตวัดกระบี่ จนแรงกดดันรอบข้างหยุดนิ่งทั้งหมด

เจตจำนงกระบี่ของเขาเริ่มแผ่ซ่าน ปกคลุมทั่วพื้นที่ในอึดใจเดียว

เหิงอีเจี้ยนสัมผัสถึงพละกำลังของกระบี่ในมือของคู่กรณีได้

ในใจของเขายังคงคิดเกี่ยวกับคัมภีร์กระบี่สวรรค์ของแผ่นดินหยวนหง แต่ไม่มีส่วนไหนบรรยายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาได้

กระบี่เล่มนี้ทรงพลังยิ่งนัก แต่กลับไม่มีข้อมูลในคัมภีร์กระบี่สวรรค์ กระบี่เล่มนี้น่าจะเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเสิ่นที่ถูกเก็บซ่อนในตระกูลมานานนับหมื่นปี

แต่เหิงอีเจี้ยนไม่ได้หวาดกลัว ทั่วร่างแผ่พลังออกมาขณะยืนเผชิญหน้ากับมัน กระบี่นับไม่ถ้วนเคลื่อนที่ตามเจตจำนงกระบี่ของเขา คาดไม่ถึงว่าในพื้นที่นี้ที่ถูกเสิ่นฉงกุมอำนาจ ปรมาจารย์กระบี่ยักษ์จะกำลังสร้างเขตแดนกระบี่ของตัวเองขึ้นมา

เสิ่นฉงเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หวั่นไหว จิตสังหารในดวงตาจึงแข็งกร้าว “เหิงอีเจี้ยน ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้ชีวิตของเสิ่นหุนในวันนี้นี่แหละ!”

ทันทีที่สิ้นเสียง บรรพชนเสิ่นก็ฟาดฟันกระบี่ยาวออกไป ปราณกระบี่ไร้พรมแดนก่อตัว พร้อมพุ่งทะลวงผ่านอากาศ!

ตูม!

ด้วยหนึ่งกระบี่ ทั่วปฐพีสั่นสะเทือนพังทลาย ต้นไม้รอบข้างไม่อาจแบกรับแรงกดดันที่แผ่ออกมาไว้ได้จนโค่นล้มลงมา

เหิงอีเจี้ยนถือฝักกระบี่ในมือซ้ายไว้แน่น ปราณกระบี่ที่ปกคลุมท้องนภาพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ขยายกระบี่ยักษ์ขึ้นสามถึงสี่เท่า

เขายกกระบี่ขึ้น เค้นพลังมหาศาลออกมา เพื่อฟันไปทางเสิ่นฉงซึ่ง ๆ หน้า

ตูม!!

ปราณกระบี่ทั้งสองปะทะกัน ความว่างเปล่ารอบข้างเริ่มสั่นไหว เสียงคำรามดังก้องมาพร้อมกับการใช้พลังวิญญาณมหาศาล ก่อนที่แรงกดดันพิศวงจะก่อตัวขึ้น ณ จุดรวมตัวของปราณกระบี่ทั้งสอง

ปราณกระบี่ของเหิงอีเจี้ยนไม่ได้เหนือกว่าของเสิ่นฉง บรรพชนเสิ่นอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว เขาถอยหลังกลับ คว้ากระบี่ยักษ์ขึ้นมา แล้วฟาดฟันออกไปอีกครั้ง

ตูม!

เมื่อปราณกระบี่หายไป ร่างของเสิ่นฉงขยับ และชั่วพริบตาต่อมา เขาก็อยู่เหนือศีรษะคู่ต่อสู้

“เหิงอีเจี้ยน วันนี้ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว!”

เขายืนอยู่ในอากาศ ถือกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้าง ออกแรงฟาดฟันไปอย่างสุดกำลัง

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

พลังสะเทือนท้องนภากดทับทันที อากาศทั่วพื้นที่ถูกบดขยี้และระเบิดจนสิ้น

พลังมหาศาลดังกล่าวพุ่งเข้ามาใกล้เหิงอีเจี้ยนในทันที