ตอนที่ 54

My Disciples Are All Villains

ที่ห้องโถงใหญ่เองยังคงเงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงเข็มที่หล่นลงสู่พื้นได้

ใบหน้าของลู่โจวก็ยังคงนิ่งสงบเช่นเคย ‘นี่คือพลังที่ไม่อาจพรรณนาได้อย่างงั้นหรอ? ‘ ตัวเขาคิดอยู่ในใจ

ลู่โจวไม่คิดมาก่อนเลยว่าการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตที่เขามีจะเป็นการโจมตีในรูปแบบของฝ่ามือไร้ปรานีแบบนี้ เพราะว่าจีเทียนเด๋าไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์ในแบบของวิถีเซนมาก่อน ในความทรงจำของจีเทียนเด๋ามีเพียงการฝึกฝนเรื่องพื้นฐานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ตัวเขาไม่ได้พยายามที่จะฝึกฝนกระบวนท่าอันสุดยอดเลย ลู่โจวในตอนนี้ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมการ์ดถึงได้ใช้พลังการโจมตีแบบนั้นได้ ลู่โจวในตอนใช้ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตจะใช้ฝ่ามือแบบนี้ออกมาได้

“ท่านรองเจ้าสำนัก! “

“ท่านรองเจ้าสำนัก! “

คนของซู่จินฉานรีบวิ่งไปที่ลานหน้าศาลาปีศาจลอยฟ้าในทันที สีหน้าของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สัญชาตญาณของพวกเขาได้บอกเอาไว้ว่าท่านรองหัวหน้าที่มาไม่สามารถทนการโจมตีอันสุดยอดนี้ได้ ด้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, หยวนเอ๋อ, โจวจี้เฟิง และฝางซงเองต่างก็วิ่งออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเช่นกัน

ลู่โจวเป็นคนเดียวที่ยังยืนอยู่ในกลางห้องโถงใหญ่ เขาค่อยๆ นั่งลงบนที่นั่งเช่นเดิมโดยที่ไม่ได้ตามคนส่วนมากออกไป ในระหว่างที่ตัวเขาปล่อยการโจมตีออกมา ลู่โจวก็สัมผัสได้ถึงพลังอันสุดยอดจากการโจมตีนั้น เขาเป็นคนเดียวที่เคยสัมผัสพลังระดับร่างสุดยอดของจีเทียนเด๋ามา เพราะแบบนั้นแล้วเขาจึงรู้ว่าการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังมากแค่ไหน

แล้วการการโจมตีมันแข็งแกร่งมากขนาดไหนกัน?

เพื่อพิจารณาจากความรู้สึกในตอนนี้ ลู่โจวก็สัมผัสได้ว่าการโจมตีครั้งนี้มันรุนแรงกว่าการโจมตีที่มาจากการใช้การ์ดระเบิดจุดสุดยอดซะอีก และเพราะการโจมตีนี้เองจึงทำให้ซู่จินฉานกระเด็นถอยกลับไปได้ แต่ถึงแบบนั้นซู่จินฉานคนนี้ก็ยังสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้บ้าง นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวของจีเทียนเด๋าในอดีตแข็งแกร่งกว่าซู่จินฉานไม่มากนัก

‘หรือว่าการ์ดใบนี้จะปรับระดับตามพลังของคู่ต่อสู้กัน? ‘ ลู่โจวได้แต่สงสัย แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาเคยใช้การโจมตีแบบนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นตัวเขาจึงไม่มีข้อมูลมาเปรียบเทียบเลย

อย่างไรก็ตามมันก็เป็นพลังที่ไม่อาจที่จะพรรณนาได้อยู่ดี

ชายชาวยุทธ์ชุดดำทั้งสี่ได้วิ่งมาถึงตัวของซู่จินฉานเป็นกลุ่มแรก พวกเขาทั้งหมดหยุดอยู่ห่างจากซู่จินฉานกว่าสิบเมตรด้วยกัน ก้อนหินทั้งหมดที่อยู่ใกล้ๆ กับตัวเขาได้แตกกระจายไม่มีชิ้นดี ซู่จินฉานได้ใช้พลังของตัวเองเพื่อรักษาสมดุลของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ได้รับความเสียหายจากแรงกระแทก

“ท่านรองเจ้าสำนัก! “

ซู่จินฉานที่ยืนขึ้นมาได้ยังไม่ขยับไปไหน ตัวเขากำลังยืนนิ่งพร้อมกับจ้องมองไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยความรู้สึกหวาดผวา

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผ่านๆ มาซู่จินฉานเองก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ตัวเขาไม่เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้เลย มีเพียงสิ่งหนึ่งที่ตัวเขามั่นใจมาก สิ่งนั้นก็คือความพ่ายแพ้เมื่อรับการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ชายทั้งสี่ได้จ้องมองไปยังซู่จินฉานด้วยความสยดสยอง พวกเขาทั้งหมดไม่เคยเห็นท่านรองเจ้าสำนักเป็นแบบนี้มาก่อน หนึ่งในชายทั้งสี่ได้ก้าวไปหาเขาก่อนที่จะใช้มือโบกไปมาที่ด้านหน้า ในตอนนั้นเองซู่จินฉานก็ยังคงจ้องมองไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยตาไม่กะพริบ

หลังจากนั้นเองลมกระโชกแรงก็ได้พัดไปทั่วลาน พลังยุทธของซู่จินฉานที่มีก็ได้เอ่อล้นออกมาจากร่างกายอีกครั้ง ในช่วงไม่กี่อึดใจต่อมาร่างกายของเขาทั้งหมดก็ได้สลายกลายเป็นฝุ่นผงไป ในตอนนั้นเองสายลมก็ได้พัดผ่านเศษฝุ่นทั้งหมดไป ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นร่างกายของซู่จินฉานก็ได้หายไปจากโลก ที่ที่เขาเคยยืนอยู่เหลือเพียงเศษซากความเสียหายจากแรงกระแทกเท่านั้น

ยอดฝีมือที่ติดบัญชีดำลำดับที่สามได้ตายจากไปแล้ว

ด้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, และคนอื่นๆ เองได้แต่กลืนน้ำลาย พวกเขาทั้งหมดเห็นภาพที่เกิดขึ้นดี พวกเขาทั้งหมดรู้สึกตกใจมากแต่ในขณะเดียวกันความโกรธที่ถูกพูดจาเหยียดหยามเองก็ได้ถูกระบายออกไปสักที

ชายผู้ที่เข้ามาในภูเขาทองเพื่อที่จะพูดจาเหยียดหยามในตอนนี้เขาไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว พวกลูกศิษย์ของลู่โจวเองไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่ายอดฝีมือคนนี้จะถูกจัดการในหนึ่งฝ่ามือ พวกเขาอดสงสัยไม่ได้เลยว่าท่านอาจารย์ของพวกเขามีวรยุทธที่ลึกล้ำมากแค่ไหนกันแน่

ในฐานะที่เป็นศิษย์ติดตามมาหลายปี พวกเขาทั้งหมดไม่เคยเห็นท่านอาจารย์ใช้ฝ่ามือที่เรียนรู้มาจากวิถีเซนมาก่อน ดังนั้นพวกลูกศิษย์ทั้งหลายจึงอดไม่ได้เลยที่จะตกใจเมื่อเห็นท่านอาจารย์ของเขาใช้กระบวนท่าฝ่ามือนี้จัดการกับซู่จินฉานไป

หลังจากที่เงียบไปนานหมิงซี่หยินก็เป็นคนแรกที่พูด “นี่มันฝีมือของท่านอาจารย์…”

“เจ้านี่น่ะสมควรตายแล้ว! ” ด้วนมู่เฉิงพูดออกมา

หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะโต้ตอบกลับไป “ใช่ เจ้าพวกนี้น่ะสมควรตายแล้ว”

ในตอนนี้ชาวยุทธชุดดำทั้งหมดที่เหลืออีก 4 คนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้ว ซู่จินฉานที่เป็นผู้นำในครั้งนี้ได้ตายจากไปแล้ว ชาวยุทธทั้ง 4 จึงไม่มีผู้นำอีกต่อไป ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะเป็นชาวยุทธ์ที่มีระดับพลังยุทธ์ขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ พวกเขาทั้งหมดก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วๆ ไป

หมิงซี่หยินรีบยืดกล้ามเนื้อของเขาก่อนที่จะเผยให้เห็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย “พวกเจ้าน่ะอยากเห็นพลังร่างอวตารของข้าไหม? “

“ท่านหมิงซี่หยิน…ท่าน…ท่าน…” ชายทั้ง 4 รู้สึกกลัวมากจนพูดไม่ออก พวกเขาถอยหลังไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินทำท่าทีที่จะพุ่งใส่ ทั้งสองคนเป็นเหมือนกับนักล่าที่กำลังจะออกล่าเหยื่อ

ในตอนนั้นเองเสียงของลู่โจวก็ได้ดังออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า “กลับไปบอกหัวหน้าของพวกเจ้าซะ ควบคุมคนของพวกเจ้าให้ดีหน่อย! “

เมื่ออาจารย์ของพวกเขาพูดออกมา หมิงซี่หยินก็ไม่กล้าที่จะโจมตีชายทั้งสี่คนที่เหลืออีกต่อไป “ไปให้พ้นหน้าพ้นตาข้าซะ! ” หมิงซี่หยินได้พูดกับชาวยุทธชุดดำ

ด้านในศาลาปีศาจลอยฟ้า…

ลู่โจวได้ยินเสียงของระบบแจ้งเตือนตัวเขา ในตอนนี้ตัวเขาได้แต้มบุญมากกว่า1,000 แต้มด้วยกัน แต้มบุญที่ได้มาทั้งหมดเป็นแต้มบุญที่มาจากการสังหารยอดฝีมือที่มีระดับพลังวรยุทธ์อยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ตัวเขาในตอนนี้มีแต้มบุญมากพอที่จะซื้อการ์ดใบใหม่แล้ว

แม้ว่าพลังของการ์ดจะน่าทึ่งมากขนาดไหน แต่ตัวเขาก็จะต้องใช้อย่างระมัดระวังในอนาคตอยู่ดี พลังของมันที่ไม่อาจจะพรรณนาได้เป็นพลังที่เขาไม่สามารถใช้กับคนที่ไม่อยากสังหารได้

ก่อนหน้านี้ที่ลู่โจวได้ถามถึงจุดประสงค์การที่ซู่จินฉานขึ้นภูเขาทองมามีจุดประสงค์แอบแฝงด้วยกันทั้งหมดอยู่สองประการด้วยกัน: ประการแรกเขาอยากที่จะรู้เป้าหมายที่แท้จริงของวิหารปีศาจและการเคลื่อนไหว ประการที่สองตัวเขาอยากที่จะลองใช้การ์ดการโจมตีของเพรชฆาตนั่นเอง จริงๆ แล้วลู่โจวไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าซู่จินฉานไป แต่อย่างไรก็ตามเขาคนนั้นก็ได้ตายไปแล้ว การตายของยอดฝีมือคนนี้จะเป็นเหมือนกับคำเตือนชั้นดีให้กับชาวยุทธจากวิหารปีศาจ

ด้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, และคนอื่นๆ เองได้เดินกลับไปที่ห้องโถงใหญ่

“ท่านอาจารย์ของพวกเราเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว! เพียงแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้นเจ้าหมอนั้นที่ปากดีก็ได้กลายเป็นขี้เถ้าไป! ” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างปลาบปลื้ม

“ท่านอาจารย์ ข้าอยากจะเรียนรู้การใช้ฝ่ามือนั่น! ” หยวนเอ๋อเองรีบวิ่งไปข้างๆ ลู่โจวก่อนที่จะนวดไหล่ให้อย่างเอาอกเอาใจ

ลู่โจวในตอนนั้นได้ส่ายหัวปฏิเสธไปก่อนจะพูดตามมา “เจ้าน่ะอย่าโง่ไปหน่อยเลย ตอนนี้เจ้าน่ะกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาหยกแห่งความบริสุทธิ์ขั้นสูงสุดอยู่ เคล็ดวิชานี้เองเป็นเคล็ดวิชาที่เน้นการฝึกฝนไปที่การเคลื่อนไหวและกระบวนท่าเพลงหมัด มันย้อนแย้งกับการฝึกฝนของวิถีแห่งเซน เจ้าน่ะไม่กลัวว่าจะเดินผิดทางอย่างงั้นหรอ? “

“แต่คนอื่นก็คิดว่าพวกเราชั่วร้ายและก็เดินทางผิดอยู่แล้วนะคะ…” หยวนเอ๋อพึมพำออกมา

“เงียบซะ! ” ลู่โจวขึ้นเสียง

หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่เม้มปากไม่กล้าพูดต่อไป

ด้วนมู่เฉิงเองรู้สึกสับสนมากเมื่อได้ยินแบบนั้น ตัวเขาได้เอ่ยปากถามกับลู่โจวออกไป “ท่านอาจารย์ทำไมถึงได้ปล่อยเจ้าพวกนั้นให้หนีไปได้กัน? “

ก่อนที่ลู่โจวจะตอบหมิงซี่หยินก็ได้ชิงตอบไปก่อน “ท่านอาจารย์ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างงั้นสินะ การจัดการซู่จินฉานเป็นเหมือนกับการเชือดไก่ยังไงล่ะ ยังไงซะพวกวิหารปีศาจจะต้องตื่นตกใจกลัวพวกเราอย่างแน่นอน ความต้องการขยายอำนาจของเจ้าพวกนั้นจะต้องถูกสกัดกั้นเอาไว้ แต่ถ้าหากวิหารปีศาจสูญเสียพลังอำนาจไป ก็คงจะมีแต่สำนักทางใต้ของศิษย์พี่คนโตเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แล้วถ้าหากวิหารปีศาจหายไปใครจะเป็นคนหยุดสำนักทางใต้ของศิษย์พี่ใหญ่กันล่ะ? “

ด้วนมู่เฉิงเองดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ “ซู่จินฉานเป็นถึงกับรองเจ้าสำนักของวิหารปีศาจ การตายของเขาไม่ได้ทำให้วิหารปีศาจต้องการจะแก้แค้นหรอกหรอ? “

“ศิษย์พี่น่ะคิดมากจนเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าพวกนั้นจะแค้นแค่ไหนแต่เจ้าพวกนั้นจะทำอะไรได้กันล่ะ? คนจากวิหารปีศาจจะพาลูกศิษย์สาวกทั้งหมดมาเพื่อโจมตีภูเขาทองอย่างงั้นหรอ? ไม่มีทางที่พวกวิหารปีศาจจะกล้าโจมตีภูเขาทองที่แม้แต่สำนักทางใต้เองยังไม่กล้าโจมตีซะหรอก ทุกคนในยุทธภพรู้ดีว่ายู่เฉิงไห่แท้จริงแล้วแข็งแกร่งขนาดไหน”

“นอกจากนี้ภูเขาทองยังสามารถขับไล่เหล่ายอดฝีมือทั้งสิบไปได้ และแม้แต่ยอดฝีมือผู้ที่เป็นเจ้าสำนักอย่างลู่ฉางเฟิงเองก็ถูกจัดการไปในการต่อสู้ครั้งนั้น เขาคนนั้นเป็นเจ้าของพลังร่างอวตารที่มีกลีบดอกบัวถึง 7 กลีบด้วยกัน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับท่านอาจารย์ของพวกเราไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะไม่มีใครกล้าโจมตีภูเขาทองอย่างแน่นอน”

หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ

“ศิษย์พี่สี่พูดจะต้องถูกต้องอย่างแน่นอน ข้ารู้สึกเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจริงๆ ” ฝางซงที่ได้ฟังความเห็นหมิงซี่หยินได้โค้งคำนับให้กับเขา ในตอนแรกตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจสาเหตุเช่นกัน แต่เพราะได้คำอธิบายของหมิงซี่หยินจึงทำให้ตัวเขาในตอนนี้เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว

“ศิษย์พี่สี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ คำอธิบายของศิษย์พี่ได้ไขข้อสงสัยของข้าจนหมดแล้ว…” โจวจี้เฟิงเองก็เห็นด้วยเช่นกัน

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้สึกสับสน ‘คนโง่อย่างพวกเจ้าน่ะมีหรือจะเข้าใจ? ‘ หมิงซี่หยินกำลังแอบชำเลืองมองลู่โจวจากหางตาอย่างระมัดระวัง คำอธิบายทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่ได้มีไว้เพื่ออธิบายอะไรเลย เขาก็แค่อยากจะประจบท่านอาจารย์ของเขาก็เท่านั้น

ลู่โจวเองไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร ในตอนนี้เขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจเท่านั้น ‘เจ้าหมิงซี่หยินนี่ก็วิเคราะห์ได้ดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดแต่สิ่งที่เจ้าหมอนี้พูดออกมาก็ยังมีส่วนถูกอยู่บ้าง’

ในตอนนั้นเองชาวยุทธชุดดำทั้งสี่ก็ได้กลับไปที่รถม้ามังกรดำ พวกชาวยุทธ์คนอื่นๆ ที่ติดตามมาไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าผู้นำของพวกเขาในครั้งนี้จะได้ตายจากไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกชาวยุทธทั้งหลายก็ไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้ภูเขาทองอีกต่อไป ในตอนนี้การควบคุมรถม้าโดยไม่มีซู่จินฉานเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก พวกชาวยุทธทั้งหมดได้พยายามอย่างเต็มที่ในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำให้รถม้าบินขึ้นไปบนฟ้าได้อีกครั้ง แต่ถึงแม้ว่าจะทำได้รถม้าคันนั้นก็ได้บินไปอย่างเชื่องช้า

รถม้าลายมังกรดำได้บินกลับไปยังเส้นทางที่มันได้เดินทางมา แม้ว่ารถม้าจะบินกลับไปได้อย่างเชื่องช้าแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเร็วสำหรับคนทั่วไปอยู่ดี ชาวยุทธทั้งหลายที่เดินทางมาได้แบ่งพลังของตัวเองส่วนหนึ่งไปกับการบังคับรถม้าคันนี้ ในระหว่างที่เดินทางกลับอยู่รถม้าคันนี้ก็ได้เดินทางไปเจอกับชายคนหนึ่งเข้า ชายคนนี้ขวางหน้ารถม้าเอาไว้ เขาสวมชุดคลุมสีฟ้า ที่หัวของเขาไว้ทรงผมที่ดูยุ่งเหยิงไปหมด ที่อกของชายคนนี้พาดดาบเอาไว้ที่ด้านหลัง