ตอนที่ 55

My Disciples Are All Villains

มีชายผู้ใช้ดาบคนหนึ่งกำลังบินอยู่บนอากาศด้วยดาบของตัวเองพร้อมกับสีหน้าที่ดูผ่อนคลายราวกับว่าเขาจะรอเวลานี้มานานแล้ว ในตอนนั้นเองพลังจางๆ ก็ได้หมุนรอบตัวของเขาเอาไว้ ถึงแม้ว่าพลังนี้จะเป็นพลังอันแผ่วบางแต่มันก็เต็มไปด้วยพลังอันแปลกประหลาด ในตอนนั้นเองที่ด้านหลังของชายผู้ใช้ดาบก็มีพลังสีแดงปรากฏขึ้น

แม้ว่ากลุ่มชาวยุทธชุดดำจะไม่ได้ท่องยุทธจักรมามากนัก แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังของยอดฝีมือได้ พลังของยอดฝีมือนั่นเองได้ทำให้รถม้ามังกรสีดำไม่สามารถเดินทางได้อีกต่อไป

หนึ่งในกลุ่มชาวยุทธชุดดำคนหนึ่งได้บินออกมาจากแถวก่อนที่จะเริ่มเอ่ยปากถามอย่างสุภาพขึ้นมาก่อน “ข้าขอทราบชื่อของเจ้าจะได้ไหม พอดีเจ้ากำลังขวางทางเราอยู่น่ะ?”

นักดาบคนนั้นค่อยๆ หันกลับมาอย่างช้าๆ ใบหน้าที่เฉียบคมของเขากำลังยิ้มอยู่ แต่ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะยิ้มแย้มแต่ในรอยยิ้มนั้นกลับดูคลุมเครือเป็นอย่างมาก มันยากเกินกว่าที่จะอธิบายได้ ชายผู้ที่ใช้ดาบคนนั้นได้พูดขอโทษออกมาอย่างสุภาพ “ข้าต้องขอโทษด้วย”

“โอ้ นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างงั้นสินะ” ชาวยุทธชุดดำคนนั้นได้พูดต่อมา “งั้นลาก่อน”

แต่ถึงแม้จะพูดแบบนั้นชายผู้ใช้ดาบก็ไม่ได้หลีกทางให้ เขายังคงยิ้มแย้มอยู่เช่นเดิมก่อนที่จะจ้องมองไปยังรถม้าและกลุ่มผู้ฝึกยุทธ

“ข้าขอโทษด้วย” ในตอนนั้นชายผู้ใช้ดาบก็ได้พูดออกมาเป็นครั้งที่สอง บรรยากาศอันแปลกประหลาดก็ได้เพิ่มมากขึ้น

จากนั้นกลุ่มชาวยุทธชุดดำก็ได้เห็นดาบลอยขึ้นมาจากด้านหลังของชายผู้ใช้ดาบ ในตอนนั้นเองคลื่นพลังอันมหาศาลก็ได้ไหลออกมาจากร่างกายราวกับเป็นใบมีด เมื่อเห็นแบบนั้นเหล่าชาวยุทธทั้งหมดที่ได้เห็นก็ได้พูดตะโกนออกมา “นั่นดาบปีศาจ? รีบทิ้งรถม้าแล้วหนีเอาชีวิตรอดซะ! “

กลุ่มชาวยุทธชุดดำรีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแบบนั้นดาบที่ส่องแสงสีแดงออกมาจางๆ ก็ได้ฉีกกระชากร่างกายของเขาไปเป็นชิ้นๆ ชาวยุทธคนแล้วคนเล่าได้ถูกสังหารไปอย่างรวดเร็ว

สายฝนแห่งดาบได้เจาะทะลุไปที่ร่างของชาวยุทธชุดดำไปอย่างง่ายดาย ชายผู้ใช้ดาบคนนั้นยังคงยืนยิ้มอยู่เช่นเดิมพร้อมกับเอามือกอดอกเอาไว้ หลังจากที่โจมตีเสร็จชายคนนั้นก็ได้หันหลังให้ในทันที

“ข้าต้องขอโทษจริงๆ “

ชายผู้ใช้ดาบได้เอ่ยปากพูดขอโทษเป็นครั้งที่สาม หลังจากนั้นเขาก็ได้หายไปจากที่ที่เคยยืนอยู่

ในตอนนั้นเองที่ห้องโถงใหญ่ศาลาปีศาจลอยฟ้า…

เมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์ในตอนนี้กำลังใช้ความคิดอยู่ หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะเริ่มต้นพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ชาวยุทธที่มาจากวิหารปีศาจได้ถอยกลับไปแล้ว พวกเราจะเอายังไงกับชาวยุทธหญิงที่มาจากวังจันทราดีครับ? “

หมิงซี่หยินไม่รู้เลยว่าอาจารย์ของเขาในตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

ถ้าหากเป็นจีเทียนเด๋าในอดีต เขาในตอนนี้ก็คงจะสังหารกลุ่มชาวยุทธหญิงทั้งหมดไปแล้ว และยี่เทียนซินเองที่ได้ทรยศและทิ้งตัวเขาก็จะต้องตายด้วยเช่นกัน

แม้ว่าจะได้ยินคำถามมาจากหมิงซี่หยิน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เขาหันกลับไปมองหยวนเอ๋อแทน

หยวนเอ๋อเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง และถึงแม้ว่าในบางครั้งเธอคนนี้จะเผลอคิดร้ายออกมาบ้าง ดังนั้นลู่โจวจึงอยากที่จะทดสอบเธอ “เจ้าคิดว่ายังไงหยวนเอ๋อ พวกเราจะจัดการกับเจ้าพวกนั้นยังไงดี? “

“ฮะ? ” หยวนเอ๋อในตอนนั้นได้หยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ทำไมพวกเราไม่ฆ่าเจ้าพวกนั้นให้หมดล่ะ? “

“แค่ก! แค่ก! ” หมิงซี่หยินไอก่อนที่จะเหลือบมองไปที่เด็กสาวตัวน้อยคนนี้อย่างรู้สึกผิด

ลู่โจวในตอนนั้นได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะใช้มือของตัวเองโขกไปที่ศีรษะของหยวนเอ๋ออย่างอ่อนโยน

“ข้ารู้หน่าท่านอาจารย์…ข้าจะปล่อยพวกนั้นให้เป็นอิสระเดี๋ยวนี้” หยวนเอ๋อพูดก่อนที่จะยิ้มให้อย่างใสซื่อ

“ข้าไปบอกตอนไหนกันว่าจะปล่อยเจ้าพวกนั้นไป? “

“อ่าว…”

ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินที่ได้ฟังอยู่ก็ได้ชิงพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ เมื่อไม่นานมานี้ศิษย์พบว่ามีอะไรหลายๆ อย่างที่พวกเราจะต้องเก็บกวาด ทำไมไม่ให้คนของวังจันทราคอยทำความสะอาดศาลาปีศาจลอยฟ้าให้พวกเราซะล่ะ ให้เจ้าพวกนั้นเป็นทาสซะ? “

ลู่โจวเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ‘ชายยคนนี้คิดอะไรอยู่กัน? เจ้านี้คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของโรงงานหน้าเลือดอย่างงั้นสินะ แต่ถึงแบบนั้น…มันก็เป็นความคิดที่ดีล่ะนะ’

“เอาล่ะ! ให้เจ้าพวกนั้นซ่อมแซมศาลาปีศาจลอยฟ้าซะ ถ้าหากเจ้าพวกนั้นซ่อมแซมเก็บกวาดทุกอย่างเสร็จแล้วให้เจ้าพวกนั้นไปอยู่กับยี่เทียนซินที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน” ลู่โจวพูดสั่งการขึ้น

“ศิษย์จะทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์”

หมิงซี่หยินในตอนนั้นกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาพยายามรวบรวมความกล้าขึ้นมาก่อนที่จะถามลู่โจวไปตรงๆ “ท่านอาจารย์ ตอนนี้พวกเราก็ได้ตัดสินใจลงโทษคนจากวังจันทราทั้งหมดไปแล้ว ท่านอาจารย์ ท่านได้ทำลายวรยุทธของยี่เทียนซินจนไปหมดแล้ว ตอนนี้ศิษย์น้องก็ถูกขังอยู่ที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนที่มีอากาศเย็นยะเยือก ศิษย์เกรงว่าเธออาจจะตายก็เป็นได้ถ้าหากถูกขังอยู่ที่นั่น…”

ลู่โจวยกมือขึ้นก่อนที่จะขัดจังหวะเขา “เจ้าน่ะเห็นใจเธออย่างงั้นสินะ? “

“ไม่ ศิษย์ไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอก! ” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างตื่นกลัว “ยี่เทียนซินจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก เจ้านั่นนะทรยศต่อข้าผู้นี้! เจ้านั่นน่ะสมควรที่จะได้รับการลงโทษแล้ว! “

“ข้าน่ะมีแผนของข้า”

“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์”

หมิงซี่หยินไม่กล้าที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับยี่เทียนซินอีกต่อไป ในตอนนั้นเองเขาได้หันหลังให้กับห้องโถงใหญ่ก่อนที่จะเดินจากไป หลังจากที่เดินออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า หมิงซี่หยินก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ‘โชคดีที่เป็นศิษย์น้องเล็กตอบคำถามไป…ตอนนี้ความคิดของท่านอาจารย์ยากแท้ที่จะหยั่งถึง’ เมื่อหมิงซี่หยินนึกย้อนกลับไปดูสภาพอันน่าสมเพชของซู่จินฉาน ตัวเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เลือกท้าทายท่านอาจารย์ของเขาอีกต่อไป

“ท่านอาจารย์ศิษย์เองก็ขอตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บเช่นกัน” ด้วนมู่เฉิงพูดเสร็จก็เดินตามหมิงซี่หยินออกไป

“ช้าก่อน! “

ลู่โจวค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินตรงมาที่ด้านหน้าของด้วนมู่เฉิง ตัวเขากำลังเหลือบมองมาที่โซ่ที่พันธนาการตัวของด้วนมู่เฉิงเอาไว้

โซ่ชิ้นนี้ทำมาจากเหล็กเย็นที่มีอายุมากกว่าหลายพันปี มันเป็นโซ่ที่ไม่สามารถใช้อาวุธธรรมดาตัดให้ขาดได้ การจะทำลายโซ่ชิ้นนี้จะต้องใช้อาวุธระดับสรวงสวรรค์เท่านั้น อย่างไรก็ตามลู่โจวก็ไม่มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์อยู่กับตัวในตอนนี้เลย เขามีเพียงการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตที่เหลืออยู่ 2 ใบเท่านั้น

ในตอนนี้ในใจของลู่โจวก็ได้เกิดคำถามขึ้นมา การ์ดการโจมตีของเพรชฆาตสามารถใช้กับโซ่เส้นนี้ได้ไหม? มันจะบดขยี้ด้วนมู่เฉิงไปกับโซ่ไหมนะ?

ด้วนมู่เฉิงรู้สึกดีใจมากที่ท่านอาจารย์ของเขาสังเกตเห็นโซ่เส้นนี้ “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของท่านตัดโซ่เส้นนี้ให้ศิษย์ด้วยเถอะ! “

“…”

หยวนเอ๋อได้กระโดดขึ้นมาเพื่อที่จะจับโซ่ไว้ด้วยมือเปล่าของเธอ เธอในตอนนั้นเองตัวอักษรตัวเล็กๆ ที่อยู่บนโซ่เส้นนี้ “สำนักดาบสวรรค์…”

เมื่อได้ยินแบบนั้นโจวจี้เฟิงที่อยู่ใกล้ๆ ก็รีบคุกเข่าในทันที “ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย! “

ด้วนมู่เฉิงเหลือบมองไปที่โจวจี้เฟิงก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงไป ท่านอาจารย์น่ะจะทำลายโซ่แบบนี้เป็นสิบหรือเป็นร้อยเส้นก็ย่อมได้ การทำลายโซ่น่ะมันช่างง่ายดาย นับประสาอะไรกับโซ่เส้นเดียว”

“…”

เมื่อมองไปที่โซ่เสร็จ ลู่โจในตอนนี้ก็พยายามใช้สีหน้าที่นิ่งเฉยเพื่อซ่อนความคิดทั้งหมดที่เขามีเอาไว้ ลู่โจวได้เอามือประสานเอาไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะพูดออกมา “หยวนเอ๋อช่วยพาข้ากลับที่พักที”

“ค่ะ! “

“??? “

แม้ว่าลู่โจวและหยวนเอ๋อจะได้จากไปสักพักแล้ว แต่ด้วนมู่เฉิงเองก็ยังยืนอยู่ตรงที่เก่า เขากำลังคิดว่าพูดอะไรผิดไป

โจวจี้เฟิงเองลุกขึ้นก่อนที่จะพูดอย่างเขินอายออกมา “ศิษย์พี่สามโซ่…โซ่…โซ่เส้นนี้ข้าเองก็ไม่สามารถทำลายได้เช่นกัน! “

“ข้าก็ไม่สามารถทำลายมันได้เช่นกัน” ฝางซงเองก็พูดออกมา

“ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าซะ”

“…”

ชายทั้งสองรีบออกไปจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปในทันที

ด้วนมู่เฉิงได้แต่เกาหัวของตัวเอง เขาสงสัยว่าอาจารย์ของเขากำลังบอกใบ้อะไรอยู่รึเปล่า หลังจากที่ใช้โซ่เส้นนี้ต้านทานการโจมตีของซู่จินฉานได้ถึงหลายครั้งต่อหลายครั้ง หรือว่าการที่ถูกโซ่เส้นนี้พันธนาการเอาไว้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกยุทธมากกว่ากัน?

ท่านอาจารย์เป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดแล้ว บางทีข้าคงจะต้องเลิกคาดเดาความคิดของท่านอาจารย์ซะแล้วล่ะ ‘ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วข้าจะต้องยอมถูกโซ่เส้นนี้พันธนาการไปก่อนอย่างงั้นสินะ’

ในห้องโถงวิหารปีศาจ…

“นายท่าน ท่านรองเจ้าสำนักถูกสังหารระหว่างที่ไปเยี่ยมเยียนภูเขาทอง คนของเราพบศพทั้งหมดพร้อมกับรถม้าลายมังกรดำ รถม้าได้ถูกทิ้งเอาไว้ทางเหนือของภูเขาทองโดยห่างจากภูเขาเพียง 80 เมตรเท่านั้น รถม้าที่ถูกทิ้งเอาไว้มีศพคนของเราอยู่ด้วย 50 กว่าศพ” ชายผู้ที่ถูกเรียกว่านายท่านได้บินไปมาด้วยความโกรธหลังจากที่ได้ยินรายงานเรื่องนี้ “ท่านรองเจ้าสำนักได้ตกลงกับสำนักบริสุทธิ์ได้แล้ว ข้อตกลงที่ว่าก็คือการปราบปรามคนจากภูเขาทอง ท่านรองเจ้าสำนักเองก็ได้รับการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดิแล้วด้วย แต่นึกไม่ถึงเลยเจ้าปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นจะ…”

“หุบปาก! ” เสียงทุ้มของชายผู้ที่เป็นนายท่านได้ดังออกมาราวกับว่าเป็นเสียงของฟ้าผ่า เสียงนี้เองทำให้ชายผู้ที่มารายงานข่าวทรุดตัวลงไปกับพื้นด้วยความกลัว

“ได้โปรดใจเย็นก่อนนายท่าน! “

“บอกผู้อาวุโสทั้งหลายจากสำนักบริสุทธิ์ว่าไม่ต้องโกรธแค้นไป เรื่องนี้จะไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน ยังไงซะตอนนี้การร่วมมือกันระหว่างวิหารปีศาจกับสำนักบริสุทธิ์ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่ายังไงข้าก็อยากที่จะเห็นเจ้าพวกนั้นแสดงความจริงใจให้กับพวกเราได้เห็น”

“ชะ…ใช่แล้วนายท่าน ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องรายงาน…”

“บอกข้ามาสิ”

“สองยอดฝีมือจากสำนักบริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับสำนักดาบอสูรเมื่อวานนี้ ข้ากลัวว่า…วันนี้พวกเขาจะมาพบนายท่านไม่ได้! “

“ไสหัวออกไปซะ! “

เสียงดังลั่นสนั่นได้ทำให้ชายคนที่วิ่งเข้ามารายงานข่าววิ่งออกไปจากห้องด้วยความหวาดกลัว ในระหว่างนั้นเองชายผู้ที่พูดก็ได้ทำลายข้าวของ

“เมื่อข้าฝึกเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์สำเร็จเมื่อไหร่ ข้าจะไปจัดการกับตาแก่ปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั่นเอง! “