บทที่ 133 ปลดเปลื้องสามัญ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 133 ปลดเปลื้องสามัญ

พลังความร้อนรัศมีสามพันกว่าจั้งเดือดระอุจากการปิดเปิดของตาทั้งสอง จนปราณหมอกตีเกลียวไปทั่วท้องฟ้า กลายเป็นร่มดำรางๆ และซ่อนคลื่นสะกดของที่นี่

ทำให้ภาพนี้ไม่มีใครเห็น แต่ว่าปัจจุบันสัตว์ป่าทั้งหมดในพื้นที่นี้ตัวสั่นงันงกกันหมด

แต่ละตัวคลานอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงน้อย

ด้านหนึ่งคือกลิ่นอายของสวี่ชิงที่เข้าสู่สร้างฐานแล้ว และความแข็งแกร่งของแรงกดดันในระดับสร้างฐานก็น่าตกตะลึงอย่างมาก อีกด้านหนึ่งก็คือตะเกียงแห่งชีวิตในร่างกายของสวี่ชิง!

รูปร่างของตะเกียงแห่งชีวิตนี้คือร่มสีดำ ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องราวในอดีตอะไรมา ปราณพิฆาตถึงหนักหนาเพียงนี้

และการก่อตัวของตะเกียงแห่งชีวิตจากคำพูดของนายกองเมื่อครั้งนั้น คือก่อนหน้าที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าจะมาเยือน ก็มีเหล่าสายเลือดของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณฝึกบำเพ็ญมาแล้ว และต้องใช้วิชาระดับจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะสามารถควบรวมมันออกมา

ในยุคสมัยนั้น คนพวกนี้มีอยู่น้อยถึงน้อยมาก แต่ละคนล้วนสามารถสะกดไปได้ทั่วสารทิศ ผู้ที่ต่อสู้กับพวกเขาไหว มีเพียงผู้มีสายเลือดของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณที่ฝึกบำเพ็ญจนควบรวมตะเกียงแห่งชีวิตออกมาได้เท่านั้น

และการมาเยือนของเสี้ยวหน้าเทพเจ้า ทำให้เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณส่วนใหญ่หนีไป ดังนั้นปัจจุบันในโลกใบนี้ผู้ที่ยังมีตะเกียงแห่งชีวิตจึงมีอยู่น้อยถึงน้อยมาก มีก็แต่พวกเมล็ดพันธุ์ที่ถูกฝากฝังความหวังมหาศาลของสำนักและขั้วอำนาจใหญ่ไว้เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้ควบรวมเข้าด้วยกัน

‘ไม่รู้ว่าตะเกียงแห่งชีวิตดวงนี้ที่ข้ารับมา เป็นของสายเลือดเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณคนใดควบรวมออกมา’

สวี่ชิงล้วงเอาเสื้อคลุมยาวสำรองออกมาชุดหนึ่ง เงยหน้าจดจ้องไปยังเงาร่มดำที่แปรมาจากหมอกเมฆ ครู่หนึ่งเขาก็อ้าปากสูดเล็กน้อย ปราณหมอกเปลวเพลิงร้อนแรงทั้งหมดในอาณาเขตสามพันกว่าจั้งก็ม้วนกลับเข้ามาในพริบตา

ขณะเดียวกัน ตัวสวี่ชิงก็กลายเป็นกระแสวน ทำให้พริบตาที่ปราณหมอกเปลวเพลิงเข้ามาใกล้เข้าไปในปากและจมูกเขาจนหมด

และสองตาของสวี่ชิงก็ยิ่งแผ่ซ่านประกายอันน่าทึ่งออกมาตามปราณหมอกที่หายไป ราวกับในดวงตามีดวงดาราอยู่ พลังเวทระดับสร้างฐานทั้งร่างก็แข็งแกร่งอย่างมาก และเหมือนจะเต็มเปี่ยมถึงขีดสุดจนแผ่ซ่านออกมาจากในร่างกายเขาโดยสัญชาตญาณ

สวี่ชิงสีหน้าปกติ เขารู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะร่างกายเพิ่งเข้าสู่ระดับสร้างฐาน ร่างกายยังปรับตัวกับพลังเวทที่น่ากลัวนี้ได้ไม่สมบูรณ์ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

‘สิ่งที่ผู้บำเพ็ญสร้างฐานฝึกบำเพ็ญคือช่องเวทและไฟชีวิตของตนเอง สุดท้ายเมื่อสร้างไฟชีวิตได้ประมาณสามดวง ก็จะย่างเข้าสู่ระดับใหม่ ช่องเวทของข้าสามารถสร้างไฟชีวิตได้สี่ดวง’ สวี่ชิงก้มหน้าสัมผัสกับตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำที่ค่อยๆ สงบลงในร่างกาย ดวงตาเผยความคาดหวังลึกๆ

นายกองเคยพูดไว้เกี่ยวกับตะเกียงแห่งชีวิตว่าต่อให้เป็นยุคสมัยที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ายังไม่มาเยือน ลูกหลานที่มีสายเลือดนายเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ คนที่สามารถสร้างตะเกียงแห่งชีวิตขึ้นมาได้ก็ใช่ว่ามีน้อย แต่ส่วนใหญ่สร้างได้แค่ดวงเดียวเท่านั้น

มีเพียงลูกหลานอัจฉริยะแห่งยุคนั้นอย่างแท้จริงที่ถูกเข้าใจว่ามีคุณสมบัติขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณในอนาคต ถึงสร้างตะเกียงแห่งชีวิตขึ้นได้หลายดวง และรากของตะเกียงแห่งชีวิตก็เช่นเดียวกับไฟชีวิต

‘หนึ่งดวง ข้าก็พอใจแล้ว ต้องรีบเปิดสามสิบช่องเวทให้ได้!’

สวี่ชิงสัมผัสร่างกายของตนเองครู่หนึ่ง คลื่นพลังบำเพ็ญของเขาไม่ได้สะดุดตานักภายใต้การปกคลุมของร่มดำ เพราะตัวตนของร่มดำนี้โดดเด่นสะดุดตากว่าตัวเขามาก

สวี่ชิงจึงก้มหน้าลงมองเงาผาดหนึ่ง จากนั้นก็กระตุ้นความคิด ฉับพลันเงาก็ยื่นส่วนหนึ่งออกมาผสานเขากับในร่างกายของเขา ปกคลุมอยู่เหนือตะเกียงแห่งชีวิต

เพิ่งจะเข้าประชิด เงาก็เหมือนจะต่อต้านสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงของ แต่ภายใต้สายตาที่เรียบสงบของสวี่ชิง มันจึงยังไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงกางออกแล้วคลุมมันไว้ชั้นหนึ่งเพื่อปิดบังแสงตะเกียง

ร่างกายสวี่ชิงหม่นลงในพริบตา แม้คลื่นพลังสร้างฐานยังอยู่ แต่ตะเกียงแห่งชีวิตก็ไม่เด่นสะดุดตาแล้ว

‘น่าเสียดายก็แค่เคล็ดคีรีสมุทร บางทีคงเพราะระดับต่ำจนเกินไป หรือบางทีอาจเพราะมาถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถยกระดับขึ้นไปได้’ สวี่ชิงเสียดายเล็กๆ

เคล็ดคีรีสมุทรช่วยเหลือเขามามาก เพียงแต่เขาฝึกบำเพ็ญจนมาถึงขีดจำกัดแล้ว ทะลวงขั้นต่อได้ลำบาก ต่อให้มาถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถไปถึงได้ ในความรู้สึกของสวี่ชิง เหมือนยังขาดจุดพลิกสถานการณ์บางอย่างอยู่

‘หลังจากนี้ต้องคิดหาวิธียกระดับชั้นของเคล็ดคีรีสมุทรขึ้นไปอีก

‘ส่วนตอนนี้ รอจนพลังบำเพ็ญมั่นคงค่อยรีบกลับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต และตอนที่ขึ้นไปลงทะเบียนฝึกบำเพ็ญบนเขา ก็จะไปแลกวิชาระดับสร้างฐานมาด้วย’ ตอนนี้สวี่ชิงไม่มีวิชาระดับสร้างฐาน ไม่สามารถเปิดช่องเวทใหม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงสูดลมหายใจลึก หลับตาลง เริ่มบ่มเพาะพลังบำเพ็ญ

เวลาค่อยๆ ผ่านไปหนึ่งเดือนเช่นนี้

นับตั้งแต่สวี่ชิงออกมาด้านนอกจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณสามเดือนแล้ว คลื่นพลังในร่างกายเขาก็ค่อยๆ เก็บงำลงมา บวกกับการที่เงาปกคลุมตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ เขาในตอนนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่แตกต่างจากผู้บำเพ็ญสร้างฐานทั่วไปมากนัก

ขณะเดียวกันช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ สวี่ชิงเข้าใจและควบคุมตะเกียงแห่งชีวิตในร่างกายได้ลึกซึ้งมากขึ้นเช่นกัน

เวลานี้สองตาของเขาปิดเปิดช้าๆ หลังจากที่แสงอัสนีรางๆ แวบเข้ามาในดวงตา เขาก็ยกมือขึ้นทำปางอย่างสงบ ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า

พลังน่าตกตะลึงวูบหนึ่งก็แผ่ออกมาจากในช่องเวทที่สองจากการเผาไหม้ของช่องเวทในร่างกาย ไหลตามเส้นชีพจรไปยังนิ้วมือ ก่อตัวขึ้นเป็นระลอกคลื่นแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกไปสู่ท้องฟ้าฉับพลัน

บนท้องฟ้า มีวัตถุกึ่งโปร่งใสอย่างหนึ่งก่อตัวขึ้น ขณะที่เลื้อยขยุกขยิกอย่างรวดเร็วก็แผ่กว้างต่อเนื่อง สุดท้ายกลายเป็นรูปร่างอสูรคอยาวบรรพกาล อสูรตัวนี้พอออกมาก็แหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า ร่างกายเปลี่ยนเป็นสมจริงขึ้นมาจากความกึ่งโปร่งใสอย่างรวดเร็ว

มีกลิ่นอายที่บ้าคลั่งยิ่งกว่ารวมตัวและทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายตอนที่มันกลายเป็นของจริงที่ไม่แตกต่างอะไรกับอสูรคอยาวบรรพกาลแล้ว คลื่นพลังสร้างฐานวูบหนึ่งแผ่ซ่านอยู่บนตัวของมัน

บนท้องฟ้าเวลานี้ อสูรคอยาวบรรพกาลที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสวี่ชิง ร่างกายสีดำของมันเต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน คอที่ยาวก็มีความปราดเปรียวไร้เทียมทาน และยังหนามแหลมที่พลิ้วไหวอย่างรวดเร็วแถวหนึ่งบนคอของมัน รวมไปถึงดวงตาดุจตะเกียงสว่าง ทำให้มันดูแล้วเหมือนมีชีวิตขึ้นจริงๆ

กระทั่งปล่อยลงไปในทะเล ถ้าไม่ลงมือกับมันก็คงยากที่จะมองออกว่ามันก่อตัวขึ้นมาจากวิชาเวท

และร่างกายที่เหมือนกระดองเต่าของมันมีพลังคุ้มกันที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้อ้าปากเผยเขี้ยวแหลมคมที่มีเจตจำนงดุร้ายน่าสยดสยอง โดยเฉพาะครีบที่ใหญ่โตทั้งสี่นั่น แค่กระพือจะต้องมีความเร็วที่ตกตะลึงในท้องทะเลอย่างแน่นอน

มองอสูรคอยาวบรรพกาลที่ร่างกายมีขนาดสามร้อยกว่าจั้งบนท้องฟ้า สวี่ชิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป ไม่ได้ใช้ยันต์บินทะยาน ร่างกายของเขาก็เยื้องย่างอยู่บนอากาศ

ทีละก้าวๆ ราวกับเดินขึ้นบันไดสวรรค์ เดินตรงไปยังอสูรคอยาวบรรพกาล

ก้าวแรกๆ ในช่วงต้น สวี่ชิงยังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นนัก แต่เมื่อเดินไปเจ็ดแปดก้าวเขาก็จับความรู้สึกได้ เดินไปบนท้องฟ้าอยู่เบื้องหน้าอสูรคอยาวบรรพกาล

ขณะที่อสูรคอยาวบรรพกาลกำลังก้มหัวลง สวี่ชิงก้าวไปยืนบนหัวของอสูรคอยาวบรรพกาล จังหวะที่หันตัว อสูรคอยาวบรรพกาลก็เปล่งเสียงคำรามต่ำ ครีบยักษ์ทั้งสี่ของมันก็กระพือ ร่างกายที่ใหญ่โตหวีดหวิวไปเบื้องหน้าในอากาศด้วยความเร็วที่แสนตกตะลึง

และในสายตาคนอื่นคือมองไม่เห็นอสูรคอยาวบรรพกาลตัวนี้ กระทั่งผู้บำเพ็ญรวมปราณเอง นอกจากจะรวมพลังวิญญาณจะมาอยู่ที่ตาทั้งสองก็ไม่มีทางมองรูปร่างชัดเจนได้

ดังนั้นเมื่อมองมาก็จะเห็นเป็นสวี่ชิงยืนอยู่บนอากาศ มือไพล่หลังเคลื่อนตัวไปในแนวราบ!

นี่คือระดับสร้างฐาน

ตอนที่สวี่ชิงหนีออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามถ้ำยาจกในอดีต บรรพชนสำนักวัชระด้านหลังเขาเองก็เป็นเช่นนี้ ยืนอยู่บนนักรบวัชระที่ดวงตาโกรธขึ้ง เคลื่อนที่ไปด้านหน้าในแนวราบ

เพียงแต่เมื่อเทียบกับปัจจุบัน เงานักรบวัชระที่ดวงตาโกรธขึ้งของบรรพชนสำนักวัชระ ไม่ว่าจะระดับความสมจริงหรือกลิ่นอายล้วนอ่อนแอกว่าสวี่ชิงอยู่มากมายหลายขุม

แม้จะอยู่ระดับเดียวกัน แต่ก็ยังต่างกันราวฟ้ากับเหว

สวี่ชิงเวลานี้ยืนอยู่บนอสูรคอยาวบรรพกาล มองแผ่นดินใหญ่อย่างสงบ ควบคุมอสูรคอยาวบรรพกาลทะยานไปยังเมืองที่มีค่ายกลส่งข้ามที่ใกล้ที่สุดของที่นี่

ตลอดทางที่บินผ่าน เขามองเห็นความรกร้างหนาวเย็นของแผ่นดิน มองเห็นสิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย มองเห็นกระดูกสีขาวที่ไม่รู้ว่าตายไปแล้วนานเท่าไร

คนธรรมดาสามัญบนโลกนี้ช่างน่าเศร้า

เทียบกับคนธรรมดาสามัญ ผู้บำเพ็ญก็จะมีตัวเลือกมากขึ้นหน่อย แต่ยังทุกข์ทรมานจากไอพลังประหลาดและความเสี่ยงที่จะกลายพันธุ์ ยิ่งไปกว่านั้นทรัพยากรของผู้บำเพ็ญก็แพงมาก ขนาดที่ทำให้ผู้บำเพ็ญมากมายสิ้นหวัง

คิดจะยกระดับก็ต้องแย่งชิง และการแย่งชิงก็จะมีวิกฤตแห่งความเป็นตายอยู่แน่นอน

ดังนั้นผู้บำเพ็ญบนโลกใบนี้จึงจำใจ

และด้วยเหตุนี้จึงมีคนอย่างบรรพชนสำนักวัชระ บางทีอาจมีอดีตที่รุ่งโรจน์มาบ้าง หลังจากกระเสือกกระสนจนถึงระดับหนึ่งก็เลือกสถานที่พำนักมาแห่งหนึ่ง และแสร้งทำตัวเพลิดเพลินกับชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกาวินาศนี้

ตัวเลือกนี้มีทั้งคุณและโทษ

สวี่ชิงเองก็เช่นกัน เขาแค่กลัวว่าชีวิตเช่นนี้จะยืดยาวได้ไม่นานก็จะมีอันตรายที่ไม่รู้จักเข้ามาบดขยี้กะทันหัน ดังนั้นถ้าอยากจะวางใจอย่างแท้จริง อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาจำเป็นต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น

‘ข้าก็แค่อยากจะมีชีวิตที่ปลอดภัยต่อไปในโลกาวินาศนี้เท่านั้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาหน่อย’ สวี่ชิงหลุบตาลง อสูรคอยาวบรรพกาลใต้เท้าก็เร่งความเร็วขึ้น

และตอนที่สายลมพัดโถมเข้าหาไม่นานนัก ห่างออกไปลิบๆ ก็ปรากฏเมืองแห่งหนึ่งขึ้น

นั่นไม่ใช่เมืองขามาของสวี่ชิง แต่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีค่ายกลส่งข้าม

แม้ว่าจะอยู่ในระดับสร้างฐาน แต่ความระแวดระวังของสวี่ชิงก็ยังคงเหมือนตอนรวมปราณ

เมื่อมาถึงก็เข้าก้าวไปเบื้องหน้า ขณะที่อสูรคอยาวบรรพกาลสลายไป เงาของสวี่ชิงทอดยาวลงพื้นดินอย่างไร้ซุ่มเสียง

เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อย เปลี่ยนหน้าตากลายเป็นชายกลางคนใบหน้าเหลืองคนหนึ่ง ค่อยๆ เดินตรงไปยังเมืองเบื้องหน้า

เมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่ขึ้นตรงกับเจ็ดเนตรโลหิต

แต่เป็นเหมือนกับทุ่งสีชาด เป็นจุดส่งข้ามที่เจ็ดเนตรโลหิตกับผืนอินทนิลและลัทธินอกวิถีทั้งสามฝ่ายร่วมกันสร้างขึ้น เรื่องเช่นนี้พบเห็นได้บ่อยในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

ถึงอย่างไรพื้นที่เผ่ามนุษย์ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็ไม่เล็ก ระหว่างขั้วอำนาจหลายฝ่ายก็มีพื้นที่ว่างอยู่มากมาย

พื้นที่เหล่านี้ บ้างก็เป็นจุดตัดระหว่างชายแดน บ้างก็เป็นจุดที่ทรัพยากรขาดแคลนเหมือนโครงไก่จะทิ้งไปก็เสียดาย จะยึดครองไปก็ไม่จำเป็น

แต่เพื่อจะสัญจรผ่าน ดังนั้นจึงมีเรื่องการร่วมกันสร้างและป้องกันของทั้งสามฝ่ายขึ้นมา

การมาเยือนของสวี่ชิงก่อให้เกิดความตกตะลึงในใจขององครักษ์ในเมืองขึ้นทันที อันที่จริงต่อให้สวี่ชิงอำพรางตะเกียงแห่งชีวิตไปแล้ว ไม่ได้ควบคุมอสูรคอยาวบรรพกาลเข้ามา แต่พลังบำเพ็ญสร้างฐานก็ยังคงถูกสังเกตเห็นในขณะที่เดินเข้าเมืองมาอยู่ดี

ผู้บำเพ็ญสร้างฐาน นอกจากจะจงใจอำพรางคลื่นพลังอย่างเต็มที่แล้ว ทั้งตัวต่อให้มีกลิ่นอายแผ่ออกมาเพียงน้อยนิด ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณใจเต้นตกตะลึงขึ้นมาได้อยู่ดี

ตอนที่สวี่ชิงยังเป็นรวมปราณและยังไม่พร้อมที่จะสู้กับสร้างฐานก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่พบกับบรรพชนสำนักวัชระครั้งแรก อีกฝ่ายเพียงแค่มองมาก็ทำให้เขาจิตวิญญาณส่งเสียงครืนครันแล้ว

และบรรพชนสำนักวัชระก็ยังสร้างไฟชีวิตไม่สำเร็จ ยังไม่ได้เข้าสู่สภาวะแสงนภา ตอนนั้นเป็นแค่สภาวะปกติเท่านั้น

พลังบำเพ็ญยิ่งต่ำก็จะยิ่งรู้สึกมากขึ้นเท่านั้น มีเพียงหลังจากรวมปราณขั้นแปดแล้วเท่านั้นที่จะพอต้านทานได้บ้าง แต่การต้านทานเช่นนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นสร้างฐานสำนักเล็กๆ วิชาธรรมดาเท่านั้น เปิดช่องเวทยังไม่ถึงสามสิบช่อง

ถ้าหากเปลี่ยนมาเป็นสร้างฐานจากสำนักใหญ่ ช่องเวทเปิดเกินสามสิบช่องจนสร้างไฟชีวิตขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นต่อให้รวมปราณจะทรงพลังสักแค่เพียงใด ก็ยังไม่อาจต่อต้านสร้างฐานใต้สภาวะแสงนภาได้อยู่ดี

คนละชั้นกันอย่างสิ้นเชิง

เช่นเดียวกับด้านนอกกรมทดน้ำ การมาเยือนของผู้ดูแลหลี่ เพียงแค่การตะคอกเสียงต่ำก็ทำให้สวี่ชิงจิตใจสั่นสะเทือนแล้ว

เวลานี้สำหรับผู้บำเพ็ญในเมืองแล้วการมาเยือนของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน