บทที่ 134 เสียงระฆังดังก้องขุนเขา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 134 เสียงระฆังดังก้องขุนเขา

จะอย่างไร…ในยุคโลกาวินาศหลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพมาเยือน ผู้บำเพ็ญส่วนมากล้วนเป็นระดับรวมปราณ สามารถสำเร็จเป็นระดับสร้างฐานมีไม่มาก ดังนั้นในเมืองข้างนอกไม่ได้เห็นบ่อยนัก

มีเพียงในสำนักใหญ่ๆ อย่างเจ็ดเนตรโลหิตแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานรวมอยู่จำนวนมาก

ดังนั้นการปรากฏตัวของสวี่ชิงย่อมสร้างความฮือฮาขึ้นในระดับหนึ่ง กระทั่งว่าท่ามกลางความเคารพนอบน้อมของทหารองครักษ์เหล่านั้น สวี่ชิงยังไม่ทันเดินไปถึงค่ายกลส่งข้าม เขาก็สัมผัสได้ว่ามีระลอกคลื่นพลังกลุ่มหนึ่งแผ่มาจากทางจวนเมืองหลักที่อยู่ห่างออกไปไกลลิบ

สวี่ชิงขมวดคิ้ว ในใจระแวดระวัง มองไปอย่างเย็นชา

กลางท้องฟ้า รุ้งยาวทางหนึ่งพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แล้วหยุดนิ่งห่างสวี่ชิงสามจั้ง เผยให้เห็นชายกลางคนชุดคลุมยาวหรูหราคนหนึ่งในนั้น

ชายกลางคนคนนี้หน้าตาธรรมดา พลังเวทระดับสร้างฐานทั่วร่างแผ่กระจาย กำลังประเมินสวี่ชิง

สวี่ชิงก็กำลังมองคอของเขาเช่นกัน ในใจประเมินว่าอีกฝ่ายเปิดช่องเวทแล้วกี่ช่อง

“สหายผู้นี้ไม่ทราบว่ามาที่นี่ด้วยธุระอันใด ข้า โจวเหิงลี่ แห่งตระกูลโจวดินแดนผืนอินทนิล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเมืองนี้ เมืองนี้มีผืนอินทนิล สำนักเจ็ดเนตรโลหิตและลัทธินอกวิถีร่วมกันปกครองดูแล”

“ผ่านมา จะเดินทางส่งข้าม” สวี่ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ สัมผัสได้รางๆ ว่าช่องเวทของอีกฝ่ายไม่มาก ไม่ถึงระดับสร้างไฟชีวิตได้

โจวเหิงลี่ผู้บำเพ็ญกลางคนกลางอากาศคนนี้สีหน้าเหมือนปกติ แต่ในใจระแวดระวังสุดขีด เขาสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตเข้มข้นจากในตัวของผู้บำเพ็ญหน้าตาเหลืองซีดข้างหน้าคนนี้

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ฆ่าล้างสังหารมากมาย อีกทั้งดูจากเสื้อผ้าก็มองที่มาที่ไปไม่ออก นี่ทำให้เขาระแวดระวังสุดขีด โดยเฉพาะสายตาของอีกฝ่ายเหมือนจับจ้องอยู่ที่คอของตน นี่ทำให้เขาขนลุกขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ

สิ่งที่ทำให้เขาหวาดหวั่นคือเขามองพลังบำเพ็ญของคนข้างหน้าคนนี้ไม่ออก กังวลว่าจะเจอคนที่มีไฟชีวิต

“เชิญ!” โจวเหิงลี่ใจสั่นสะท้าน แต่สีหน้าไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย ในขณะที่เอ่ยเสียงต่ำก็สั่งการลงไปทันที

ทันใดนั้น ข้างหน้าสวี่ชิง ในขณะที่ผู้คนที่สัญจรไปมาถูกกันออกไป รอบๆ ว่างโล่ง ก็เกิดเป็นทางที่ทอดตัวไปสู่ค่ายกลส่งข้าม

สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง รู้ว่านี่คือท่าทีที่ไม่ต้อนรับจากอีกฝ่าย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยากให้ตนรีบไปจากที่นี่ ส่วนเขาก็สัมผัสได้ว่าในเมืองนี้มีพลังเป็นกลุ่มๆ แผ่ซ่านออกมา

นั่นไม่ใช่พลังที่ผู้บำเพ็ญแผ่ออกมา แต่เหมือนค่ายกลบางอย่างกำลังเปิดขึ้นมากกว่า

การระแวงแบบนี้สวี่ชิงมองว่าเป็นเรื่องปกติ จะอย่างไรสำหรับเมืองที่อยู่ร้างห่างไกลเช่นนี้ มีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานต่างถิ่นเข้ามา ย่อมต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง

สวี่ชิงพยักหน้า ไม่เดินเท้าอีกต่อไป ทั้งคนบินขึ้นไปทางค่ายกลส่งข้ามที่อยู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็วทันทีภายใต้ความเร็วที่ปะทุขึ้น ความเร็วทำให้ฝุ่นธุลีรอบๆ ลอยฟุ้งอย่างบ้าคลั่ง

ม่านตาโจวเหิงลี่หดเล็กลงไปอีก รีบตามไปทันที

สวี่ชิงมาถึงจุดส่งข้ามในเวลาไม่นานนักท่ามกลางการบินนี้ ที่นี่ถูกกันพื้นที่แล้ว รอบๆ ไม่มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่คนเดียว มีเพียงองครักษ์ที่ควบคุมค่ายกลให้โคจรไม่กี่คนนั้นโค้งคารวะสวี่ชิงอย่างยำเกรงด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา

“คารวะผู้อาวุโส ค่ายกลปรับเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าท่านต้องการไปที่ใด”

สวี่ชิงมองพวกเขา แล้วกวาดตามองผู้ติดตามที่อยู่ไกลๆ มองเจ้าเมืองเมืองนี้ที่ดูเหมือนปกติแต่ระแวงระวังสุดขีด เขาสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานคนนี้อย่างล้ำลึก

ดังนั้นแล้วจึงก้าวไปข้างๆ ค่ายกลส่งข้าม เอ่ยตอบไปด้วยเสียงสงบนิ่ง

“เมืองหลังเจ็ดเนตรโลหิต”

เขาพูดจบ ทหารองครักษ์ที่ควบคุมอยู่รอบๆ ค่ายกลก็รีบรับคำ เริ่มปรับค่ายกลให้เขา จวบจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่ๆ พวกเขาถึงถอยไปข้างหลังสิบกว่าจั้งอย่างเคารพนอบน้อม

สวี่ชิงกวาดสายตามองค่ายกลส่งข้าม เขาไม่รู้เรื่องค่ายกล แต่ส่งข้ามหลายครั้งก็มองวิธีการบางอย่างออกเหมือนกัน ตอนนี้หลังจากกวาดสายตามองก็ก้าวเข้าไป ตามแสงค่ายกลส่งข้ามที่กะพริบวูบวาบ ร่างของเขาก็หายไปจากในนั้นเพียงเสี้ยวพริบตา

จนเมื่อร่างของสวี่ชิงหายไปจากค่ายกลส่งข้าม โจวเหิงลี่ที่อยู่ไกลๆ ก็ถอนหายใจยาว แม้เขาจะเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน แต่เผชิญหน้ากับบุคคลที่รังสีอำมิตแบบนี้ เขาไม่อยากหาเรื่องจากใจจริง

“ด้วยกฎที่ไม่ต้อนรับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานจากต่างถิ่นเขายังกล้าไปที่นั่น อธิบายได้จากความเป็นไปได้สูงสุดว่าไม่ใช่คนร้ายประกาศจับ หรือจะเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างนั้นหรือ”

โจวเหิงลี่ลูบคอตัวเอง ส่ายหน้าไม่ไปคิดเรื่องนี้อีก สำหรับเขาแล้วผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานต่างถิ่นทุกคนล้วนแต่อันตรายเป็นอย่างยิ่งทุกคน หากในนั้นมีผู้ที่มีไฟชีวิต ภายใต้สภาวะแสงนภา น่ากลัวว่าตนคงจะดับดิ้นทันทีแน่นอน ดังนั้นรีบส่งไปให้เร็วที่สุดคือการตัดสินใจที่ดีที่สุด ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ไม่เช่นนั้นแล้วหากเกิดความขัดแย้งขึ้นมาจริงๆ ในเมืองที่ไกลกันดารห่างตระกูลเช่นนี้ ตนตายก็ตายไป คนในตระกูลรู้ตัวตามมาถึงก็ยากจะสืบหาผลลัพธ์อะไรได้

ตอนนี้ ทางด้านตะวันออกของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ พื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเขาสัจธรรมและมหาสมุทร ในค่ายกลใจกลางเมืองที่เจริญรุ่งโรจน์เป็นอย่างยิ่งภายใต้การจับจ้องจากเนตรโลหิตใหญ่ยักษ์ทั้งเจ็ด เงาร่างของสวี่ชิงที่อยู่ท่ามกลางประกายแสงส่องกะพริบวูบวาบก็พลันปรากฏออกมา

เขาเพิ่งปรากฏตัวขึ้น ยังไม่ทันจะสังเกตรอบๆ ก็เงยหน้าขึ้นทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังไร้รูปร่างที่แข็งแกร่งมากกลุ่มหนึ่งมาเยือนจากทั่วทุกทิศในเมืองหลักในเสี้ยวพริบตานี้ ห่อหุ้มตนเอาไว้ในนั้น แม้จะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร แต่การห่อหุ้มแบบนี้ก็เหมือนกับการจับตาดู

ระลอกคลื่นนี้สวี่ชิงคุ้นเคยดี เป็นพลังของค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิตนั่นเอง

ปกติสวี่ชิงกลับมาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้เลย

แต่ตอนนี้ยกระดับสร้างฐาน เมื่อกลับมาอีกครั้ง ก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ว่าทำไมระดับสร้างฐานต่างถิ่นถึงไม่กล้าเข้ามาในเมืองเจ็ดเนตรโลหิตง่ายๆ

เห็นได้ชัดว่าสำหรับค่ายกลแล้ว ความได้เปรียบของระดับสร้างฐานมากกว่าตำแหน่งลูกศิษย์ ดังนั้น ต่อให้ป้ายประจำตัวของสวี่ชิงตอนนี้จะกะพริบส่อง แต่เนื่องจากเขายังไม่ได้ขึ้นเขาขึ้นทะเบียนพลังบำเพ็ญ ดังนั้นจึงไม่อาจขจัดความรู้สึกถูกจับจ้องแบบนี้ไปได้

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เก็บสายตากลับมา เดินลงมาจากค่ายกลส่งข้ามอย่างสงบนิ่ง

การห่อหุ้มไร้รูปร่างของค่ายกลไม่ได้สร้างความสนใจให้กับผู้บำเพ็ญและประชาชนคนใดที่นี่เลย และสวี่ชิงหลังจากที่จากไปแล้วก็เปลี่ยนชุดนักพรตที่ตนเตรียมไว้

สวี่ชิงได้เรียนรู้ประสบการณ์อะไรบางอย่างจากการเดินทางไปเกาะกิ้งก่าทะเลตอนนั้น ดังนั้นจึงเตรียมชุดนักพรตไว้ในกระเป๋าหลายชุด

ตอนนี้สวมชุดนักพรตสีเทาของลูกศิษย์สำนักที่เจ็ด สวี่ชิงเดินอยู่บนถนน พลังบำเพ็ญพยายามเก็บและแอบซ่อนในกายไม่หยุด คอยสังเกตว่าค่ายกลไร้รูปร่างจับเป้าหมายมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่จากเหตุนี้

แต่ต่อให้เขาแอบซ่อนเอาไว้จนถึงขีดสูงสุด ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ผ่านไปรอบๆ ไม่สามารถสัมผัสได้ แต่การจับเป้าหมายและจับตามองจากค่ายกลก็ยังคงมีอยู่ นี่ทำให้สวี่ชิงมีความเข้าใจต่อค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิตลึกล้ำมากขึ้น

“ไม่รู้ว่าใช้เงาอำพรางจะหลบการจับเป้าหมายของค่ายกลได้หรือไม่”

สวี่ชิงพึมพำ เขาแค่คิดแบบนี้เท่านั้นไม่ได้ลองทำ เรื่องนี้สำหรับเขาตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ล้วนมีความเสี่ยง

“เช่นนั้นก็ขึ้นเขาก็แล้วกัน”

สวี่ชิงพึมพำในใจ เงยหน้ามองไปทางยอดเขาที่เจ็ดที่อยู่ไกลโพ้น ก้าวเท้าเดินไป

ระหว่างทางผ่านร้านค้าแต่ละร้านๆ มองผู้คนสัญจรไปมาอย่างเย็นชาและรีบร้อน มองลูกศิษย์ชุดสีเทาที่ประเดี๋ยวๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น เขานึกถึงอดีตต่างๆ ที่มาอยู่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจนถึงตอนนี้อย่างอดไม่ได้

ในใจก็ทอดถอนใจ แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความปรารถนาอย่างล้นปรี่ที่มีต่อการแบ่งปันผลประโยชน์ที่จะได้อย่างน้อยๆ ห้าพันหินวิญญาณในอนาคตนี้

และในตอนที่ฝีเท้าของเขาค่อยๆ เร็วขึ้น ก็มีเงาที่คุ้นเคยทางหนึ่งปรากฏขึ้นจากที่ไกลๆ

การปรากฏตัวขึ้นของอีกฝ่ายสร้างความเคารพยำเกรงให้ประชาชนที่อยู่รอบๆ ทันที ในขณะที่ต่างพากันหลบหลีก ลูกศิษย์ล่างเขาสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในกลุ่มคนก็เคารพนอบน้อมยิ่งกว่า ในแววตามีความอิจฉาอย่างไม่อาจปิดบังได้

คนที่มาเป็นชายหนุ่มสวมชุดนักพรตสีม่วงอ่อนทั้งตัว ยามเดินอยู่ในกลุ่มคนสีม่วงที่เป็นสัญลักษณ์ของความสูงศักดิ์ของฐานะ รวมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ธรรมดาและระลอกคลื่นพลังที่แข็งแกร่ง ทำให้คนคนนี้ในสายตาของผู้คนทั้งหลายแล้วประดุจเทพลงมาเยือนบนโลกมนุษย์

เป็นเจ้าจงเหิงนั่นเอง

สวี่ชิงเห็นเขา เขาก็เห็นสวี่ชิงเหมือนกัน

หากเป็นปกติเจ้าจงเหิงจะต้องหันหน้าเดินไปอีกทางทันที ไม่ยอมพูดกับสวี่ชิงที่นี่ให้มากแม้เพียงประโยคเดียวแน่นอนแต่วันนี้เมื่อได้เห็น เขาก็แค่นเสียงขึ้นจมูก มือขวาจู่ๆ ก็ยกขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้า

ทันใดนั้นกลางท้องฟ้าก็มีราชันวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามตัวหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากที่เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้สร้างความแตกตื่นฮือฮารอบๆ ยิ่งมีลูกศิษย์ล่างเขาจำนวนไม่น้อยประจบประแจงชมเชย

เจ้าจงเหิงสีหน้าได้ใจ มองสวี่ชิงที่สีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งทะนง

“ราชันวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามข้าก็ฝึกสำเร็จแล้วเหมือนกัน!”

สีหน้าสวี่ชิงไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ขี้เกียจจะไปสนใจอีกฝ่าย ยังคงเดินไปทางยอดเขาที่เจ็ดต่อ

เจ้าจงเหิงขมวดคิ้ว ไม่เห็นสีหน้าตื่นตกใจจากสวี่ชิงทางนั้น เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย แต่ภาพแต่ละฉากๆ ในทะเลตอนนั้นสร้างเงามืดที่ลึกมากให้กับเขา ดังนั้นตอนนี้จึงอดทน ไม่โอ้อวดต่อ เดินไปทางยอดเขาที่เจ็ด

เขาลงจากภูเขาครั้งนี้เพราะฝากให้คนทำปิ่นหงส์ที่งดงามปราณีตขึ้นมาอันหนึ่ง ตอนนี้ถือมันไว้อยู่เตรียมขึ้นเขาเอากลับไปให้ศิษย์พี่ติง

แต่ตอนนี้เดินๆ อยู่เนื่องจากทางใต้ของเมืองมีแค่ทางเข้าสู่ยอดเขาที่เจ็ดสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเท่านั้น ดังนั้นผู้คนจึงน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้น ใบหน้าของเจ้าจงเหิงจึงฉายแววแปลกประหลาดพลางมองไปยังสวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้า

เขาค้นพบว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายเหมือนจะเป็นทางเข้าสู่ยอดเขา

ในใจแม้จะสงสัย แต่ในใจเจ้าจงเหิงหยิ่งทะนง ไม่อยากลดตัวไปถาม เพียงแต่…จากเวลาที่ไหลผ่านไป ยามที่สวี่ชิงอยู่ห่างจากขั้นบันได้เส้นทางภูเขายอดเขาที่เจ็ดไม่ถึงร้อยจั้ง เจ้าจงเหิงก็ทนไม่ไหวแล้ว

“สวี่ชิง เจ้าจะไปที่ใด” เจ้าจงเหิงสาวเท้าไปเร็วๆ สามสี่ก้าว หลังจากไล่ตามทันแล้วก็ถามออกไป

“ขึ้นเขา” สวี่ชิงขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงราบเรียบ

“ขึ้นเขาหรือ ลูกศิษย์ชุดเทาหากไม่ถูกเรียกไม่อนุญาตให้ขึ้นเขา ต่อให้ถูกเรียก ก็ต้องมีคนนำ! คนที่ขึ้นเขาได้ลำพังมีเพียงลูกศิษย์หลักเท่านั้น!”

จ้าวจงเหิงกวาดสายตาประเมินสวี่ชิง มองระลอกคลื่นอะไรในตัวของอีกฝ่ายไม่ออก แล้วมองไม่เห็นทางข้างหน้ามีคนรอ ดังนั้นแล้วจึงแค่นเสียงเย็นขึ้นจมูก

สวี่ชิงไม่สนใจเจ้าจงเหิง เดินไปข้างหน้าต่อ มาถึงหน้าขั้นบันไดเส้นทางภูเขา

เจ้าจงเหิงมองภาพนี้หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา

“ลูกศิษย์ล่างเขาหากย่างก้าวขึ้นเขาโดยไม่มีศัตรูบุก เสี้ยวพริบตาแรกที่ก้าวลงบนบันไดจะถูกค่ายกลเวทดีดออกทันที สวี่ชิง ข้าจะดูสิว่าต่อไปเจ้าจะทำอย่าง…”

ไม่ทันรอให้เจ้าจงเหิงพูดจบ เพิ่งพูดถึงตรงนี้ สวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้สีหน้าเหมือนเดิม ยกเท้าเหยียบไปบนบันไดขั้นแรก

ในเสี้ยวพริบตาที่เท้าขวาของเขาเหยียบลงไป บันไดเส้นทางภูเขายอดเขาที่เจ็ดทั้งหมดก็พลันรางเลือน พลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งหอบม้วนมาหาเขา เหมือนกำลังจะพิสูจน์อะไร

สวี่ชิงเงยหน้า ทอดสายตามองไปยังยอดเขา พลังบำเพ็ญในร่างปะทุขึ้นทันทีในเสี้ยวพริบตานี้ กลิ่นอายระดับสร้างฐานโหมบ่าออกมาอย่างแข็งแกร่ง บนยอดเขาที่เจ็ดมีเสียงระฆังดังก้องกังวานขึ้นมาทันที

ในขณะที่สวี่ชิงเดินไปบนบันไดเคลื่อนไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ท่ามกลางเสียงระฆังที่ทอดยาวไกล เจ้าจงเหิงที่อยู่ข้างหลังเขาในตอนนี้ถูกกลิ่นอายระดับสร้างฐานที่สวี่ชิงปะทุออกมากระแทกเข้าหน้า ถอยหลังตึงๆ ไปไม่หยุด ร่างสั่นสะท้าน หน้าขาวซีด ดวงตาแทบจะถลนออกมา ในใจเกิดระลอกคลื่นท่วมฟ้าซัดถาโถม

“สะ…สะ…สร้างฐาน!!”