ตอนที่ 101 ปัญหา
ผมที่ปรกใบหน้าของร่างศพนั้นถูกปัดออก เผยให้เห็นใบหน้าบวมเป่งอันน่าสะพรึงกลัว
ฝูงชนต่างชะเง้อคอมองอย่างใคร่รู้
แม้ว่าใบหน้านั้นจะบวมจนน่ากลัวเนื่องจากน้ำในบ่อ แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าร่างนั้นยังอ่อนเยาว์ ลักษณะเหมือนคนอายุไม่เกินยี่สิบปี
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้อง เอ๊ะ ดังออกมากลุ่มฝูงชน “พวกเจ้าดูสิ นั่นใช่นายน้อยสกุลหลิวของร้านผ้าที่ฝั่งตะวันออกของเมืองหรือเปล่า”
ฝูงชนเงียบกริบ ทุกคนพยายามเบิกตากว้างมองไปที่ร่างศพนั้นเพื่อที่จะดูว่าเป็นใคร
ในขณะนั้นเองมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้น เสียงนั้นดังขึ้นกะทันหันท่ามกลางความเงียบทำให้ผู้คนหันไปมองเป็นตาเดียว
เสียงร้องไห้ด้วยความตื่นตระหนกนั้นเป็นเสียงของสตรีนางหนึ่ง
สตรีนางนั้นอายุราวๆ สิบหกถึงสิบเจ็ดปี ดวงตาของนางเบิกกว้าง มือของนางปิดปากตัวเองแน่นสนิท และน้ำตาก็ไหลมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทำให้ความงามของนางดูลดน้อยถอยลงไปเลย
ผู้นำหนุ่มจากเมืองต้าหยางรู้สึกปีติยินดีอย่างยิ่งหลังจากหันไปเห็นสตรีนางนั้น เขารีบก้าวเท้าไปและคว้าแขนของสตรีผู้นั้นทันที “น้องสาว เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”
แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวยังคงตกใจอยู่จึงไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ตัวของนางสั่นเทิ้ม นางปล่อยให้ชายหนุ่มจับไหล่ของนางอยู่อย่างนั้น แต่ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ร่างชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ความบังเอิญก็คือสตรีนางนั้นยืนอยู่ไม่ไกลจากเจียงซื่อ
เจียงซื่อมองดูปฏิกิริยาของหญิงสาวด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็หันไปมองใบหน้าบวมเป่งของร่างศพนั้นพลางครุ่นคิดกับตัวเอง
สตรีนางนั้นยืนอยู่กับฝูงชนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้รู้สึกกลัวจนอยากร้องไห้จนสุดเสียงก็ไม่ควรเพิ่งมาร้องเอาป่านนี้
แต่ครั้นนางได้ยินคนเอ่ยถึงตัวตนของศพนั้นก็ตอบสนองออกมาเช่นนี้ ฉะนั้นจึงสรุปได้อย่างเดียวว่า นางรู้จักกับผู้ตาย!
หรือจะอธิบายให้ชัดเจนกว่านั้นคือ ทั้งสองคงไม่ได้รู้จักกันเพียงผิวเผิน เพราะคนที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนไม่น้อยน่าจะรู้จักผู้ตายเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครแสดงอาการเหมือนนางออกมาสักคน
“ไม่ต้องกลัว พี่จะพาเจ้ากลับบ้าน” ชายหนุ่มปลอบโยนหญิงสาว
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวยังไม่อาจสงบสติอารมณ์ลงได้ เพราะแม้ว่าชายหนุ่มจะดึงตัวนางให้เดินไป แต่นางกลับไม่กระดิกกระเดี้ยเลยแม้แต่น้อย
“เขา เขาตายได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในตัวน้องสาวได้จึงเอื้อมมือไปดึงนางมาไว้ในอ้อมแขนเพื่อบังจากสายตาคนรอบข้าง “น้องข้าคงตกใจไม่น้อย ฉะนั้นพวกข้าขอไม่รบกวนการสืบคดีที่นี่ต่อแล้ว พวกเรากลับ!”
“ช้าก่อนโยม” พระสงฆ์วัยกลางคนตะโกนห้ามชายหนุ่ม
“นี่หมายความว่าอย่างไรท่านพระอาจารย์”
พระสงฆ์วัยกลางคนกล่าวสวด “อมิตาพุทธ จากรูปการณ์แล้วมีคดีความเกิดขึ้นที่วัด แต่โยมที่เป็นคนสำคัญเร่งรีบกลับไปเช่นนี้ อาตมาว่ามันไม่ถูกต้อง”
“พระอาจารย์นี่พูดมิรู้ความหรืออย่างไร ศพนี้ข้าให้คนของข้าไปนำขึ้นมา หากคดีนั้นเกี่ยวข้องกับข้าจริง ข้าจะทำเช่นนั้นทำไมกัน ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาตามหาน้องสาวเท่านั้น ยามนี้เจอน้องแล้ว ข้าก็จะพานางกลับ หรือข้าต้องอยู่ช่วยพวกท่านหาฆาตกรด้วยงั้นรึ”
“หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับโยม เหตุใดโยมถึงพาคนมายังบ่อน้ำที่เขาหลังวัดเพื่อตามหาศพล่ะ” พระสงฆ์วัยกลางคนเอ่ยวาจาล่วงเกินเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ชายหนุ่มกลับไปง่ายๆ
“นี่ก็เอาขึ้นมาผิดยังไงล่ะ!” ชายหนุ่มเริ่มมีน้ำโห เมื่อเห็นว่าท่าทีของฝูงชนเริ่มเปลี่ยนไปจึงรีบอธิบายต่อว่า “มีคนเอาเรื่องมาแจ้งว่าน้องสาวของข้าถูกฆ่าตายแล้วเอาศพมาทิ้งไว้ในบ่อน้ำบนเขาหลังวัดหลิงอู้”
“แต่น้องสาวของท่านก็ยังมีชีวิตอยู่”
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าเอาขึ้นมาผิดยังไงล่ะ ข้ายังต้องชดใช้สิ่งใดให้พวกท่านอีกหรือ”
“ไม่ทราบว่าคนที่นำข่าวนั้นไปแจ้งคุณชายคือผู้ใดกัน” คนหนึ่งในฝูงชนเอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ
คนที่ถามนั้นเป็นชายผิวเหลืองวัยกลางคนที่ไว้เครายาว ที่ด้านหลังของเขามีผู้ติดตามอีกสองสามคน
ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางจ้องมองไปที่ชายวัยกลางคนจอมจุ้นจ้าน สายตาของฝูงชนจับจ้องไปที่ร่างนั้นเป็นตาเดียว
ชายวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ตัวข้าคือผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอฟู่ซิง เผอิญผ่านที่เมืองชิงหนิวแล้วได้ยินว่ามีคนประสบอุบัติเหตุถึงขึ้นเสียชีวิต ข้ามาเลยมาดู”
เจียงซื่อที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ
การที่มีทางการเข้ามาร่วมด้วยเกินความคาดหมายอยู่มาก ทั้งยังเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอซึ่งทำหน้าที่รักษาปลอดภัยและจับโจรผู้ร้ายโดยตรง จึงทำให้เรื่องนี้ดูบังเอิญยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อฝูงชนรอบๆ เห็นว่าบุคคลตรงหน้าเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่อย่างผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอ ต่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างช่วยไม่ได้
ผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วสรุปมันเป็นความจริงหรือไม่
ชายวัยกลางคนหยิบป้ายที่เอวออกมาแสดงให้ชายหนุ่มและพระสงฆ์ดู
“คารวะใต้เท้าผู้บัญชาการประจำอำเภอ” เมื่อชายหนุ่มเห็นป้ายที่เอวก็รีบแสดงความเคารพทันที
ชายวัยกลางคนหัวเราะพลางเอ่ย “ไม่ต้องพิธีรีตอง คุณชายลองบอกข้าสิว่าผู้ใดเป็นคนแจ้งข่าวนั้น”
“คนพวกนั้นเป็นชาวเมืองชิงหนิวขอรับ พวกข้าก็มิได้รู้จักหรอกขอรับ…” ชายหนุ่มคิดก่อนจะกล่าวเสริม “คนพวกนั้นเป็นพวกคนเกียจคร้านขอรับ”
“ในเมื่อเป็นพวกคนเกียจคร้าน เหตุใดคุณชายถึงฟังคำบอกพวกนั้นเล่า”
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนอย่างช่วยไม่ได้ “เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่เพราะมารดาข้าพอได้ยินว่าน้องสาวเกิดเรื่องขึ้นก็อยู่ไม่สุขจึงสั่งให้ข้ามาตามหาความจริง ส่วนบิดาของข้าก็เชื่อว่าหากไม่มีลมแล้ว ไฉนเลยจะมีคลื่นได้ ชายเกียจคร้านเหล่านั้นคงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดที่ไม่มีมูล หากเกิดเรื่องกับน้องสาวข้าจริงๆ ข้าก็มิอาจปล่อยให้เรื่องที่นางถูกทำร้ายจบไปอย่างมีเงื่อนงำ แต่หากมีสิ่งใดที่ข้าทำผิดไป พวกข้าก็ยินดีชดใช้”
ครั้นพูดจบชายหนุ่มจึงเหลือบมองบรรดาพระสงฆ์กลุ่มนั้นแวบหนึ่งแล้วชี้นิ้วพลางเอ่ย “แต่ข้าก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าถึงแม้น้องสาวของตัวเองจะปลอดภัยดี แต่ข้าจำต้องมาพบร่างศพในบ่อน้ำนี้อีก”
ความหมายนั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นการเข้าใจผิด ยิ่งไปกว่านั้นการนำร่างศพขึ้นมาถือเป็นการทำคุณประโยชน์เสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นวัดหลิงอู้หรือฝ่ายราชการก็ไม่ควรทำให้เข้าต้องลำบากใจ
ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางกล่าวออกมาอย่างเกรงใจว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไร ศพนี้คุณชายก็เป็นคนพบ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนจึงมิอาจปล่อยปละละเลยได้ นี่ก็ค่ำแล้ว คุณชายกับน้องสาวก็พักที่วัดหลิงอู้นี้ชั่วคราวก่อนเถิด ข้าจะสืบเรื่องนี้อีกครั้ง หากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วถึงเวลาความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง”
ชายหนุ่มไม่พอใจอย่างมากและกำลังจะกล่าวเอ่ยบางอย่าง แต่แล้วชายวัยกลางคนก็ถามเสียงเข้มขึ้นว่า “น้องสาวของท่านคงรู้จักกับผู้ตายใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวแน่น ใบหน้าของเขาตกตะลึงไปชั่วขณะ
การที่น้องสาวของเขาถูกผู้บัญชาการสอบสวนต่อหน้าสาธารณชนเป็นเรื่องน่าขายหน้ายิ่งนัก และยิ่งต่อหน้าพวกชอบซุบซิบเหล่านี้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องนี้ไปพูดถึงไหนต่อไหน
เมื่อเห็นท่าทีอ่อนลงของชายหนุ่ม ชายวัยกลางคนจึงหันไปโบกมือกับฝูงชนพลางบอกว่า “พี่น้องทั้งหลาย ขอให้คนที่รู้จักกับผู้ตายรออยู่ที่นี่ก่อน ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ขอให้กลับไปก่อนเถิด หากพวกท่านสนใจคดีนี้ พรุ่งนี้ก็ค่อยกลับมาใหม่แล้วกัน”
เมื่อเสียงของผู้บัญชาการเงียบลง ฝูงชนก็ค่อยๆ สลายตัวออกไป เพราะอย่างไรแล้วทุกคนก็เตรียมจะชิ่งอยู่แล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพูดล้อเล่นและตามดูเรื่องชาวบ้านคืออะไร แน่นอนคือต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนั้นสร้างความลำบากให้ตัวเองอย่างไรล่ะ! หากยังอยู่ที่นั่นก็จะต้องถูกสอบสวน สุดท้ายดีไม่ดีอาจกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ถึงเวลานั้นเม็ดแตงที่กะเทาะเปลือกออกหมดก็ไม่หอมเสียแล้ว
ในขณะนั้นแต่ละคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีที่หนึ่งต้องไป ตอนนี้แตงหวานออกผลแล้ว รีบกลับบ้านไปล้างดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ตอนนี้ใครยังอยู่ที่นี่ก็เป็นคนโง่แล้วล่ะ!
เมื่อเป็นเช่นนั้น สายตาหลายคู่จึงจับจ้องไปที่เจียงซื่อและคนอื่นๆ ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนมองมา เจียงจั้นจึงรีบดึงเจียงซื่อพลางทำทีหัวเราะ “พวกเราเป็นคนจากต่างเมืองที่มาถวายธูปที่วัดนี้ ไม่รู้จักกับผู้ตายหรอกขอรับ”
ทันใดนั้นพระสงฆ์รูปหนึ่งก็สวดขึ้นและกล่าวเสียงดังว่า “อาตมาจำคนนั้นได้ เขามาที่เขาหลังวัดเมื่อช่วงกลางวัน!”