ตอนที่ 102 ผู้ต้องสงสัย

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 102 ผู้ต้องสงสัย

ท่ามกลางสายตาทุกคู่ในที่นั้น พระสงฆ์รูปนั้นชี้ไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งก็คือเจียงจั้นที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น

เจียงจั้นผงะนิ่งอึ้งไป

นี่มันเรื่องอะไรกัน เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย

หากเดิมทีเป็นศพผู้หญิง เขาคงจะยอมรับออกไปว่ามีผีผู้หญิงมาเข้าฝัน ซึ่งก็นับว่ามีความเกี่ยวพันกันอยู่ แต่นี่เป็นศพผู้ชายซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

“ท่านพระอาจารย์ลุง วันนี้ลูกศิษย์เห็นชายผู้นี้ทำทีลับๆ ล่อๆ มาที่ภูเขาด้านหลังขอรับ!” พระสงฆ์ที่ชี้นิ้วไปที่เจียงจั้นพลางรายงานพระสงฆ์วัยกลางคน

พระสงฆ์วัยกลางคนท่านนั้นมีฉายาว่า พระเสวียนฉือ เนื่องจากเจ้าอาวาสวัดหลิงอู้ชันษามากแล้ว เขาจึงถูกนับว่าเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส

พระเสวียนฉือได้ยินดังนั้นจึงถามว่า “เขาด้านหลังมิได้เปิดให้คนนอกเข้ามา ในตอนนั้นที่เห็นว่ามีฆราวาสบุกเข้ามาเหตุใดจึงไม่ห้ามไว้ล่ะ”

เมื่อถูกตำหนิใบหน้าของพระสงฆ์รูปนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นเหยเก “ลูกศิษย์เห็นว่าโยมผู้นี้กำลังช่วยศิษย์น้องซื่อคงตักน้ำอย่างขยันขันแข็งจึงมิได้ไล่เขาไป แต่ต่อมาศิษย์น้องซื่อคงกลับถูกพบเป็นศพ ทั้งยังถูกมองว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ใครจะคาดคิดว่ายามนี้จะพบร่างศพถูกถ่วงหินทิ้งไว้ในบ่อน้ำล่ะขอรับ…”

พระสงฆ์รูปนั้นมองเจียงจั้นอย่างโกรธแค้น “พอลูกศิษย์ได้เห็นโยมผู้นั้นจึงได้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวัน พระอาจารย์ ศิษย์ว่าฆาตกรก็คือชายผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยขอรับ เขาคงจะลงมือฆ่าวัยรุ่นคนนั้นก่อน แต่เกรงว่าศิษย์น้องซื่อคงที่มาตักน้ำจะพบเข้า จึงทำทีมาช่วยรดน้ำอย่างขยันขันแข็ง และอาศัยจังหวะลงมือฆาตกรรมศิษย์น้องซื่อคงแล้วอำพรางให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ!”

จากการข้อกล่าวหาของพระสงฆ์ กลุ่มพระสงฆ์จึงเข้ามาล้อมเจียงซื่อและคนอื่นๆ เอาไว้

พระสงฆ์ยืนล้อมจนเป็นกำแพงมนุษย์พลางสนทนากันอย่างกระตือรือร้น

“เดี๋ยวเดียวก็จับฆาตกรได้แล้วรึ เป็นคนจากที่ไหนล่ะ”

“ดูแล้วไม่น่าจะมาจากบ้านใกล้เรือนเคียง เพราะหากพี่ชายรูปหล่อเป็นคนแถวนี้ ใครเล่าจะไม่รู้จัก” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย

คนรอบข้างพากันพยักหน้า

ที่พูดมาก็มีเหตุผล

“ทว่าพี่ชายรูปหล่อจะฆ่าคนด้วยเหตุใดกันเล่า” ทั้งสาวใหญ่สาวเล็กที่รวมอยู่ในกลุ่มต่างพากันฉงน ส่วนพวกผู้ชายที่ยืนฟังอยู่รอบๆ ก็พากันกลอกตากันเป็นแถว

เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้ยังไงกัน คนหล่อไม่มีเหตุผลให้ฆ่าคนหรือยังไง มีแค่คนหน้าตาอัปลักษณ์หรือที่จะแก้แค้นเพื่อนบ้านน่ะ

“ใต้เท้า โยมเหล่านี้คือผู้แสวงบุญที่เข้ามาพำนักที่วัดตั้งแต่เมื่อเช้าขอรับ ฆาตกรจะต้องอยู่ในกลุ่มนี้เป็นแน่ขอรับ!” หลังจากที่พระสงฆ์ที่ถูกตำหนิหันไปพูดกับพระเสวียนฉือแล้วก็เกรงว่าเจียงซื่อและพรรคพวกจะหนีไป เขาจึงรีบหันไปรายงานผู้บัญชาการ

เจียงจั้นเย้ยหยันออกไปว่า “พูดออกมาง่ายๆ หากข้าเป็นฆาตกรจริงแล้วได้ยินว่ามีคนมาหาศพในบ่อน้ำนี้ เหตุใดข้าถึงไม่รีบหนีไป แต่มัวมาดูเรื่องสนุกเช่นนี้อยู่ได้”

เมื่อทุกคนได้ฟังเช่นนั้น เสียงถกเถียงก็เงียบลง

ที่พี่ชายรูปหล่อพูดมาก็มีเหตุผล

แต่แล้วผู้ติดตามของผู้บัญชาการก็เอ่ยขึ้นว่า “นั่นก็ไม่เสมอไป เพราะก็มีฆาตกรไม่น้อยที่พอลงมือเสร็จก็กลับมายังที่เกิดเหตุเพื่อรอดูเรื่องสนุกๆ ที่กำลังจะตามมายังไงล่ะ”

ผู้บัญชาการชำเลืองมองไปที่เจียงจั้นแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบพิรุธใดๆ บนใบหน้าของเขา “เช่นนี้แล้วกัน ในเมื่อคุณชายท่านนี้เป็นผู้ต้องสงสัย คืนนี้ก็ให้พักอยู่ที่วัดหลิงอู้นี้ก่อน อีกอย่างรบกวนทางวัดนำรายชื่อผู้แสวงบุญที่เดินทางมาพักที่วัดในช่วงสองวันนี้มาให้ด้วย และหากมีผู้แสวงบุญท่านใดรวมอยู่ในกลุ่มฝูงชนก็ขอให้ก้าวออกมา ทุกคนวางใจได้ ข้าแค่เพียงถามคำถามเท่านั้น ข้ารับรองว่าจะไม่มีการใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน”

เมื่อผู้บัญชาการพูดจบ ฝูงชนทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครก้าวเท้าออกมาเลยสักคนเดียว

ผู้บัญชาการลูบเคราพลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากเหล่าผู้แสวงบุญที่เข้ามาพักที่วัดหลิงอู้เดินทางกลับไปก่อนแล้วก็ไม่เป็นไร เนื่องด้วยยังมีรายชื่ออยู่ในมือ พรุ่งนี้เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจการมาถึงก็ค่อยไปเชิญกลับมาได้”

คำพูดนั้นทำให้เหล่าผู้แสวงบุญที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชนที่วางแผนเตรียมจะหนีเนื่องจากเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองถึงกับหมดความมั่นใจ จึงมีคนก้าวออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่ทราบว่าหลี่เจิ้ง[1]ของเมืองชิงหนิวอยู่ในที่นี้ด้วยหรือไม่”

ไม่นานก็มีชายชราผมขาวเดินออกมา และตรงเข้าไปแสดงความเคารพต่อหน้าผู้บัญชาการ “คารวะใต้เท้า เหล่าซิ่วเองขอรับ”

ผู้บัญชาการแอบกระตุกยิ้มมุมปาก

นิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่เป็นเหมือนกันหมดเลยจริงเชียว ดูเหมือนว่าคนที่มีขาเดินได้ในเมืองนี้จะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมด

เป็นเช่นนี้ก็ดี จะได้สืบง่ายๆ หน่อย

“หลี่เจิ้งก็คอยอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน และก็ให้วัยรุ่นไหวพริบดีอีกสักสองคนอยู่ช่วยด้วย” ผู้บัญชาการเอ่ยเสียงเบา

โดยปกติแล้วตำแหน่งของเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจหลี่เจิ้งและถิงจั่งซึ่งเป็นยศตำแหน่งระดับต่ำสุดในอำเภอ

“เอาล่ะ เชิญพี่น้องคนอื่นๆ กลับไปก่อน คืนนี้ข้าจะสืบคดีอยู่ที่นี่ทั้งคืน หากมีเรื่องจำเป็นข้าอาจต้องเชิญพวกท่านกลับมาชี้แจง”

หลังจากผู้บัญชาการกล่าวจบ คนที่มาเฝ้าดูเหตุการณ์ก็ทยอยกลับไปแม้จะไม่เต็มใจนัก เขาด้านหลังวัดหลิงอู้จึงดูโล่งขึ้นมาทันที

ชั่วยามนั้นดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่แสงเล็กๆ ยามสนธยา ท้องฟ้าทั้งผืนจึงเป็นสีเทาอมเหลือง

ผู้บัญชาการกวาดตามองไปคนที่ยังอยู่ และไปหยุดอยู่ที่พระเสวียนฉือ

พระเสวียนฉือจึงเอ่ยขึ้นว่า “เชิญใต้เท้าไปพักที่ห้องรับรองก่อนเถิด”

ผู้บัญชาการมิได้กล่าวปฏิเสธ แต่หันไปเอ่ยว่า “พวกท่านก็มากับข้าด้วยแล้วกัน”

คนกลุ่มนั้นได้แก่เจียงซื่อและพวก พี่น้องตระกูลหลี่จากเมืองต้าหยาง ผู้แสวงบุญที่มาพักที่วัด รวมไปถึงหลี่เจิ้งของเมืองชิงหนิว และแน่นอนว่าต้องมีพระสงฆ์ของวัดหลิงอู้ด้วย ส่วนร่างศพชายหนุ่มนั้น ผู้บัญชาการได้สั่งให้คนเฝ้าไว้ รอจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาชันสูตรศพจะมา

เมื่อกลับออกมาจากภูเขาด้านหลังที่มืดมิดมาสู่ห้องโถงที่จุดไฟสว่างไสว บรรยากาศก็ดูเบาบางลงไปชั่วขณะ

ผู้บัญชาการเริ่มทำลายความเงียบเป็นคนแรก “ไม่ทราบว่าพระอาจารย์มีนามเรียกขานว่าอย่างไร”

พระสงฆ์ที่ถูกตำหนิรีบตอบ “อาตมานามว่าซื่อไห่”

“แล้วคุณชายท่านนี้ล่ะ”

เจียงจั้นเหลือบไปมองเจียงซื่ออย่างกลัดกลุ้มพลางเอ่ย “ใต้เท้าเรียกข้าว่าเจี่ยงเอ้อร์ได้เลยขอรับ”

เขาจงใจออกเสียงคำว่า “เจียง” ให้คนฟังได้ยินเป็น “เจี่ยง”

ผู้บัญชาการพยักหน้าแล้วหันไปถามซื่อไห่ “พระอาจารย์ซื่อไห่เห็นว่าเจี่ยงเอ้อร์ไปที่เขาด้านหลังตอนช่วงโมงยามใดรึ แล้วเห็นเข้าออกจากที่นั่นช่วงตอนกี่ยาม”

ซื่อไห่คิดก่อนจะตอบว่า “มื้อเที่ยงที่วัดจะเป็นเวลาเดิมทุกวัน อาตมาจำได้ว่าหลังจากมื้อเที่ยงไม่นาน ซึ่งก็คือช่วงยามอู่[2] ส่วนกลับออกไปตอนไหนนั้น… อาตมาเห็นโยมเจี่ยงเอ้อร์ช่วยศิษย์น้องซื่อคงตักน้ำอยู่สองสามหน อาตมาก็ไปทำงานต่อแล้ว ไม่ทันสังเกตว่าเขากลับออกไปเมื่อใด”

เมื่อพูดจบเขาก็จ้องไปที่เจียงจั้นอย่างแน่วแน่กล่าวว่า “แต่โยมผู้นี้เป็นคนนอกเพียงคนเดียวที่เข้าไปที่เขาด้านหลัง ศิษย์น้องซื่อคงคงถูกเขาฆ่าปิดปากเป็นแน่! เพราะเขาคือฆาตกรที่ฆ่าชายหนุ่มในบ่อน้ำ!”

เจียงจั้นดีดตัวขึ้นมาด้วยความโมโห “ไร้สาระ! ท่านใช้ตาของลาตัวไหนมองถึงมาบอกว่าข้าฆ่าคน”

อวี้จิ่นตบไหล่เจียงจั้นเบาๆ ส่งสัญญาณให้เขาสงบสติลง เมื่อเจียงจั้นสงบลงแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางเอ่ยว่า “คำพูดของพระอาจารย์ซื่อไห่ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย คนนอกคนเดียวที่เข้าไปในเขตเขาด้านหลังจะต้องเป็นฆาตกรงั้นหรือ ลองเทียบดูง่ายๆ ก็ได้ว่าหากเป็นคนของวัดเข้าไปฆ่าคนที่นั่นจะไม่ง่ายกว่าหรือ ใต้เท้า ท่านว่าจริงไหมล่ะ”

“อมิตาพุทธ โยมอย่ามาให้ร้ายพระสงฆ์องค์เจ้า สานุศิษย์ของพระพุทธองค์ต่างให้ความสำคัญกับทุกชีวิตเท่าเทียมกัน ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่หรือแม้แต่มดหรือแมลงเรายังไม่ทำร้าย แล้วจะฆ่าคนได้อย่างไรกัน” ซื่อไห่กล่าวอย่างขุ่นเคือง

เจียงซื่อเอ่ยขึ้นในช่วงเวลาเหมาะสม “อันที่จริงไม่ว่าพี่ชายของข้าจะไปปรากฏตัวที่เขาหลังวัดหลิงอู้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ”

ทุกคนในที่นั้นหันไปมองเจียงซื่อด้วยสีหน้าแตกต่างกันออกไป

แม้ว่าซื่อไห่จะเป็นพระ แต่ก็ยังเป็นคนเจ้าอารมณ์ เมื่อได้ฟังถ้อยคำเลี่ยงปัญหาของเจียงซื่อแล้วก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันที “ตอนนี้กำลังว่ากันเรื่องคดีฆาตกรรม สีการะวังคำพูดด้วย!”

เจียงซื่อเลิกคิ้ว “พระอาจารย์หมายความว่าให้ข้าหุบปากงั้นสิ”

ซื่อไห่ไม่ตอบสิ่งใด เห็นได้ชัดว่ายอมจำนนต่อคำย้อนของเจียงซื่อ

เจียงซื่อหัวเราะออกมาเบาๆ “ช่างน่าสนใจจริงๆ เมื่อครู่พระอาจารย์เพิ่งจะบอกว่าให้ความสำคัญกับทุกชีวิตเท่าเทียมกัน ไฉนเลยตอนนี้เห็นข้าเป็นหญิง ถึงมาบอกให้ข้าหุบปาก เห็นชัดๆ ว่าพระอาจารย์คงมิได้เข้าใจจิตใจของตัวเองอย่างถ่องแท้กระมัง”

………………………………………………………………………………………………

[1] หลี่เจิ้ง ภาษาจีน 里正 สมัยก่อนแบ่งเขตการดูแลปกครองหน่วยที่เล็กที่สุดก็คือระดับหลี่(ลี้) ผู้ที่รับตำแหน่งนี้คือคนที่ปกครองภายในระยะหนึ่งลี้

[2] ยามอู่ คือช่วง 11:00-12:59 น.