ตอนที่ 103 สอบปากคำ

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 103 สอบปากคำ

ถ้อยคำที่เจียงซื่อพ่นออกมาประดุจฝ่ามือที่ตบหน้าพระซื่อไห่จนแดงฉาน แม้แต่พระเสวียนฉือซึ่งเป็นพระสงฆ์วัยกลางคนยังต้องหันไปจ้องมองใบหน้าของเจียงซื่อ

เจียงซื่อไม่ได้ยี่หระสายตาเหล่านั้น แต่หันไปเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการพลางเอ่ยว่า “พวกข้าเพิ่งมาที่วัดหลิงอู้วันนี้เองเจ้าค่ะ พระจือเค่อเป็นพยานได้ และจากสภาพบวมเป่งของร่างศพที่ถูกนำขึ้นมาจากบ่อแล้วก็น่าจะถูกถ่วงน้ำเมื่อวานอย่างช้าที่สุด ดังนั้นที่พระอาจารย์ซื่อไห่กล่าวหาว่าพี่ชายของข้าฆ่าปิดปากพระอาจารย์ซื่อคงจึงมิอาจเป็นความจริง อีกอย่างศพนั้นพี่ชายก็มิใช่คนฆ่า แล้วเขาจะฆ่าคนเพื่อปิดปากได้อย่างไรกัน”

“ถ้าเช่นนั้นเขาจะเข้าไปช่วยศิษย์น้องซื่อคงตักน้ำที่นั่นทำไมกัน การตายของศิษย์น้องซื่อคงต้องไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน!” ซื่อไห่พูดอย่างเดือดดาล

เจียงซื่อยิ้มเยาะ “คนเป็นสงฆ์มิได้ต้องมีจิตใจเมตตากรุณาหรอกรึเจ้าคะ พี่ชายของข้าจะแสดงความกระตือรือร้นโดยการเข้าไปช่วยพระอาจารย์ซื่อคงตักน้ำไม่ได้เลยหรือไร ว่ากันว่ามองมนุษย์ด้วยสายตาพระพุทธองค์จึงจะเรียกได้ว่าเป็นพระสงฆ์สาวก ไฉนท่านพระอาจารย์ซื่อไห่ถึงได้คาดเดาด้วยความมุ่งร้าย มิรู้ว่าบำเพ็ญเพียรตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์มาอย่างไร!”

“สีกานี่ช่างปากคอเราะรายเสียจริง!” ซื่อไห่โกรธจนหน้าเขียว

เจียงซื่อตอบโต้อย่างไม่เกรงใจ “ท่านพระอาจารย์เจตนาจะหาเรื่องเองนี่เจ้าคะ!”

“ไม่ทราบว่าเหล่าผู้แสวงบุญกลุ่มนี้เคยมาที่วัดหลิงอู้มาก่อนหน้านี้หรือไม่” ผู้บัญชาการเอ่ยถามแทรกขึ้นมา

พระเสวียนฉือมองไปที่พระจือเค่อ

พระจือเค่อเป็นตำแหน่งของพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ที่มาแสวงบุญโดยเฉพาะ คนที่จะมาทำหน้าที่นี้ได้ต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและรู้งาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นคนความจำเป็นเลิศ และยิ่งเป็นเจียงซื่อและพรรคพวกซึ่งไม่ใช่ผู้แสวงบุญที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ฉะนั้นยามที่พบหน้ากันก็จะต้องจำได้ในครั้งเดียว

พระจือเค่อตอบ “โยมกลุ่มนี้เพิ่งมาเป็นครั้งแรกขอรับ”

ผู้บัญชาการมองเจียงจั้นอย่างพิจารณาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ในเมื่อเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เจี่ยงเอ้อร์และพระอาจารย์ซื่อคงก็มิอาจมีเรื่องบาดหมางกันได้ อีกทั้งพระอาจารย์ซื่อไห่ยังเห็นว่าเจี่ยงเอ้อร์เข้าไปช่วยพระอาจารย์ซื่อคงตักน้ำอยู่จริงๆ จากเหตุผลเบื้องต้นแล้วอนุมานได้ว่าเจี่ยงเอ้อร์ไม่มีเหตุผลให้ลงมือฆ่าพระอาจารย์ซื่อคงเลย”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เขาก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวเสริมขึ้นว่า “และแน่นอนว่าการอนุมานขั้นต้นนั้นเจี่ยงเอ้อร์จึงไม่ใช่คนฆ่าชายหนุ่มในบ่อน้ำด้วย”

แม้ว่าการคาดการณ์เช่นนี้จะฟังดูเหมือนง่ายแต่ก็สอดคล้องกับหลักเหตุผลมากที่สุด

หากเจียงจั้นไม่ได้ฆ่าชายหนุ่มในบ่อน้ำ เขาก็จะไม่มีเหตุจูงใจในการฆ่าซื่อคงด้วยเช่นกัน ฉะนั้นเรื่องราวก็จะย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นคือ ใครคือคนที่ฆ่าชายหนุ่มในบ่อน้ำนั้น

หากรู้ตัวฆาตกรที่ฆ่าชายในบ่อน้ำแล้ว และหากการตายของซื่อคงไม่ใช่อุบัติเหตุ ก็จะสามารถรู้ได้ว่าใครคือคนที่ฆ่าซื่อคง

นี่เป็นสายเชือกเส้นเดียวกัน

“เช่นนั้น คุณหนูทราบได้อย่างไรว่าชายหนุ่มในบ่อน้ำไม่ได้เพิ่งเสียชีวิตเช้าวันนี้” ผู้บัญชาการถามเจียงซื่ออย่างตรงไปตรงมา

เจียงซื่อเอ่ยตอบด้วยท่าทีสุขุม “จากที่เห็นช่วงนี้ยังไม่เข้าช่วงกลางคิมหันตฤดู น้ำในบ่อกลางภูเขาก็คงจะเย็นฉ่ำ หากโยนก้อนเนื้อหมูลงไปในบ่อเป็นเวลาหนึ่งวัน เนื้อนั้นคงกลายเป็นเนื้อแช่แข็ง หากร่างนั้นเพิ่งถูกทิ้งลงไปในบ่อวันนี้ ผู้น้อยคิดว่าตอนที่ถูกนำขึ้นมาไม่น่ากลายเป็นสภาพนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ก็แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ใต้เท้าจะรอเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพก่อนก็ย่อมได้เจ้าค่ะ”

ผู้บัญชาการเผลอพยักหน้าตาม และหันไปสั่งผู้ติดตามว่า “ไปดูสิว่าฝ่ายชันสูตรศพมาถึงหรือยัง”

คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในเมืองนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ผู้บัญชาการจึงได้ส่งคนไปยังแผนกตรวจการตั้งแต่ตอนที่ยืนดูอยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้ว

“ในเมื่อต้องรอผลชันสูตรศพจากเจ้าหน้าที่ เช่นนั้นข้อกล่าวหาต่อเจี่ยงเอ้อร์ก็เป็นอันระงับไว้ก่อน” ผู้บัญชาการหันไปมองหลี่เจิ้งของเมืองชิงหนิว “เมื่อครู่ข้าได้ยินว่ามีคนรู้ว่าชายหนุ่มในบ่อน้ำเป็นผู้ใด หลี่เจิ้งเองก็ทราบด้วยหรือไม่”

หลี่เจิ้งพยักหน้าหงึกๆ

“เช่นนั้น หลี่เจิ้งช่วยอธิบายให้ข้าฟังแบบละเอียดๆ ที”

“ผู้ตายคือนายน้อยสกุลหลิวของร้านผ้าที่ฝั่งตะวันออกของเมือง มีนามว่าหลิวเซิ่ง ปีนี้เพิ่งจะอายุได้สิบเก้าขวบปี บิดาของเขาเสียไปตั้งนานแล้วขอรับ มารดาต้องเลี้ยงเขามาเพียงลำพัง ตอนนี้มารดาของหลิวเซิ่งก็ยังไม่ทราบว่าลูกชายของตนไม่อยู่ขอรับ เฮ้อ น่าเวทนาเสียจริง”

“ในเมื่อถูกเรียกว่านายน้อยก็แสดงว่ากิจการร้านผ้าของสกุลหลิวก็ถือว่าไม่เลวเลยจริงไหม”

“มิได้เป็นเช่นนั้นขอรับ เมืองที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลางอำเภอ ฉะนั้นตระกูลที่พิถีพิถันเรื่องการแต่งกายส่วนมากก็มักจะเข้าไปซื้อผ้าจากร้านในศูนย์กลางอำเภอ นอกจากนี้คนธรรมดาทั่วไปก็มิอาจสวมใส่อาภรณ์ชั้นดีเช่นนั้นได้ หรือต่อให้เป็นช่วงฉลองเทศกาล ชาวบ้านทั่วไปใช้อย่างมากก็แค่เศษผ้าเท่านั้นขอรับ” หลี่เจิ้งเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “แม้ว่ากิจการร้านผ้าของสกุลหลิวจะมิได้รุ่งเรือง แต่หลิวเซิ่งมักจะแต่งกายอู้ฟู่ และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ฉะนั้นผู้คนจึงเรียกขานว่านายน้อยหลิวขอรับ”

“การที่สตรีนางหนึ่งจะเลี้ยงดูบุตรเพียงลำพังและยังต้องดูแลกิจการร้านผ้าไปด้วยจะลำบากเพียงไหนกันนะ”

หลี่เจิ้งพยักหน้ารับ “จะว่าลำบากก็ลำบากอยู่ขอรับ แต่ยังดีที่ท่านอารองของหลิวเซิ่งเอ็นดูหลานชายคนนี้อย่างมากจึงมาช่วยดูแลสองแม่ลูกคู่นี้ตลอดทั้งปี”

“ในเมื่ออารองของหลิวเซิ่งเอ็นดูชายของเขามาก งั้นก็ไปตามอารองของเขามาก่อนแล้วกัน”

“ใต้เท้า อารองของหลิวเซิ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วแล้วขอรับ”

ผู้บัญชาการผงะไปชั่วครู่แล้วจึงถามขึ้นว่า “แล้วที่บ้านของอารองของหลิวเซิ่งยังมีใครอยู่อีกหรือไม่”

“ไม่มีแล้วขอรับ อารองของหลิวเซิ่งมิได้แต่งงานกับสตรีใด ตอนนี้นอกจากญาติที่อยู่ห่างไกลออกไปแล้ว สกุลหลิวก็เหลือเพียงแต่ผู้เป็นมารดาเท่านั้นขอรับ”

“ข้าพอเข้าใจแล้ว แต่การที่บุรุษมิได้ตบแต่งกับสตรีใดก็เนื่องด้วยความขัดสน แต่สกุลหลิวมีกิจการร้านผ้า เหตุใดอารองของเขาถึงได้เป็นชายโสดล่ะ”

หลี่เจิ้งตอบ “กิจการร้านผ้ามิได้สืบทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ แต่เป็นกิจการที่เพิ่งเริ่มทำในปีที่หลิวเซิ่งเกิดขอรับ ซึ่งในขณะนั้นอารองของเขาก็อายุราวๆ สามสิบปีแล้วขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้นพื้นเพแต่เดิมของสกุลหลิวเป็นอย่างไรล่ะ”

หลี่เจิ้งส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ยากจนทีเดียวขอรับ”

ผู้บัญชาการครุ่นคิดกับตัวเอง

แต่แล้วจู่ๆ อวี้จิ่นก็เอ่ยถามขึ้นว่า “บิดาของหลิวเซิ่งก็แต่งงานตอนที่อายุมากแล้วใช่หรือไม่”

เมื่อเห็นว่าหลี่เจิ้งหันมามอง เขาจึงยิ้มและกล่าวต่อว่า “ก็เมื่อครู่ได้ยินว่ากว่าหลิวเซิ่งจะเกิด อารองของเขาก็อายุได้ราวๆ สามสิบปีแล้ว ในเมื่อหลิวเซิ่งเป็นบุตรคนเดียว ทั้งยังไม่มีพี่ชายหรือพี่สาว ฉะนั้นก็มิได้แปลว่าบิดาของเขามีบุตรตอนที่อายุมากแล้วอย่างงั้นหรือ เป็นไปได้ไหมว่าจะมีเหตุผลที่มิอาจขอฝ่ายหญิงแต่งงานได้”

ชาวต้าโจวทั่วไปเมื่ออายุย่างเข้าสิบเจ็ดสิบแปดก็จะออกเรือนแต่งงานมีลูก แต่อายุของบิดาในปีที่หลิวเซิ่งเกิดถือว่าแก่เกินไปเสียด้วยซ้ำ

“มิใช่เช่นนั้นขอรับ บิดาของหลิวเซิ่งแต่งงานตอนอายุยี่สิบปี เพียงแต่ว่า…” หลี่เจิ้งหยุดกลางคันเนื่องด้วยการเอ่ยเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นต่อหน้าคนหมู่มากทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจ

ผู้บัญชาการจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หลี่เจิ้งอยากพูดสิ่งใดก็เอ่ยออกมาเถิด มิเป็นไร ตอนนี้ข้าต้องการทราบสถานการณ์ของผู้ตายให้ได้มากที่สุด”

หลี่เจิ้งพยักหน้ารับพร้อมกล่าวต่อว่า “บิดาและมารดาของหลิวเซิ่งแต่งงานเป็นสิบปีแต่กลับไม่มีบุตร ฉะนั้นกว่าหลิวเซิ่งจะเกิด บิดาของเขาจึงมีอายุมากแล้วขอรับ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ผู้บัญชาการลูบเคราของตัวเอง

จู่ๆ วัยรุ่นคนหนึ่งที่ตามหลี่เจิ้งมาก็เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “จริงด้วย ข้าจำได้ว่าแม่ข้าเคยเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง!”

เมื่อเห็นสายตาทุกคู่จับจ้องมา วัยรุ่นหนุ่มผู้นั้นก็เริ่มรู้สึกประหม่า

“เจ้าเด็กหนุ่ม ไหนลองเล่าให้ข้าฟังดูสิ” ผู้บัญชาการยิ้มแย้มพลางเอ่ย

วัยรุ่นหนุ่มผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลี่เจิ้ง

หลี่เจิ้งจ้องเขม็งมาที่เขา “ใต้เท้าบอกให้เจ้าเล่าก็เล่าไปสิ!”

“ข้าเคยได้ยินแม่ข้าเล่าว่า ป้าหลิวแต่งงานมาเป็นสิบปีแต่กลับไม่มีลูก ที่คลอดหลิวเซิ่งออกมาได้ก็เพราะมาถวายธูปขอพรที่วัดหลิงอู้นี่แหละขอรับ!”

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของผู้ตายถูกชักนำเข้ามาพัวพันกับวัดหลิงอู้แล้ว และแม้ว่าจะเป็นเรื่องมงคล แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของพระเสวียนฉือและพระท่านอื่นๆ ก็เริ่มไม่ค่อยจะสู้ดี

แววตาให้กำลังใจของผู้บัญชาการทำให้วัยรุ่นหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นเนื่องจากมีคนให้ความสำคัญ “เมื่อแม่ของข้าเห็นว่าป้าหลิวให้กำเนิดหลิวเซิ่งจึงมาขอลูกชายที่วัดหลิงอู้บ้างขอรับ และหลังจากนั้นไม่นานก็ตั้งท้องขอรับ เหอะๆ ธูปที่วัดหลิงอู้นี่ช่างศักดิ์สิทธิ์เสียจริงนะขอรับ”

“ดังนั้นก็หมายความว่าวัดหลิงอู้นี้เป็นที่เคารพสักการะมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วหรือ”

พระเสวียนฉือกล่าวสวดนามของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการยอมรับกลายๆ

ในเวลานั้นเองผู้ติดตามของผู้บัญชาการก็เข้ามา “ใต้เท้า ฝ่ายชันสูตรศพมาถึงแล้วขอรับ ผู้น้อยพาเขาไปยังที่ไว้ศพนั้นแล้วขอรับ”

ผู้บัญชาการพยักหน้าและหันไปหาคุณหนูหลี่