บทที่ 72 ไม่ทราบว่าคุณชายชื่ออะไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 72 ไม่ทราบว่าคุณชายชื่ออะไร

เจิ้งอันอ้าปากค้าง “น้องหลิน เจ้าคงไม่ได้จะเข้าไปเพื่อตามหาคนหรอกใช่ไหม? ทำเช่นนั้นไม่ได้นะ!”

หลินเหราขมวดคิ้วแล้วถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เหตุใดถึงทำไม่ได้?”

เจิ้งอันตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว เขาเคยมีส่วนร่วมในการปราบโจรภูเขาพยัคฆ์ดำและพยัคฆ์ขาวมาก่อน

ในเวลานั้นเขาฆ่าโจรด้วยน้ำมือของตนเอง ด้วยความกลัวและความเกลียดชังที่ผสมกัน ทำให้เขาฝันร้ายเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มก่อนที่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ด้วยเหตุผลบางอย่างจากกลิ่นอายที่ออกมาจากร่างของหลินเหรา ทำให้เขารู้สึกถึงเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของเขาอีกครั้ง

“สวนสาลี่…สวนสาลี่เป็นสถานที่ของหญิงคณิกา” เขาอธิบายด้วยเสียงแข็งกระด้าง “ผู้ตรวจการสั่งห้ามพวกเราไปยังสถานที่แบบนั้น น้องหลินในตอนนี้เจ้าเองก็ถือว่าเป็นคนของจวนผู้ตรวจการ เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเจ้าจะเข้าไปยังสวนสาลี่”

หลินเหรากลับไม่ใส่ใจ เขากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พี่เจิ้งได้โปรดพาข้าไปด้วย ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอ”

เจิ้งอันพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของหลินเหราก็ได้แต่นิ่งเงียบไป

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น…เจ้าตามข้ามา”

เจิ้งอันพาหลินเหราเดินวนไปวนมา ในที่สุดก็มาถึงริมลานบ้านแห่งหนึ่ง แม้สถานที่นั้นจะหาได้ยากแต่ประตูกลับมีผู้คนผ่านเข้าออกอยู่ไม่น้อย

“ขอบคุณพี่เจิ้งมาก”

ยังไม่ทันที่เจิ้งอันจะเอ่ยอะไร หลินเหราก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในสวนสาลี่อย่างร้อนใจ

“โอ้ เหตุใดน้องหลินถึงบุ่มบ่ามเช่นนี้…เข้าสวนสาลี่ไปหากหาขโมยไม่เจอ แล้วจะอธิบายอย่างไรเล่า?”

ไม่ว่าเจิ้งอันจะร้อนใจเพียงใด หลินเหราก็มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่ของสวนสาลี่ทันที

เมื่อเห็นร่างของหลินเหรา คนที่ออกมาต้อนรับเป็นสตรีในชุดสีชมพู ทั้ง ๆ ที่ในฤดูใบไม้ผลินั้นอากาศยังหนาวเหน็บ ทว่าสตรีนางนี้กลับใส่เสื้อผ้าเปิดไหล่ ระหว่างเดินเสื้อผ้าของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม ดูสง่างามยิ่งนัก

“อุ้ย นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ชายมาสวนสาลี่ของพวกเราใช่หรือไม่เจ้าคะ? ท่านหน้าตาโดดเด่นมาก ถ้าเคยมาที่นี่สักครั้งพวกเราสองพี่น้องต้องรู้จักแน่นอน”

หลินเหรากดความรู้สึกอึดอัดใจที่ปลายจมูกของเขาลงและขมวดคิ้ว “ข้ามาหาคน”

หญิงสาวในชุดสีชมพูตกใจกับกลิ่นอายบนร่างกายของหลินเหราที่แผ่ออกมา นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยทว่ายังคงลอบมองสำรวจร่างกายที่แข็งแกร่งของบุรุษตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ่งมองก็ยิ่งปลื้มปริ่ม

แขกที่มาสวนสาลี่นั้นมีทั้งสามศาสนาเก้าลัทธิ ไม่ว่าประเภทใดล้วนมีทุกอย่าง ทว่าไม่เคยมีผู้ใดที่หล่อเหลาเช่นนี้มาก่อน ร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรง…

ในใจของหญิงสาวรู้สึกหงุดหงิด นางอยากจะดึงหลินเหราเข้าไปในห้องของนางทันที ทว่านางทำได้เพียงหัวเราะเบา ๆ “มาที่สวนสาลี่ของเรา ไม่มีแขกคนใดไม่มาหาคน ให้ข้าน้อยอยู่เป็นเพื่อนท่านเถอะ…”

ขณะที่พูดฝ่ามืออันบอบบางราวไร้กระดูกของหญิงสาวสัมผัสไปที่หน้าอกของหลินเหรา แต่ก็ถูกเขาสะบัดออก แววตาของชายหนุ่มเย็นชา กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าบอกว่ามาหาคน แม่นางได้โปรดสำรวมด้วย!”

หญิงสาวในชุดสีชมพูส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด นางรู้สึกราวกับมือถูกทุบด้วยไม้ กระดูกเกือบจะแตก ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

เมื่อเห็นดวงตาที่เหมือนจะสังหารคนได้ของหลินเหรา ในที่สุดหญิงสาวก็หวาดกลัวและไม่กล้าพูดกับเขาอีก

“เชิญคุณชายตามสบาย!”

พูดจบนางก็หมุนตัวจากไปอย่างลนลาน

ตลอดทางมีสตรีหลายคนที่อยากจะเข้ามาทัก แต่เมื่อเจอรังสีอำมหิตของหลินเหรา พวกนางก็ได้แต่ตกใจจนถอยหลัง หลินเหรายับยั้งความรังเกียจอย่างรุนแรงต่อสถานที่ดำมืดแห่งนี้ ในใจคิดเพียงแต่จะเอาถุงเงินของเหยาซูกลับคืนมา

ถุงเงินสีขาวที่ปักเป็นลายกล้วยไม้ที่สวยงามสะอาดสะอ้าน นางบอกว่านางใช้เวลาเย็บปักถักร้อยตลอดทั้งฤดูหนาว

พอนึกถึงนิ้วมือขาวเนียนของนางที่ถือเข็มเย็บผ้าอันแหลมคมและอาจจะเจาะปลายนิ้วเพราะไม่ทันระวัง…เจ้าขโมยนั้นจะเอาไปได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร!?

เขาเดินเข้าไปในสวนสาลี่ เมื่อเจอบุรุษผู้หนึ่ง เขาก็กวาดสายตาเย็นชาชั่วครู่ พอเห็นว่าไม่ใช่ขโมยก็หลับตาลงอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร ทว่าก็ทำให้กลุ่มคนที่เขามองนั้นรู้สึกหวาดกลัว

หลังจากนั้นไม่นาน นายหญิงผู้ดูแลสวนสาลี่แห่งนี้ก็ได้พานักเลงร่างสูงใหญ่ห้าคนเดินมาทางหลินเหรา

นายหญิงผู้นี้ฉลาดมากเช่นกัน สิ่งที่คนแบบนางขาดไม่ได้ก็คือสายตาครั้งแรกที่นางเห็นหลินเหรา ความคิดเดิมของนางที่คิดจะให้คนทุบตีเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าหลินเหรานั้นเคยผ่านสมรภูมิเลือดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นโจรที่เคยฆ่าคนมานับไม่ถ้วนหรือทหารที่กลับมาจากสนามรบ แม้ว่าในสวนสาลี่ของนางนั้นจะมีนักเลงหลายคนแต่ก็ไม่กล้ายั่วยุคนแบบนี้ง่าย ๆ

นายหญิงยิ้มออกมาราวกับดอกไม้แรกแย้ม นางยืนอยู่ห่างจากหลินเหราด้วยระยะที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย แล้วพูดกับหลินเหราว่า “คุณชายท่านนี้ได้ยินว่าท่านมาหาใครอย่างงั้นหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นแม่นางคนใดในสวนสาลี่ของเราหรือไม่?”

เมื่อเห็นว่านางไม่เข้ามาใกล้ หลินเหราพลันรู้สึกรังเกียจน้อยลงและพูดอย่างเย็นชา “ข้ามาหาขโมย หากรบกวนเจ้าข้าจะชดใช้ให้”

ด้านหลังของนายหญิงมีนักเลงคนหนึ่งที่เคยรับใช้นายหญิงมาหลายครั้ง พอเห็นท่าทางของหลินเหรา แม้ในใจจะนึกกลัวอยู่บ้างแต่พอมาคิดอีกทีพวกเขามีกันตั้งห้าคน จะกลัวเพียงคนคนเดียวได้อย่างไร?

นักเลงคนนั้นตะโกนขึ้นว่า “ชดใช้งั้นรึ? แขกที่มาในสวนสาลี่ของพวกเรานั้นต่างร่ำรวย เจ้าจะสามารถจ่ายได้อย่างนั้นรึ?!”

ทันทีที่พูดจบนายหญิงก็ถีบชายฉกรรจ์ผู้นั้นอย่างแรงแล้วตะโกนใส่เขาด้วยเสียงแหลมสูงว่า “หลิวซาน หุบปากเหม็น ๆ ของเจ้าซะ!”

คนที่ชื่อหลิวซานคนนั้นเงียบปากลงไปจริง ๆ

นายหญิงยังคงหันไปยิ้มหวานให้กับหลินเหรา “คุณชาย ข้าน้อยไม่รู้ความท่านต้องการรับผิดชอบด้วยเหตุใด…เพียงแต่สวนสาลี่ของเราเปิดทำการเพื่อค้าขาย หากปล่อยให้ท่านเข้าไปหาคนเช่นนี้เกรงว่า…”

เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเหรา นายหญิงก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา นางจึงพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งครั้งและกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “ท่านมาหาขโมย พวกเราย่อมต้องให้ความร่วมมือ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะถามบ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูวันนี้ หากพวกเขาเห็นแขกคนใดเหมือนที่ท่านพูด…”

“ไม่ต้องหรอก” หลินเหราพูดอย่างเย็นชา “ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะ แน่นอนว่าเขาไม่ใช่แขก”

นายหญิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วค่อย ๆ หายใจเข้าออก “หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีใครปล่อยให้เขาเข้ามาในสวนสาลี่แน่! หากเขาไม่ได้แอบออกไปก่อน ข้าคิดว่ายังคงอยู่ที่เรือนด้านนอก!”

นางสังเกตสีหน้าของหลินเหราอย่างละเอียด พลันถามหยั่งเชิงว่า “คุณชายได้ไปดูเรือนด้านนอกก่อนหรือไม่”

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา “ปิดประตูทุกมุมห้ามคนเข้าออก ขโมยแต่งตัวไม่เหมือนแขกแค่มองครู่เดียวก็มองออก ให้คนรับใช้หน้าใหม่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่คนเดียวก็ขาดไม่ได้!”

บนร่างของเขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา ภายใต้ร่างกายของเขาก็ไม่ได้มีของมีค่าใด ๆ ทว่าเหมือนเขาเคยชินกับการออกคำสั่ง จึงออกคำสั่งคนรอบข้างให้ทำงานอย่างเป็นระเบียบ นายหญิงจึงยิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ง่ายที่จะตอแย

นางจึงกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินคำสั่งหรือไม่? ทำไมยังไม่รีบไปทำอีก!”

ชายร่างกำยำทั้งห้าตอบรับและแยกย้ายกันไป ใบหน้าของนายหญิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ?”

หลินเหราไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ เขาแค่พูดออกมาว่า “แซ่หลิน”

ในหัวของนายหญิงขบคิดอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับตระกูลใหญ่แซ่หลินในเมืองชิงถง ทว่านางกลับจำไม่ได้ว่ามีคุณชายตระกูลหลินคนไหนหน้าตาเหมือนชายคนนี้ แต่นางก็ไม่กล้าสืบหาตัวตนของเขาอย่างเปิดเผย

หากนางสืบหาได้ว่าเขาเป็นคนอันตรายขึ้นมา แล้วชีวิตน้อย ๆ ของนางจะยังเหลืออยู่หรือ?

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คิดแบบตื้น ๆ ก็คือขโมยแย่งถุงเงินแล้วมาซ่อนตัวที่นี่ คิดแบบลึก ๆ ก็คืออาจเป็นการจัดฉากของใครบางคนเพื่อทำให้ชื่อเสียงของอาเหราเสียหาย?

ไหหม่า(海馬)