บทที่ 73 นี่อาจเป็นคนที่ท่านตามหา

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 73 นี่อาจเป็นคนที่ท่านตามหา

ตอนนี้นายหญิงรู้สึกเสียใจที่ส่งคนทั้งห้าออกไปหาข่าว เพราะข้างกายของนางไม่มีลูกน้องคนใดเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว

แม้ว่านางเคยเห็นเหตุการณ์ใหญ่มาไม่น้อย ยามนี้ก็ยังรู้สึกลนลานอยู่บ้าง ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเช่นปกติ “คุณชายหลินใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ไปดื่มชาร้อน ๆ กับข้าน้อยดีกว่าเจ้าค่ะ”

หลินเหราปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา “วันนี้ข้าจำเป็นต้องจับหัวขโมยคนนั้นให้จงได้ เจ้าจะทำอะไรก็ไปทำตามสบายเถอะ”

แม้คำพูดของเขาจะพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าเพียงแต่คำพูดนี้หากพูดคนอื่นฟังอย่างไรก็รู้สึกราวกับกำลังถูกข่มขู่

โดยเฉพาะนายหญิงที่กังวลว่าเขาจะมาก่อเรื่อง นางยิ่งทำหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ในใจก็ด่าขโมยที่แอบเข้ามาในหอสวนสาลี่ของนาง

นางทำการค้าอย่างตั้งใจแต่กลับถูกดึงให้มาเกี่ยวข้องกับพวกชั่วร้ายเช่นนี้ หากพบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากหาไม่เจอ…

หอสวนสาลี่มีขนาดใหญ่มาก นอกจากสวนด้านในแล้วยังเป็นสถานที่สำหรับแขกที่มาหาความสนุกกันอีกด้วย บริเวณโดยรอบมีภูเขาจำลอง ไม้พุ่ม และดอกไม้มากมาย พืชพันธุ์ส่วนใหญ่แม้ในฤดูหนาวก็ยังเขียวชอุ่ม

หลินเหราไม่ได้สนใจความคิดของนายหญิง เขาเพียงเดินลึกเข้าไปในสวนรอบนอก ดวงตาคมกริบกวาดมองทุกซอกทุกมุมที่หัวขโมยอาจจะซ่อนตัวได้

หลังจากผ่านไปไม่นาน ข้ารับใช้ของนายหญิงก็พาเด็กรับใช้ที่หน้าตาไม่คุ้นเคย สวมเสื้อภาพตัดปะมาให้หลินเหราทีละคน

พวกเขาจับมาได้เจ็ดแปดคนทว่าก็ยังไม่เจอขโมยผู้นั้น

คิ้วของหลินเหราขมวดเข้าหากันอย่างช้า ๆ สีหน้าของเขายิ่งดูคาดเดายาก ทำให้คนมองไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือโกรธกันแน่

หลังจากนั้นไม่นานหลินเหรา ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากที่ไกล ๆ คิ้วของเขากระตุกอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าเสียงพร่ามัวนั้นค่อนข้างคุ้นเคย

เมื่อคนสองสามคนเดินเข้ามาใกล้เสียงของพวกเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

ชายหนุ่มหน้าแดงถูกลากคอมาโดยเด็กรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “นี่มันอะไรกัน ใส่เสื้อผ้าตัดปะแล้วทำไม? เสื้อผ้าขาดแล้วซ่อมแซมเป็นเรื่องธรรมดา คนใส่เสื้อผ้าตัดปะจะเป็นแขกของหอสวนสาลี่ไม่ได้เหรอ? ข้ามีเงินนะ!”

เด็กรับใช้หัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ใครจะรู้ว่าเงินของเจ้านั้นขโมยมาหรือเป็นของเจ้าเอง? นายท่านคนนี้ได้ตามหาคนและคนที่ต้องจับให้ได้ในวันนี้ก็คือโจรขโมยของ!”

ลูกน้องของนายหญิงที่ไม่รู้จักตัวตนของหลินเหรา จึงเรียกเขาว่า ‘นายน้อยตระกูลขุนนาง’ เพื่อให้ทุกคนพาคนที่หลินเหราต้องการมาอย่างว่าง่าย

เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกพลางพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่ใช่ขโมย ข้าเป็นบัณฑิต ปล่อยข้า!”

เขาสบถด่าไปพลางถูกลากไปด้านหน้า วันนี้ในตอนที่เขาออกจากบ้านเพื่อไม่ให้ครอบครัวสงสัยจึงสวมเสื้อผ้าที่มีรอยปะ ไม่แปลกใจเลยที่จะถูกคนรับใช้เหล่านี้สงสัยว่าเป็นขโมย!

หลินเหรามองเรื่องตลกนี้ด้วยสายตาเย็นชาเพราะคนที่ถูกดึงมานั้นคือหลินหงน้องชายคนที่สามของเขา

เมื่อหลินหงเดินเข้ามาใกล้ เขาก็จำหลินเหราได้ทันที

“พี่ใหญ่?”

นายหญิงตกใจรีบมองไปที่หลินเหราปราดหนึ่ง ก่อนมองไปที่ชายหนุ่มที่ถูกเด็กรับใช้จับไว้ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนสีไป

หลินหงเป็นคนที่ขี้เหนียวเช่นกัน เมื่อมองดูสถานการณ์ตรงหน้าเขาสะบัดคนใช้ที่ดึงเขาออกมาแล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “พี่ใหญ่ เมื่อใดกันที่ท่านเปลี่ยนจากชาวนาขาติดโคลนขุดดินมาเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่? ต่อให้อยากออกมาตามข้า ก็ควรหาเหตุผลที่ดีกว่านี้!”

หลินเหราไม่สนใจเสียงตะโกนของหลินหง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดกับเด็กรับใช้ที่โง่งมว่า “หาต่อไป”

เด็กรับใช้คนนั้นตะลึงงัน ส่งเสียงออกมาคำหนึ่งแล้วมองสีหน้าของนายหญิงอีกครั้งทว่ายังไม่ขยับเขยื้อน

นายหญิงคิดในใจ ‘นี่นางถูกคนชนบทหลอกเอาอย่างงั้นหรือ’ ทว่าในใจของนางก็พยายามปฏิเสธเพราะชายคนนี้ดูไม่เหมือนกับชาวนาชาวไร่จริง ๆ…

นางจึงหันไปพูดกับหลินเหราว่า “คุณชายหลิน นั่นคือคนที่ท่านตามหาใช่หรือไม่? เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ท่านมาตามหาคนในหอสวนสาลี่ของข้าอย่างสง่าผ่าเผยแสดงว่าท่านเองก็ต้องมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย?”

ยังไม่ทันจะพูดจบก็ได้ยินเสียงพูดอีกคนหนึ่งจากด้านหลัง “นายหญิงหวัง น้องหลินเป็นคนจากจวนผู้ตรวจการของข้า ไม่ทราบว่าในฐานะนี้เพียงพอที่จะตามหาขโมยในหอสวนสาลี่ของท่านหรือไม่”

นายหญิงหวังรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มกล่าวกับผู้มาใหม่อย่างกระตือรือร้นทันที

“ใต้เท้าเจิ้ง วันนี้ท่านมีเวลามาหอสวนสาลี่ของเราได้อย่างไรกันเจ้าคะ? เหตุใดไม่มีใครออกไปต้อนรับท่านกัน โอ๊ยจริง ๆ เลย ข้าน้อยก็อายุมากแล้วเลยมีตาหามีแววไม่ ไม่รู้ว่าใต้เท้าหลินเป็นคนของจวนผู้ตรวจการ…”

เมื่อเจิ้งอันมาถึงเขาก็รีบเอ่ยช่วยหลินเหรา ให้พ้นจากการรุมล้อมทันที หากเขาไม่เปิดเผยตัวตนของหลินเหรา เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน

หลินเหราขมวดคิ้วแล้วพูดกับนายหญิงหวังว่า “คนที่ข้าตามหายังไม่เจอตัว”

นายหญิงหวังรีบเอ่ยทันที “โอ้ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ!”

นางหันไปตะโกนใส่คนรับใช้อีกครั้งว่า “ยังไม่ไปหาอีก รออะไรอยู่!”

เด็กรับใช้สองสามคนมองหน้ากันและกัน ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ตอนแรกเขาจับหลินหงมานึกว่างานของพวกเขาเสร็จแล้ว ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งใหม่พวกเขารีบพากันออกไปค้นหาอีกครั้ง

นายหญิงหวังและเจิ้งอันต่างยิ้มให้กัน มีเพียงหลินหงที่มีสีหน้าเขียวคล้ำมองหลินเหรา และถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านมาหาใครในหอสวนสาลี่กัน?”

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นหลินเหราก็นึกขึ้นได้ว่าเหยาซูกำลังรอเขาอยู่ที่ร้านน้ำชา ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่และกำลังตามหาคนร้ายอยู่กับคนกลุ่มนี้ จู่ ๆ เขาก็อดรู้สึกโมโหขึ้นมาไม่ได้

หลินเหรากวาดตามองหลินหงด้วยสายตาเย็นชาทำให้หลินหงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มแฝงด้วยความอาฆาตราวกับว่าอยากจะตัดคอของหลินหงทันที “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าพูดมาก”

ในอดีตที่ชายแดนเขตทางตะวันตกเฉียงเหนือ แม่ทัพเจียงหนิงมีชื่อเสียงโด่งดัง เมื่ออยู่นอกสนามรบเขาเป็นคนอารมณ์ดี ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยน ต่อมาหลินเหราได้ติดตามเขาและร่วมรบอย่างกล้าหาญ ค่อย ๆ สร้างชื่อเสียงของตัวเองขึ้นมา แต่ตัวเขานั้นแตกต่างจากท่านแม่ทัพ ยามปกติเขาจะทำสีหน้าเย็นชา แม้แต่เด็กที่มองเห็นยังหยุดร้องไห้

หลินหงเป็นเพียงเด็กชาวนาที่มีความรู้ตื้นเขิน เขาเพียงอ่านหนังสือและเก็บตัวอยู่ในบ้าน ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่เคยเห็นการต่อสู้มาก่อน

เขาตกใจจนวิญญาณออกจากร่าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ

ในขณะเดียวกันเจิ้งอันก็ไม่เข้าใจ นายหญิงหวังก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง สุดท้ายแล้วหลินหงก็ทนไม่ไหวใบหน้าซีดเผือด และพยายามหายไปจากจุดนี้ต่อหน้าทุกคน

นายหญิงหวังไม่รู้ว่าจะจบเรื่องราวนี้อย่างไร ทว่าเห็นคนเฝ้าประตูพาคนมาสี่ห้าคนจากทิศทางที่ต่างกัน นางสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าคนเหล่านั้นปะปนอยู่ในหอสวนสาลี่ของนางและพวกเขาก็มากินดื่มใช้บริการอยู่ที่นี่

เพียงแต่ได้ยินว่ามีนายน้อยของตระกูลขุนนางมาจับคนที่อยู่ในสวน พวกเขาก็รีบหนีออกมาและถูกจับได้พอดี

นายหญิงหวังยิ้มกว้างหันหน้ามาพูดกับหลินเหรา “ใต้เท้าหลิน ในคนพวกนี้มีคนที่ท่านต้องการหรือไม่”

นางเห็นว่าหลินเหรา เดินไปหาคนคนหนึ่งในสี่คนนั้นด้วยจิตสังหาร ความเย็นชาบนใบหน้าของเขาเกือบทำให้แขนขาและอวัยวะภายในของคนที่ถูกมองแข็งตัว

เขาจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของคนผู้นั้นและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “คืนของมา”

ขโมยผู้นั้นเคยชินกับความผิดเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าต่อให้เขาถูกจับมาได้ถุงเงินก็ถูกโยนทิ้งไปในกองหญ้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานใด ๆ

ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือชายร่างสูงตรงหน้าไม่ให้โอกาสเขาแก้ตัวสักประโยค พอเห็นเขาอีกฝ่ายไม่พูดอะไรก็ใช้มือข้างหนึ่งบีบคอหัวขโมยผู้นั้นแล้วหิ้วขึ้นด้วยมือข้างเดียว

เขาเผยเจตนาสังหารออกมาชัดเจน “ข้าจะไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง ส่งของคืนมา!”

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่เหราเล่นบทโหดแล้ว จะตุกติกอะไรก็คิดถึงชีวิตตัวเองก่อนนะ

ไหหม่า(海馬)