บทที่ 134 อธิบายฉันหน่อย

คิงดราก้อน

เซียวหยางดื่มไวน์หนึ่งแก้ว แล้วทำปากแจ๊บ ๆ และยังไม่ลืมที่จะเอ่ยพูด :

“สมกับที่เป็นโรมาเน กองติ ราคาสามหมื่นหยวนจริง ๆ รสชาติแตกต่างจริง ๆ สุดยอดกว่าที่ขายตามซุปเปอร์มาเก็ตเยอะเลย”

เฉินเสี่ยวเปียวเกลียดเซียวหยางแทบตาย “แม่งมันจะเหมือนกันได้ยังไงล่ะ นี่ขวดละสามหมื่นเชียวนะ ไม่ใช่ขวดละสามสิบหยวน!”

เซียวหยางไม่ได้สนใจเขา แล้วฉีกก้ามกุ้งมังกรออสเตรเลียออกข้างหนึ่ง เมื่อแกะเสร็จแล้วก็แทะกิน หอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล หูฉลาม กระเพาะปลา อาหารอันโอชะเหล่านี้เซียวหยางทานเกลี้ยงไม่เหลือ

เฉินเสี่ยวเปียวตบหัวตัวเอง จะเอาแต่มองดูเซียวหยางกินของพวกนี้จนหมดเกลี้ยงไม่ได้นะ ไม่งั้นตัวเองคงขาดทุนยับเยิน

เขาเลยทำตามเซียวหยาง กินทุกอย่างจนเกลี้ยงไม่เหลือ

ทั้งสองคนกินกันอย่างดุเดือดมาก คนที่ไม่รู้คงคิดว่าสองคนนี้ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว

ขณะที่กำลังกิน ประตูร้านก็มีชายวัยกลางคนสวมเสื้อแจ็กเกตหนังคนหนึ่งโผล่มา ดูท่าทางน่าจะอายุสี่สิบกว่าปี มือไขว้หลัง หน้ายื่นคางยาว ดูท่าทางดุมาก

เขาเดินไปพลางสำรวจร้านอาหารและลูกค้ารอบ ๆ ร้านไปพลาง ตอนที่เขาเห็นเฉินเสี่ยวเปียวและเซียวหยางกำลังกินกุ้งมังกรออสเตรเลียอย่างมูมมามนั้น ก็ตะลึงงันทันที

หลานชายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย เขาเรียกตัวเองให้มาสั่งสอนคนอื่นไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้มาทานข้าวด้วยกันแล้วล่ะ

ขณะที่ชายคนนั้นกำลังตะลึงงัน เซียวหยางก็ได้เช็ดปาก แล้วรินไวน์โรมาเน กองติ ให้เฉินเสี่ยวเปียวกับเสิ่นอ้าวจุนคนละแก้ว

“มา ได้พบกันก็เพราะมีวาสนาต่อกัน เพื่อพรหมลิขิตนี้ ชนแก้ว!”

เฉินเสี่ยวเปียวกำลังจะพูดอะไรขึ้นมา แต่เซียวหยางได้ยืดคอกระดกไวน์ดื่มจนหมดแล้ว เขาเองก็ไม่ยอมแพ้ ยังไงซะไวน์ที่แพงขนาดนี้ ยิ่งดื่มก็ยิ่งน้อยลง

ดังนั้น เฉินเสี่ยวเปียวจึงดื่มจนหมดแก้วเช่นกัน ในสายตาคนนอก สองคนนี้ไม่ใช่ศัตรูกันเลยสักนิด เหมือนเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีมากกว่า!

และในขณะนั้นเอง เฉินเสี่ยวเปียวรู้สึกว่าด้านหลังมีใครยืนอยู่ จึงได้หันไปแล้วพบว่าเป็นเฝิงเป่ากางที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่นเอง จึงรีบลากลุงมานั่ง

“ลุงครับ รีบทานเร็วเข้า ทานเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”

แม่งเอ้ย ลุงเป็นคนของฉัน ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าพวกเราสองคนจะกินไม่ชนะแก!

เฝิงเป่ากางนั่งลงอย่างงุนงง แต่เมื่อเขามองอาหารบนโต๊ะก็อดน้ำลายไหลไม่ได้

ถึงแม้เขาจะมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ร้านอาหารใหญ่โตได้มาตรฐานแบบนี้ เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก

เมื่อเห็นเฉินเสี่ยวเปียวพูดอย่างนี้ เขาก็ไม่เกรงใจแล้ว เขายกแขนขึ้นมา ทักทายเล็กน้อย แล้วหยิบก้ามกุ้งขึ้นมาแทะกิน

เซียวหยางรู้อยู่แล้วว่าเฝิงเป่ากางเป็นผู้ช่วยที่อีกฝ่ายหามา จึงยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วเรียกพนักงาน พลางเอ่ยพูด :

“พนักงาน เอากุ้งมังกรมาให้พวกเราอีกสามตัว มีเพื่อนมาเพิ่มอีกหนึ่งคน ไม่พอทาน”

เฉินเสี่ยวเปียวที่กำลังกัดปลาสเตอร์เจียนตัวหนึ่งอยู่ ได้ยินเซียวหยางพูดขึ้นมา ก้างปลาสเตอร์เจียนก็ติดคอเขาทันที

“แค่ก แค่ก แค่ก!”

เฉินเสี่ยวเปียวอ้าปากไอออกมาอย่างรุนแรง อยากพูดแต่พูดไม่ออก ร้อนใจจนหน้ากับหูแดงไปหมด

“เสี่ยวเปียว แกก็ไม่รู้จักระวังเอาเสียเลยนะ รีบดื่มไวน์ลงไปสิ”

ขณะที่เซียวหยางพูด ก็ได้รินไวน์ให้เฉินเสี่ยวเปียวอีกหนึ่งแก้ว

มองไวน์โรมาเน กองติ ที่แพงขนาดนี้ เฉินเสี่ยวเปียวได้แต่ร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ดื่มแก้วนี้ไป หายวับไปอีกสามพันหยวน

คราวนี้ขาดทุนย่อยยับจริง ๆ แต่จะไม่ดื่มก็ไม่ได้อีก จะให้ก้างปลาติดคอไม่ได้

เซียวหยางหันไปพูดกับเฝิงเป่ากาง : “พี่ชายครับ ผมขอดื่มให้พี่หนึ่งแก้ว พี่ตามสบายนะครับ ผมขอดื่มหมดแก้ว!”

“ดี ตรงไปตรงมาดี!”

เฝิงเป่ากางก็เป็นคนที่ใจถึงคนหนึ่ง จึงได้ชนแก้วกับเซียวหยาง แล้วยกดื่มจนหมดแก้ว

นี่คือโรมาเน กองติ เชียวนะ ตอนที่เขามาก็จับจ้องที่ไวน์ขวดนี้อยู่แล้ว กำลังคิดหาเหตุผลดื่มสักแก้วอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าเซียวหยางจะทำแบบนี้

“พี่ชายครับ ยังไม่ทราบชื่อของพี่ชายเลย?”

“เฝิงเป่ากาง ผู้กำกับสถานีตำรวจเขตปกครองถนนเปาซานเขตเทียนซิน”

ชายคนนี้ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในระดับรากหญ้ามาสิบกว่าปี เพิ่งได้เริ่มเป็นตำรวจตำแหน่งเล็ก ๆ ขยันขันแข็งมาสิบกว่าปี จนในที่สุดก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับ ถึงแม้เป็นเพียงสถานีตำรวจเล็ก ๆ ในเขตปกครองแห่งหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็เป็นข้าราชการคนหนึ่งแหละ

“ที่แท้เป็นผู้กำกับเฝิงนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อเซียวหยาง หากไม่รังเกียจเรียกผมว่าน้องเซียวก็ได้ครับ”

การตีสนิทเป็นกันเองแบบนี้ ไม่มีใครเกินเซียวหยางจริง ๆ แม้แต่เสิ่นอ้าวจุนยังต้องแอบซูฮก

เฝิงเป่ากางรู้สึกมีความสุขและสนุกมาก ทั้งสองคนดื่มเหล้าเข้าขากันได้ดี ดื่มโรมาเน กองติ ขวดละสามหมื่นหยวน ดื่มจนรู้สึกเหมือนเหล้ายี้หอหนิวหลันซาน

เฉินเสี่ยวเปียวมองไวน์ที่ถูกดื่มจนหมดขวดตาปริบ ๆ แล้วรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที

“ลุง อย่าดื่มอีกเลย มันก็คือไอ้เวรนั่นที่ผมบอกไงล่ะ มันแย่งบ้านของผมไป ลุงต้องช่วยผมนะครับ!”

เฝิงเป่ากางหน้านิ่งไป มองเซียวหยางที แล้วหันไปมองเฉินเสี่ยวเปียวที

คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ

หรือว่าหลานชายของตัวเองเป็นคนโง่ ถูกคนอื่นแย่งบ้านไป ยังมานั่งกินนั่งดื่มอยู่ที่นี่เหมือนพี่น้องกันอีก แกแม่งน้ำเข้าสมองแล้วหรือไงเนี่ย

ส่วนเซียวหยางดูท่าทางค่อนข้างมีน้ำใจมีคุณธรรม ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นนะ

“ฉันถามแกอีกครั้งนะ เรื่องที่แกพูดกับฉันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

เฉินเสี่ยวเปียวร้อนใจจนตบขาตัวเองขึ้นมา

“จริงสิครับ จริงซะยิ่งกว่าเพชรอีก ไอ้เวรนี่ไม่เพียงแต่แย่งบ้านไปเท่านั้น มันยังใช้กำลังกับผมด้วย ลุงดูบนหน้าผมสิครับ!”

เฝิงเป่ากางมองหน้าของเจ้าอ้วน น่าเวทนาจนทนดูต่อไปไม่ได้ ดูสภาพมันสิ เมื่อกี้ยังกินมีความสุขกว่าใครอยู่เลย

“เซียวหยาง พวกเราดื่มเหล้าก็ส่วนดื่มเหล้า มิตรภาพเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนี้ ฉันจำเป็นต้องถามให้ชัดเจน”

เฝิงเป่ากางทำงานอยู่ในระดับรากหญ้ามาหลายปี มีใจนักเลง สายตาที่มองไปทางเซียวหยางก็ดูไม่เป็นมิตรขึ้นมา

“พี่เฝิง พูดมาเลย”

“ตกลงนายได้แย่งบ้านของหลานชายฉันไปหรือเปล่า?”

เซียวหยางแบมือทั้งสองข้างออกพลางยักไหล่ทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แล้วพูดอย่างใสซื่อว่า : “จะเรียกแย่งได้ยังไงล่ะ เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากผมแย่งบ้านของเขาจริง ๆ เขาจะมานั่งดื่มนั่งกินมื้อใหญ่กับผมเหรอ? พี่เฝิง พี่ก็เห็นกับตาแล้วนี่นา!”

เฉินเสี่ยวเปียวฟังถึงตรงนี้ ก็ทนไม่ไหวทันที

“เซียวหยาง แกอย่ามาตีมึนใส่ฉันนะ เมื่อเช้าฉันตั้งใจไปกรมที่ดิน บ้านหลังนั้นเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่บ้านของฉันอีกแล้ว แกยังมาพูดว่าไม่ได้แย่งอีกเหรอ?”

เซียวหยางพูดอย่างจนปัญญา : “พี่เฝิง พี่ฟังสิ หลานชายพี่บอกว่าบ้านเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากผมแย่งบ้านของเขาไปจริง ๆ กรมที่ดินจะเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ให้ผมเหรอ?”

เฝิงเป่ากางคิดดูก็รู้สึกว่าจริงอย่างที่พูด เขาเริ่มสับสนไปหมดแล้ว

“งั้นตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? ตอนที่พวกนายสองคนทำข้อตกลงซื้อขายได้ทำตามความสมัครใจกันหรือเปล่า? นายมีหลักฐานยืนยันไหม?”

เซียวหยางไม่พูดอะไร เพียงแต่ให้เสิ่นอ้าวจุนหยิบสัญญาออกมา แล้วยื่นให้เฝิงเป่ากาง

เฝิงเป่ากางเปิดดูครู่หนึ่ง เมื่อเห็นลายเซ็นของเฉินเสี่ยวเปียว ก็ขมวดคิ้วทันที

“เสี่ยวเปียว นี่มันลายมือไก่เขี่ยของแกไม่ใช่หรือไง? แกยังมาบอกว่าไม่เต็มใจอีกเหรอ?”

เฉินเสี่ยวเปียวกลัดกลุ้มใจมาก

“ลุงครับ มันบังคับให้ผมเซ็น! บ้านหลังนั้นขายได้แค่หกหมื่นหยวนเองนะ หกหมื่นหยวนก็ซื้อบ้านได้หนึ่งหลังงั้นเหรอ? พูดเป็นเล่นไปได้!”

“ลุงต้องจัดการให้ผมนะ ไอ้หมอนี่มันปลิ้นปล้อน ลุงห้ามเชื่อมันเด็ดขาด!”

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เขาถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม น้ำตาที่ถูกเหยียดหยามของเฉินเสี่ยวเปียวก็ไหลออกมา บอกได้เพียงว่า ทั้งเสียใจและแค้นเคือง!

เฝิงเป่ากางเพิ่งเห็นราคาที่ซื้อขายกัน ก็ตาโตขึ้นมาทันที

“หกหมื่นหยวนจริง ๆ ด้วย!”

บ้านหนึ่งหลังใจกลางเมือง ยังไงก็เกินล้าน ไม่มีทางราคาถูกขนาดนี้ เท่ากับว่าเซียวหยางเล่นตุกติกจริง ๆ!

เฝิงเป่ากางทำเสียงไม่พอใจออกมา เอาสัญญาตบลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยพูด :

“เซียวหยาง นี่มันเรื่องอะไร นายอธิบายฉันหน่อยสิ!”