ตอนที่ 55 ปลอบใจหนิวเอ้อร์

มู่อี้เดินเข้าไปในป่าไผ่และพบเหตุการณ์ที่น่าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง พื้นที่ภายนอกนั้นมีหิมะหนาปกคลุมไปทั่ว แต่ภายในป่าไผ่นั้นกลับสะอาดสะอ้านและแม้แต่พื้นดินก็ปราศจากหิมะใดๆราวกับอยู่คนละโลก

แม้ใบไผ่ที่หนาแน่นก่อนหน้านี้จะบางลงไปบ้างแต่ก็ยังเป็นสีเขียวชอุ่ม ซึ่งถือได้ว่าที่นี่เป็นพื้นที่สีเขียวเพียงแห่งเดียวในฤดูหนาวนี้

หินก้อนใหญ่ก้อนนี้เดิมทีอยู่ในป่าไผ่ภายในสวนหลังบ้านตระกูลซู มันถูกเคลื่อนย้ายขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้พร้อมกับป่าไผ่โดยคำสั่งของซูจงซาน ปกติเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะชอบนั่งบนหินก้อนนี้มากแต่ตอนนี้มู่อี้กลับไม่เห็นนางเมื่อเขาเข้ามาที่นี่

จากนั้นมู่อี้ทำตามสิ่งที่หนิวเอ้อร์ชอบทำก่อนหน้านี้ เขานั่งลงบนก้อนหินแล้วจ้องไปที่ต้นไผ่ที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง

มู่อี้รู้ดีว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ย่อมรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่นางไม่ต้องการมาเจอหน้าเขาหรือไม่ก็พยายามซ่อนตัวจากเขา เด็กหญิงน้อยผู้นี้กำลังบอกมู่อี้ในแบบของนางว่านางไม่มีความสัมพันธ์กับมู่อี้อีกต่อไปและไม่ต้องมาพบกันอีกต่อไป

เขากำลังจินตนาการภาพเนี่ยนหนิวเอ้อร์กำลังพูดพึมพำและไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมาที่เขา เมื่อคิดเช่นนี้มู่อี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

เมื่อเสียงหัวเราะของเขาดังขึ้น ต้นไผ่ที่อยู่ใกล้ๆก็สั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์กำลังแอบเฝ้ามองเขาอย่างลับๆในขณะนี้

“หนิวเอ้อร์” มู่อี้เรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

ไม่มีการตอบรับใดๆกลับมา มู่อี้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ถ้าแค่เรียกแล้วหนิวเอ้อร์ออกมามันคงไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องหนักใจแน่นอน

“เจ้าจำที่ข้าบอกว่า ข้าไม่มีครอบครัวได้ไหม?”

มู่อี้ไม่สนใจว่าหนิวเอ้อร์จะออกมาหรือไม่ แต่เขาก็พูดในสิ่งที่ต้องการต่อไป

“ในตอนที่ข้าอายุหกขวบ ท่านนักพรตเต๋าเฒ่าซึ่งก็คืออาจารย์ของข้าพบข้าอยู่ในสุสาน ตามที่เขาบอกไว้ข้านอนขดตัวอยู่ในหลุมมืดๆ เขาไปที่นั่นเพื่อยืมเงินและได้ยินข้าไอออกมาสองครั้งจึงทำให้เขาได้พบข้า บางครั้งข้าก็คิดว่าถ้าข้าไม่ไอออกมา ถ้าท่านปู่ไม่ไปที่นั่น ตอนนี้ข้าคงตายจากโลกนี้ไปนานแล้วและตายในสุสานแห่งนั้นโดยที่ไม่มีใครคิดถึงข้าแม้แต่คนเดียว”

“ต่อมาข้าก็ออกเดินทางติดตามท่านปู่ไปทุกหนทุกแห่ง ข้าไม่มีความทรงจำก่อนอายุหกขวบเลย ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแม่ของข้า และข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพวกเขาถึงละทิ้งข้า ในตอนนั้นข้ารู้สึกเกลียดพวกเขา เกลียดพวกเขามาก ข้าคิดอยู่เสมอว่าถ้าพวกเขาไม่ต้องการข้าแล้วให้กำเนิดข้าขึ้นมาทำไม? จนกระทั่งท่านปู่ได้พาข้าเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ข้าก็ค่อยๆเข้าใจว่าความเกลียดชังนั้นเกิดขึ้นเพราะความไม่พอใจดังนั้นในภายหลังข้าจึงไม่ได้รู้สึกเกลียดอีกต่อไป”

“ข้าเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันและให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่รอบๆตัวข้า”

“เวลานั้น……”

มู่อี้เล่าประสบการณ์ทั้งหมดของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาพูดมาจากใจจริงและเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็รับฟังอยู่ด้านหลังต้นไผ่ด้วยความตั้งใจ มู่อี้พูดถึงการต่อสู้กับเด็กคนอื่นๆ ถูกไล่ล่าโดยสุนัขป่า หลังจากได้ฟังเรื่องราวต่างๆนางก็มีการตอบสนองกลับมาบ้างเล็กน้อย

“จนกระทั่งท่านปู่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา ข้าก็ได้เข้าใจว่าเขามีความสำคัญต่อจิตใจของข้ามากแค่ไหน เขาเป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ข้ามี ตอนแรกข้าคิดว่าข้าจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าพระเจ้าเลือกที่จะมอบของขวัญให้ข้าอีกครั้งและส่งเด็กหญิงที่น่ารัก ไร้เดียงสา เรียบง่ายและใจดีให้ข้า ทำให้นางเป็นน้องสาวของข้าและทำให้ข้าไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้อีกต่อไป”

“แต่ข้าไม่คิดเลยว่า เพียงคำพูดที่ไร้ค่าไม่กี่คำก็ทำให้นางไม่ต้องการข้าอีกต่อไป” มู่อี้พูดความรู้สึกภายในใจออกมาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

บางทีมันอาจเป็นเรื่องราวในอดีตหรืออาจเป็นเพราะประโยคสุดท้ายของมู่อี้ ในที่สุดเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ออกมาจากต้นไผ่ นางค่อยๆเดินมาที่ด้านหน้าของมู่อี้อย่างช้าๆ มือเล็กๆทั้งสองข้างของนางประสานกันและก้มหน้ามองลงบนพื้น นางอยากจะเข้าไปสวมกอดมู่อี้แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ นางอยากจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของมู่อี้แต่ก็ไม่กล้ามอง

“เด็กโง่ ถ้าจะบอกว่าชีวิตของเจ้านั้นรันทดแล้วจะมีชีวิตใครที่น่ารันทดยิ่งกว่าข้าอีกงั้นหรือ? ความจริงแล้วหลังจากที่ท่านปู่รับข้าไปเลี้ยงดูเขาก็พยายามตรวจสอบเรื่องราวของพ่อแม่ของข้าอย่างเงียบๆ เขาคิดว่าจะสามารถปิดบังข้าได้แต่เขาไม่รู้ว่าข้ารับรู้เรื่องทุกอย่าง ในช่วงเวลานั้นมีกลุ่มผู้อพยพมากมาย ผู้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิตและศพทั้งหมดก็ถูกเผาไปแล้ว ข้าน่าจะถูกแยกจากพ่อและแม่ในตอนนั้น สำหรับพ่อแม่ของข้าบางทีพวกเขาอาจเสียชีวิตที่นั่นและกลายเป็นเถ้าถ่านในกองเพลิงไปแล้ว หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะอพยพไปอยู่ที่อื่นแล้วเรื่องนี้ข้าก็ไม่อาจทราบได้”

“ข้ารอดจากสุสานมาได้ รอดจากการเดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี เจ้าคิดว่าข้าจะมาตายเพราะเด็กหญิงตัวเล็กๆเช่นเจ้างั้นหรือ? เจ้าประเมินพี่ชายของเจ้าต่ำเกินไปหรือเปล่า? เจ้าก็รู้ว่าพี่ชายของเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทางจิตวิญญาณเชียวนะ” มู่อี้มองเนี่ยนหนิวเอ้อร์และพูดประโยคสุดท้ายอย่างจริงจัง สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดเป้าหมายก็คือการปลอบใจเนี่ยนหนิวเอ้อร์และทำให้นางรู้สึกดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“พี่ชาย หนิวเอ้อร์ผิดไปแล้ว ท่านอย่าโกรธหนิวเอ้อร์เลย” ในที่สุดเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็เงยหน้าของนางขึ้นอย่างกล้าหาญและมองไปที่มู่อี้พร้อมกับกล่าวคำขอโทษออกมา

“เจ้ารู้จริงๆหรือเปล่าว่าเจ้าทำอะไรผิด?” มู่อี้จ้องมองดวงตาของเนี่ยนหนิวเอ้อร์และถามด้วยความจริงจัง

“เอ่อ หนิวเอ้อร์รู้จริงๆ” เนี่ยนหนิวเอ้อร์รู้จักมู่อี้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นใบหน้าของมู่อี้นางก็รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธจริงๆ ดังนั้นนางจึงก้มหน้าด้วยความสำนึกผิด

“ถ้าเจ้ารู้ตัวว่าทำอะไรผิดไปก็ดีแล้ว ต่อไปอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระแบบนั้นอีก จำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่ชายคนนี้จะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ” มู่อี้เอื้อมมือออกไปและลูบศีรษะเล็กๆของนาง

“หนิวเอ้อร์จะอยู่กับพี่ชายตลอดไป” เนี่ยนหนิวเอ้อร์พยักหน้าอย่างหนักราวกับให้คำมั่นสัญญา

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเนี่ยนหนิวเอ้อร์มู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถกำจัดความเจ็บปวดที่มีอยู่ในใจของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ออกไปได้อย่างสมบูรณ์ภายในครั้งเดียว แต่ตอนนี้เขามีความสำคัญในหัวใจของนาง ตราบใดที่เขาคอยอยู่เคียงข้างนางไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็จะลืมความเจ็บปวดในอดีตไปอย่างสมบูรณ์

แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆมู่อี้ก็นึกถึงคำที่เจี่ยเหรินพูดก่อนที่เขาจะตายจากไป ในโลกที่ต้องสาปใบนี้ ความเศร้าและความสุข ชีวิตและความตาย ความเกลียดชังและการลาจาก

สิบสองคำ

มู่อี้รู้สึกคุ้นเคยกับหกคำแรกอย่างมาก ในหน้าสุดท้ายของหนังสือฉือกุยมีคำหกคำที่คล้ายคลึงกันว่า ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์สาป-ภัยพิบัติของมวลมนุษย์!

มู่อี้ไม่เคยเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของประโยคนี้ ถ้าพบผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็คงเข้าใจได้ในทันทีแต่มู่อี้ไม่คิดว่ามันจะง่ายนัก

เจี่ยเหรินพูดเช่นนี้ก่อนที่เขาจะตาย แล้วคำพูดอีกหกคำที่เหลือหมายความว่าอย่างไร?

เนี่ยนหนิวเอ้อร์ ของขวัญจากสวรรค์ มีสติปัญญาติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด

ในหนังสือเล่มนั้น ความชั่วร้าย ราชันย์แห่งวิญญาณ

อาจกล่าวได้ว่ามีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกันระหว่างสองสิ่งนี้ แล้วมันเชื่อมต่อกันด้วยอะไร?

น่าเสียดายที่มู่อี้ไม่สามารถหาตัวผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาได้ มิฉะนั้นเขาจะสามารถถามทุกสิ่งที่อยากรู้ หลังจากเจี่ยเหรินตายไปก็ทิ้งเอาไว้เพียงเหรียญตราเท่านั้น

มู่อี้ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ฟังและบอกลานาง เขากลับไปที่ห้องโถงใหญ่ของวัดและดวงตาของเขาจับจ้องลงบนกล่องไม้ขนาดใหญ่สองกล่องในห้องโถงอีกครั้ง ถ้าเขาเดาไม่ผิดมันควรจะเป็นสิ่งของของเจี่ยเหริน แต่เขาไม่รู้ว่าภายในกล่องไม้จะมีบันทึกเกี่ยวกับประโยคนั้นไหม

มู่อี้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หลังจากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าและก้มลงเปิดกล่องไม้ทันที