ตอนที่ 56 หน้ากากหนังมนุษย์

มู่อี้เปิดกล่องไม้ใบแรกและเห็นกองกระดาษมากมายอยู่ภายในนั้น อาจเป็นเพราะการเห็นกระดาษตกเกลื่อนกลาดมากมายในที่เกิดเหตุทำให้ซูจงซานคิดว่ากระดาษเหล่านี้เป็นของมีค่า แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันเป็นอาวุธที่สร้างขึ้นมาโดยเจี่ยเหรินและแตกต่างจากกระดาษที่เขาใส่มาในกล่องไม้โดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้มู่อี้ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนมาศึกษาการตัดกระดาษแม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้ววิถีแห่งยันต์เพียงอย่างเดียวก็กว้างขวางและลึกซึ้งมากแล้วและมันก็คุ้มค่าที่จะใช้เวลาชีวิตของเขาในการศึกษา สำหรับการตัดกระดาษมันจำเป็นต้องใช้พรสวรรค์อยู่ไม่น้อยเช่นกันดูจากมือที่เป็นเอกลักษ์ของเจี่ยเหรินก็สามารถรับรู้ได้ทันที

มู่อี้ปัดกองกระดาษเหล่านั้นทิ้งไปและพบว่าด้านล่างเป็นหนังสือและเอกสารบันทึกที่อยู่ในสภาพค่อนข้างเก่าและผ่านการใช้งานมาแล้ว

อาจเป็นเพราะมู่อี้ให้ความสำคัญกับหนังสือที่ฉือกุยทำหล่นไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นครั้งนี้ซูจงซานจึงไม่พลาดที่จะนำหนังสือทั้งหมดมามอบให้เขา พูดได้เลยว่าซูจงซานคงค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมขอบ้านหลังนั้นและเขาสั่งการให้คนของเขาจัดเรียงไว้ในกล่องอย่างเป็นระเบียบเพื่อทำให้มู่อี้ประหลาดใจ

ซูจงซานไม่รู้ว่ามู่อี้มีหนังสือเหล่านี้อยู่แล้วหรือไม่ แม้ว่ามันจะเป็นหนังสือที่ไร้ประโยชน์สำหรับซูจงซาน แต่สำหรับมู่อี้การมีหนังสือเหล่านี้เอาไว้ก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้อ่านเลย เขาสามารถหยิบหนังสือพวกนี้ขึ้นมาอ่านได้ในเวลาว่างเพื่อเป็นการฆ่าเวลาและอาจได้ความรู้ใหม่ๆจากหนังสือเหล่านี้

มู่อี้จัดเรียงหนังสือเหล่านั้นทีละเล่มและอ่านเอกสารบันทึกเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยความระมัดระวัง

หลังจากนำทุกสิ่งทุกอย่างในกล่องไม้ขนาดใหญ่ออกมาจัดเรียงจนหมดแล้ว ตู้หนังสือภายในห้องของมู่อี้ก็มีหนังสือจัดเรียงเอาไว้จนเกือบเต็ม เมื่อมองไปที่ตู้หนังสือมู่อี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ซูจงซานช่างเป็นคนที่มองการณ์ไกลจริงๆ

จากนั้นเขาก็เปิดกล่องไม้ขนาดใหญ่อีกกล่องและมีกลิ่นสมุนไพรที่รุนแรงพุ่งเข้ามาปะทะกับใบหน้าของเขาในทันที ในความเป็นจริงมู่อี้ได้กลิ่นอยู่ก่อนแล้วซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกเปิดกล่องใบนี้ทีหลัง

จริงๆแล้วเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินทองหรือสิ่งของที่มีค่ามากนัก สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงคือทรัพยากรดีๆที่สามารถช่วยในการฝึกฝนได้ ในสายตาของเขานั้นเงินหลายพันตำลึงไม่ได้มีค่ามากไปกว่าโสมเก่าแก่ดีๆสักต้นหนึ่งเลย

ในกล่องไม้ขนาดใหญ่นี้ล้วนเป็นสมุนไพรที่มีค่าทุกชนิด มู่อี้เชื่อว่าสมุนไพรเหล่านี้น่าจะถูกค้นเจอในบ้านของเจี่ยเหริน แต่สมุนไพรส่วนใหญ่น่าจะมาจากที่ตระกูลซูและตระกูลเผิงใส่เพิ่มเติมมาให้ ดูจากกล่องสมุนไพรที่งดงามแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่สมุนไพรเหล่านี้จะเป็นของเจี่ยเหริน

ความจริงแล้วการฝึกฝนในตอนนี้ของมู่อี้ไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรที่มีค่ามากมายเช่นนี้ แต่การได้รับสมุนไพรที่มีค่ามากมายเช่นนี้ก็ไม่ได้เกินกว่าที่มู่อี้คาดคิดเอาไว้ สมุนไพรเหล่านี้ต่างก็ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีแม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้ใช้มันในตอนนี้ก็เพียงแค่วางไว้ในที่แห้งและเย็นก็พอ

เมื่อต้องการใช้งานในอนาคตก็สามารถนำไปใช้งานได้ตลอดเวลา

แต่หลังจากนั้นมู่อี้ก็พบกล่องหยกที่ดูโดดเด่น มันถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยกาวเป็นอย่างดี

“นี่คืออะไร?” มู่อี้หยิบกล่องหยกขึ้นมาดูด้วยความประหลาดใจ

“มันเป็นของขวัญจากตระกูลเผิงหรือตระกูลซูหรือ?” มู่อี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ หากเป็นของขวัญพวกเขาคงไม่วางไว้ด้านล่างสุดของกล่องไม้แต่จะต้องวางไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดแน่นอน

“มันเป็นของเจี่ยเหรินงั้นหรือ?” ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจของมู่อี้ทันที

มันเป็นกล่องหยกที่ถูกปิดผนึกอย่างดีสิ่งที่อยู่ด้านในจะต้องเป็นของมีค่าอย่างแน่นอน หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่มู่อี้ก็ตัดสินใจที่จะเปิดมันออก อาจจะเป็นไปได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับเจี่ยเหรินแต่เป็นของที่ไร้ค่าสำหรับเขา

อย่างไรก็ตามมู่อี้ก็เปิดมันด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับสิ่งที่อยู่ภายใน

“หืม สิ่งนี้คือ?” หลังจากเปิดกล่องหยกมู่อี้ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อพบว่ามันเป็นหน้ากากดูเหมือนจริง ซึ่งเป็นหน้ากากที่ทำมาจากผิวหนังของมนุษย์

เขาไม่รู้ว่าเจี่ยเหรินใช้วิธีการใดในการเก็บรักษาของสิ่งนี้เอาไว้ หน้ากากหนังมนุษย์ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีอาจกล่าวได้ว่ามันสมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้วและผิวหนังมีความสดใหม่ราวกับว่าเพิ่งถูกลอกออกมา

เมื่อมันเป็นสิ่งที่เจี่ยเหรินทำขึ้น ถึงแม้จะเป็นหน้ากากหนังมนุษย์มู่อี้ก็ไม่แปลกใจนักเพราะก่อนหน้านี้เขาได้สังหารและลอกผิวหนังของเหยื่อไปมากมาย ตามลักษณะที่ปรากฏบนหน้ากากหนังมนุษย์ ชายผู้นี้น่าจะมีอายุประมาณ 20 ปีและมีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก ท้ายที่สุดจากความคิดของเจี่ยเหรินถ้าชายคนนี้มีหน้าตาที่ธรรมดาหรือน่าเกลียดก็ไม่คู่ควรกับการเป็นสมบัติอันล้ำค่าของเขา

หน้ากากหนังมนุษย์ไม่มีค่าสำหรับมู่อี้ แต่เมื่อเขากำลังจะปิดกล่องหยกกลับไปทันใดนั้นเขาก็คิดในใจว่า ถ้าต้องเดินทางไปตามที่ต่างๆเพื่อแก้แค้นหลี่เฉียจื่อในอนาคต การเปลี่ยนรูปลักษณ์เพื่ออำพรางตัวจะดีกว่าไหม?

เมื่อคิดเช่นนี้ มู่อี้ก็ยืนนิ่งและยื่นมือออกไปด้วยความยากลำบากราวกับแขนของเขาได้กลายเป็นหินไปแล้ว จากนั้นเขาก็หยิบหน้ากากหนังมนุษย์ขึ้นมาจากกล่องหยกด้วยความระมัดระวังและสวมลงบนหน้าของตนเอง

หน้ากากหนังมนุษย์ถูกเก็บรักษาเอาไว้ดีมาก หลังจากสวมลงไปเขาก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นใดๆเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมจางๆอีกด้วย

ผิวสัมผัสของหน้ากากค่อนข้างเย็น แต่ก็ให้ความรู้สึกสบายราวกับไม่ได้สวมใส่อะไรเลยและยังให้ความรู้สึกสดชื่นอีกด้วย

มู่อี้เดินมาที่กระจกและเมื่อมองลงไปก็มองเห็นใบหน้าที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงและอารมณ์ของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไป หากเขาเปลี่ยนเสื้อที่สวมใส่ในตอนนี้เขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามราวกับหยกในทันที

มู่อี้ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างที่มีความสุขขึ้นมาได้และมุมปากของเขาก็ยกขึ้นมาเล็กน้อย ในตอนนี้บนใบหน้าของเขาไม่มีความแข็งกระด้างหรือการแสดงออกที่ผิดธรรมชาติแม้แต่น้อย การแสดงอารมณ์บนหน้าดูสมบูรณ์แบบ คิ้วที่แคบและยาวของมู่อี้ในตอนนี้ทำให้เห็นรอยยิ้มที่พร้อมจะกลั่นแกล้งของเขา

มู่อี้สัมผัสใบหน้าของตนเองอีกครั้งด้วยความพึงพอใจ เขารู้สึกมีความสุขอย่างมากเพราะด้วยหน้ากากหนังมนุษย์ที่ได้รับมาเขาจะสามารถกลายเป็นอีกคนได้เลยในอนาคต

มู่อี้สวมหน้ากากหนังมนุษย์เดินไปรอบๆป่าไผ่ แต่เมื่อเขาเดินออกมาสีหน้าของเขากลับเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง

เพราะว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จำเขาได้ตั้งแต่แรกเห็น นอกจากนี้ยังถามมู่อี้ว่าทำไมใบหน้าของเขาถึงเปลี่ยนไป? ไม่ได้ดูดีเหมือนเมื่อก่อน

มู่อี้ไม่แปลกใจที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์สามารถจดจำเขาได้ เพราะเขาอาศัยอยู่กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์มานานและ เนี่ยนหนิวเอ้อร์คุ้นเคยกับลมหายใจของเขาเป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นเขามักจะสวมเสื้อผ้าตัวเดิมๆและคนนอกไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้

แต่มู่อี้รู้สึกว่าถ้าเขายืนอยู่ต่อหน้าซูจงซานหรือคนอื่นๆอีกฝ่ายคงจะจำไม่ได้แน่นอนเพราะหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของเขานั้นไร้ร่องรอยอย่างสมบูรณ์ นั่นทำให้เขารู้สึกพอใจอย่างมาก

วันต่อมามู่อี้ก็ศึกษาหนังสือและบันทึกของเจี่ยเหรินที่ยังเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังจดจ่อกับการฝึกฝนเพื่อรอให้ฤดูหนาวผ่านพ้นไป

ดูเหมือนว่าการฝึกของเขาจะมาถึงคอขวดอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าสู่ความยากของการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 2 ได้ แต่มู่อี้ไม่ได้รีบร้อนเพราะเขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองในตอนนี้เป็นเหมือนหลุมที่ไร้ก้นบึ้งและพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามา. .

และสมุนไพรที่ล้ำค่าเหล่านั้นที่ซูจงซานส่งมาล้วนเหมาะสมให้เขาได้ใช้ มู่อี้ก็รู้สึกว่าความร้อนที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขานั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆและเขารู้สึกราวกับว่าตนเองจะสามารถปลดปล่อยความร้อนเหล่านั้นออกมาได้ทุกเมื่อ

ดังนั้นเขาจึงรอคอยวันที่ร่างกายของเขาพร้อม รอวันที่ดักแด้ในรังไหมจะกลายเป็นผีเสื้อ

หนังสือของเจี่ยเหรินทำให้มู่อี้มีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกฝนทางจิตวิญญาณและทำให้เขารู้เรื่องราวต่างๆมากยิ่งขึ้น แต่ท้ายที่สุดมู่อี้ก็ไม่พบคำพูดใดๆเกี่ยวกับตัวอักษรทั้งสิบหกตัวนั้นราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาเลย

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆในขณะที่เขากำลังฝึกฝน