นที่ 20 กระดูกหัก และ วิหารแห่งเทพโอสถ

ศาสนจักร

กลุ่มศาสนาที่มีอำนาจปกครองทั้งในและนอกทวีป

แต่ถึงจะบอกว่าเป็นกลุ่มศาสนาแต่อำนาจที่คนกลุ่มนั้นมีนั้นมักมากกว่าจะเรียกว่าองค์กรทางศาสนาเพียงอย่างเดียวได้

ศาสนจักรนั้นจะทำการตรวจสอบเทพผู้พิทักษ์และศาสตร์แห่งเทพของเด็กทุกคนหลังจากคลอดได้ไม่นาน ชีพจรเทพจะทำให้พวกเขามีคุณสมบัติเป็นชนชั้นสูงนอกจากนี้ผู้ที่ถูกพิจารณาแล้วว่าขาดคุณสมบัติดังกล่าวชนชั้นสูงผู้นั้นจะถูกบีบบังคับและขับไล่ให้ลดตำแหน่งฐานะทางสังคมเหลือเพียงแค่สามัญชน ส่วนเหล่าชนชั้นสูงที่คิดจะกบฏต่อศาสนจักรจะถูกเนรเทศออกไปชั่วนิรันดร์

เมื่อจักรพรรดิหรือราชาแห่งประเทศได้รับการคัดเลือกมาแล้ว ศาสนจักรก็จะเป็นผู้มอบมงกุฎและประทานสิทธิ์ในการสถาปนาราชวงศ์ให้ผู้นั้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกสิ่งต้องผ่านพวกเขา

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอำนาจของศาสนจักรนั้นสูงกว่าจักรวรรดิแห่งนี้มาก ถึงพวกเขาไม่ได้อยากจะเป็นศัตรูและทำสงครามกับจักรพรรดินีแห่งแซงต์เฟลิฟแต่หากจำเป็นพวกเขาก็สามารถทำได้โดยไม่ยาก

แม้ข้อเท็จจริงที่ว่าฟาร์มานั้นเป็นเพียงลูกชายคนที่สองของแกรนดยุกผู้เป็นหัวหน้าแพทย์โอสถหลวงของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ แต่นั่นมันไม่ได้สำคัญอะไรกับทางศาสนจักรเลยและพวกเขาไม่คิดจะสนใจด้วย

พวกเขาตัดสินใจว่าฟาร์มานั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปและจะต้องกำจัดผู้นอกรีตตนนี้

ผู้ไต่สวนทั้งเจ็ดคนยังนั่งอยู่บนม้าของพวกเขา ซึ่งรวมธาตุที่แต่ละคนในนั้นใช้ได้นั้นคือ 4 ธาตุหลัก

เนื่องจากฟาร์มาแกล้งทำเป็นผู้ที่ใช้ศาสตร์แห่งวารีและวายุได้ ซึ่งสามารถต่อกรกับคนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปิดเผยความลับมือของเขา

การโจมตีจากพื้นดินของผู้ใช้ศาสตร์ดินป้องกันด้วยการเคลือบแผ่นน้ำแข็งไว้บริเวณพื้นดิน การโจมตีด้วยเปลวเพลิงของผู้ใช้ศาสตร์ไฟนั้นจะถูกลบไปด้วยความสามารถธาตุเชิงลบ ลมพายุจากผู้ใช้ศาสตร์ลมจะพบกับโล่กำแพงน้ำแข็ง สำหรับพวกที่อยู่บนม้าก็จัดการด้วยปืนใหญ่น้ำทำให้พวกเขาตกจากม้าแล้วทำลายคทาแห่งเทพของคนพวกนั้นด้วยก้อนน้ำแข็ง เด็กคนเดียวต่อสู้เหล่ากลุ่มคนทั้งเจ็ดที่ล้วนมากประสบการณ์ เด็กหนุ่มผู้กระโดดไปมารอบๆ การต่อสู้ด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง ในขณะที่เหล่าผู้ไต่สวนนั้นเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวและหมดความอดทน

กำแพงน้ำแข็งของฟาร์มานั้นทนทานยิ่งกว่าสิ่งใดเพราะมันสามารถหยุดการโจมตีจากเปลวไฟและการระเบิดความฉนวนความร้อนได้อีกด้วย

นอกเหนือจากนั้นการโจมตีของพวกนั้นที่สร้างข่ายในการกักกันและสะกดปีศาจขึ้นมานั้นไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาเลย นั่นหมายความว่าฟาร์มาไม่ใช่ปีศาจ

พวกเขานั้นสามารถโจมตีเหล่านอกรีตที่ผ่านๆ มาได้ด้วยการโจมตีพร้อมกันทั้งสี่ธาตุผสานใส่เป้าหมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าครูเซเดอร์ทั้งเจ็ดคนนี้ไม่สามารถทำอะไรกับผู้นอกรีตคนนี้ได้เลย

เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็นถึงความสามารถในการสร้างสสารของฟาร์มาแล้วเขาจึงจำเป็นจะต้องใช้ศาสตร์น้ำซึ่งเป็นธาตุประจำตัวหลักของเขาซะส่วนใหญ่ พลังแห่งเทพของคนเหล่านั้นค่อยๆ หมดลงไปในการต่อสู้

“เดี๋ยวสิ นี่มัน…”

เหล่าผู้ไต่สวนนั้นกำลังจะหมดแรงซึ่งตรงข้ามกับฟาร์มาเพราะในขณะที่เขาใช้พลังไปมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถทางกายภาพของเขาก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เหล่าผู้ไต่สวนรู้สึกได้ถึงพลังศาสตร์แห่งเทพรอบๆ นั้นกำลังค่อยๆ ไหลเข้าไปสะสมอยู่ในตัวของฟาร์มา นอกจากนนี้พวกเขายังคาดว่าพลังของฟาร์มาในปัจจุบันต้องลดลงไปอย่างมากแท้ๆ แต่มันกลับไม่ได้หายไปไหนเลยซึ่งต่างจากพวกเขาที่พลังนั้นค่อยๆ เหือดแห้งลงไปเรื่อยๆ

พลังศาสตร์แห่งเทพกำลังถูกสะสมขึ้นสูงเรื่อยๆ ภายในตัวฟาร์มา ซึ่งคนเหล่านั้นต่างสงสัยกันว่ามันมาได้มากขนาดนี้จากที่ใดกัน

“ดะー เดี๋ยวก่อน…”

และจากนั้นไมนาน ร่างของฟาร์มาที่ไร้ซึ่งเงานั้นก็เริ่มเรื่องแสงขึ้นราวกับตอบสนองต่อพลังจากแห่งศาสตร์แห่งเทพ

“นี่แกไม่เหนื่อยเลยงั้นเหรอ?”

อย่างไรก็ตามฟาร์มาก็ยังคงรับการโจมตีจากคนเหล่านี้ไปเรื่อยๆ แม้มันจะเบาบางเพียงแค่หายใจก็หยุดได้แล้ว แต่มันดันมาเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้นเสียที ดังนั้นฟาร์มาจึงตัดสินใจข่มขู่พวกเขา

ฟาร์มาเหวี่ยงแขนเบาๆ ขึ้นไปลากเส้นไปมาบนอากาศด้วยมือซ้าย

ตอนแรกนั้นมันก็เป็นเพียงแค่เส้นผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กแต่มันก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วสูงจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาพร้อมกับเสียงคำราม ชั่วพริบตามันได้กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สามารถบังทัศนวิสัยของท้องฟ้าได้สนิท ไม่มีหนทางให้หนีออกไปจากที่นี่ได้เลย

เด็กหนุ่มกำลังยิ้มออกมาในขณะที่ภูเขาน้ำแข็งกำลังลอยอยู่เหนือศีรษะ

ถ้าหากเด็กคนนั้นตัดสินใจจะเหวี่ยงมันลงมา ก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาพของพวกเขานั้นจะเป็นเช่นไรจากภูเขาน้ำแข็ง

“อ่ะ… ว๊ากกกก…!”

เหล่าม้าเริ่มอาละวาดและเหล่าผู้ไต่สวนบางคนก็ตกจากม้าลงมาสู่พื้นดิน ลำพังเพียงแค่ภูเขาน้ำแข็งที่ปกคลุมไปทั้งท้องฟ้า ที่พวกตนเห็นในตอนนี้ก็ทำให้สูญเสียแรงใจในการต่อสู้ไปหมดแล้วแม้จะพยายามยิงเปลวไฟขนาดใหญ่เข้าไปอย่างสิ้นหวัง ภูเขาน้ำแข็งนั้นก็ไม่มีท่าทีจะสูญสลายไปเลยกลับกันมันยิ่งดูใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม

อ้า ตอนนี้เราคงดูเหมือนคนเลวมากเลยนะเนี่ย

ฟาร์มารู้สึกหดหู่ใจอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้แต่อย่างใดเพราะการข่มขู่นั่นได้ผลเป็นอย่างดี พวกเขาหลบหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เศษก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่จากภูเขาน้ำแข็งนั้นได้ตกลงมาล้อมพวกเขาไว้หมดแล้วขณะนี้ความหวาดกลัวได้ปกคลุมพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ไต่สวนบางรายรู้สึกโกรธกับสิ่งที่ตนเผลอทำลงไป บางคนก็ถึงกับน้ำลายฟูมปาก

ผู้ไต่สวนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งเทพที่ถูกคัดจากศาสนจักรมาอย่างภาคภูมิใจ แต่ใบหน้าที่แตกต่างกันไปของคนเหล่านั้นในขณะนี้ตระหนักกันได้แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาทำในวันนี้นั้นจะส่งผลอย่างไรกับชีวิตของพวกเขาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ชะตากรรมของพวกเขาอยู่บนปลายนิ้วของฟาร์มาเรียบร้อยแล้ว ผู้ไต่สวนคนหนึ่งซึ่งเป็นตะคริวขึ้นมาจากอาการกลัวอย่างหนักได้เห็นแสงสีอ่อนๆ ออกมาจากแขนของฟาร์มาที่กำลังจัดการกับภูเขาน้ำแข็งโดยรอบ

“ที่จริงผมก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ”

เขาพูดกับพวกนั้นด้วยเสียงที่แจ่มใส

“ผมมาที่โลกแห่งนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คน”

เขาได้รับชีวิตที่สองมาและเขาที่ได้รับความสามารถมากมายมา นั่นทำให้เขาตระหนักได้ถึงภารกิจของตนบนโลกแห่งนี้ฟาร์มานั้นไม่มีคทาแห่งเทพ เขาจับกระเป๋าแพทย์ของเขาขึ้นมาอย่างหนักแน่น เพราะเขาไม่ได้นำมันมาเพื่อป้องกันตัวแต่เพราะเขาเชื่อว่ามีคนเจ็บรอเขาอยู่ ณ ที่แห่งนี้นั่นจึงเป็นเหตุผลเดียวที่เขายอมมาที่แห่งนี้ด้วยตัวคนเดียว

“ถ้าหากผมไม่ทำอะไรแบบนี้แล้ว พวกคุณจะยอมกลับกันไปดีๆ งั้นเหรอ?”

แขนทั้งสองของฟาร์มาเปล่งแสงสีน้ำเงินอ่อนๆ ออกมา นอกจากนั้นยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากภายในเสื้อแขนยาวของชุดสีขาว ตราที่เป็นสัญลักษณ์ของเทพโอสถถูกสลักเอาไว้ ในฐานะคนของศาสนจักรนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้จักมัน

“พลังอำนาจแห่งเทพอันไร้ที่สิ้นสุด ตราแห่งโอสถเทพ ร่างที่ไร้เงา …ในที่สุดก็เข้าใจสักที…..”

หัวหน้าของผู้ไต่สวนดูเหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่งได้ในที่สุด

“พวกเราผิดไปแล้ว ดวงตาของพวกเรานั้นช่างฝ้าฟางเหลือเกิน มีตาหามีแววไม่ ทำไมถึงไม่รู้สึกตัวกันนะ…”

“ยะ… อย่าบอกนะว่า”

และชายอีกคนหนึ่งก็ตระหนักได้เช่นกัน

“กายาแห่งพระเจ้านั้นจะไร้ซึ่งเงา เพราะร่างของพระองค์คือแสงสว่าง… ทะーท่านคือเทพโอสถ”

ด้วยเหตุนี้ฟาร์มาจึงรู้สึกสับสนกับเรื่องนี้ ในขณะที่เหล่าผู้ไต่สวนเริ่มรู้สึกว่าพวกตนนั้นได้กระทำความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงกับพระผู้เป็นเจ้าเสียแล้ว สาเหตุมาจากรอยแผลเป็นรูปสายฟ้านั่นเหมือนกับที่เอเลนและพ่อของเขาเห็น แต่สำหรับฟาร์มามันก็เป็นเพียงแค่แผลเป็นจากฟ้าผ่าหรือร่องรอยของแผลติดเชื้อเท่านั้นเอง

มีอะไรที่พอใช้คลุมปิดแสงของมันได้หรือเปล่านะ?

สายตาที่รู้สึกผิดต่อตัวฟาร์มานั้นได้ถูกส่งมาจากข้างหน้าของฟาร์มา

“นี่มันคือบาปอันมหันต์ ทุกท่านจงปลิดชีพของตนเสีย เพราะบาปของพวกเรานั้นคือการดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า”

“ดะ? , ดะ เดี๋ยวอะไรนะーー!”

เหล่าผู้ไต่สวนทั้งหลายต่างโยนร่างของตนลงหมอบกราบกับพื้นอย่างแรงก่อนที่ฟาร์มาจะได้พูดอะไร

“ท่านเทพโอสถ การกระทำของพวกเรานั้นช่างเป็นสิ่งนี่น่าเศร้า พวกเราขออภัยท่านจากใจจริง หากจะสามารถมอบชีวิตนี้ได้ เพื่อให้ท่านคลายความโกรธเกรี้ยวลงพวกเราก็จะทำครับ”

พวกเขากล่าวกันทั้งน้ำตา

“เอ่อ คือทุกคนใจเย็นๆ กันก่อนนะ ผมไม่ทำอะไรหรอก”

เสียงของฟาร์มาไม่ได้ส่งไปถึงคนพวกนั้นเลย จากนั้นพวกเขาก็ได้เล็งคทาไปยังหน้าผากของตนเพื่อจะฆ่าตัวตาย ดูเหมือนว่าเพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้นถือเป็นความผิดอย่างมหันต์มากโทษที่พวกเขาสมควรจะได้รับจึงมีเพียงความตาย

“เดี๋ยวก่อนนะ พวกคุณไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย! หยุดนะครับ!”

ฟาร์มารีบหยุดความหุนหันพลันแล่นของพวกเขา

“เพียงแค่อย่ารายงานเรื่องนี้กับทางศาสนจักร หากพวกคุณไม่มายุ่งกับผมจากนี้ไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

ฟาร์มาที่ขู่พวกเขาจนพอแล้วได้สสายภูเขาน้ำแข็งออกไป จากภูเขาน้ำแข็งยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนฟ้าได้เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยและท้องฟ้าก็กลับมาแจ่มใสเช่นเดิม จะมีก็เพียงแค่แอ่งน้ำเล็กๆ อยู่บริเวณพื้นดินเท่านั้น ร่องรอยขอศาสตร์แห่งเทพนั้นได้หายไปแล้วราวกับตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย

“ท่านจะประทานอภัยให้กับพวกเราอย่างนั้นหรือ!?”

บางทีเพราะพวกเขาก็ไม่ได้อยากจะตายกันอยู่แล้วชายคนหนึ่งที่ยิงมนต์ใส่ฟาร์มาจึงแบบนั้นพูดออกมา

“ผมก็ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่ต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อไถ่บาปที่ได้กระทำต่อพระเจ้าอยู่แล้วครับ”

ตามมาด้วยคำพูดของชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มซึ่งนอนนิ่งอยู่กับพื้นกล่าวขึ้นมา

“แต่ด้วยบาดแผลเช่นนี้ ผมก็คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอกครับ”

เมื่อหัวหน้าของกลุ่มนั้นถกเสื้อคลุมเข่าของตัวเองขึ้น กระดูกหน้าแข้งข้างซ้ายของเขาได้ทะลุออกมาจากผิวหนัง

ตอนที่เขาตกจากม้านั้นเป็นโชคร้ายที่กระดูกของเขาหัก

“ถ้าแบบนี้ ร่างกายที่แทบจะแตกสลายแล้วของผมนี้ก็จะตายลงไป ผมขอแสดงความรับผิดชอบต่อบาปนี้ด้วยตัวเองเองครับ”

ฟาร์มาตรวจสอบช่วงล่างของเขาด้วยดวงตาวินิจฉัย

“กระดูกหักแบบเปิด”

ฟาร์มาถอนหายใจ หากเป็นไฟสีแดงลุกไหม้ขึ้นมาหลังทำการวินิจฉัยเขาคงจะไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่แสงที่ส่องสว่างออกมานั้น….เป็นสีขาว นอกจากนั้นส่วนที่เปิดออกมาไม่ได้มีขนาดใหญ่แผลไม่ได้เปื้อนสิ่งสกปรกใดๆ เส้นเลือดแดงหลักก็ไม่ได้รับความเสียหายและถ้าระดับการปนเปื้อนต่ำยังพอมีโอกาสรักษา ในกรณีนี้คงไม่จำเป็นจะต้องตัดขาออก

“การตัดขา” (Leg Amputation)

แสงสีแดงกระจายออกมา ถ้าเขาเกิดตัดไปจริงๆ คงจะทำให้เกิดอาการโลหิตเป็นพิษและติดเชื้อ

“การจัดตำแหน่ง” (Reposition)

แสงสีขาวกระจายออกมา ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ใช้รักษาได้

อ้า… นี่แหละวิธีในการรักษาเขา

แต่ฟาร์มาก็ยังคงติดอยู่กับปัญหา

นั่นคือ “พระราชบัญญัติแพทย์เวชศาสตร์ญี่ปุ่น ข้อที่ 17 : ห้ามมิให้ผู้ใดที่ละเว้นจากการมีใบประกอบวิชาชีพทางเวชกรรมทำการรักษา”

ในฐานะของเภสัชกรนั้นพวกเขาได้รับอนุญาตเพียงให้ตรวจวัดและตรวจสอบชีพจรโดยใช้เครื่องฟังและอย่างมากสุดก็คือการตรวจคลื่นหัวใจ พวกเขาสามารถรักษาได้เฉพาะ การจ่ายยาเท่านั้นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้นจะไม่ได้รับการอนุญาต เพราะเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายในประเทศญี่ปุ่น แต่เราจะปล่อยให้คนคนนี้ตายงั้นเหรอ? ดวงตาวินิจฉัยของเราบอกว่ามันรักษาได้ แต่มันไม่ได้บอกว่าฟาร์มาคือผู้ที่รักษาได้ แถมมันยังไม่ได้ให้คำแนะนำอย่างเช่น สามารถรักษาได้โดยศัลยแพทย์หรือหลักศัลยศาสตร์เท่านั้นด้วย หมายความว่ามันสามารถรักษาได้ในทางทฤษฎี แต่ไม่ทราบว่าใครที่จะเหมาะสมในการเข้าทำการรักษาในอาการนั้นๆ ฟาร์มานั้นจะกลายเป็นมือสมัครเล่นไปเลยหากเขาจำเป็นจะต้องไปทำการผ่าตัดผู้คน ในอีกมุมหนึ่งเขาเป็นเพียงแค่เภสัชกรเท่านั้น การตรวจสอบประสิทธิภาพของยาเขาไม่จำเป็นต้องทำมันด้วยตนเอง แต่เขาใช้สัตว์ในการทดลองได้จึงพูดได้ว่าเขามีประสบการณ์ในการผ่าตัดเพียงกับสัตว์เท่านั้น

“นี่อาจจะเป็นการโทษจากสวรรค์ก็เป็นได้ ได้โปรดปลิดชีพผมเสียเถอะครับ เพราะอย่างน้อยก่อนจะสิ้นลมผมก็ได้พบกับพระผู้เป็นเจ้าด้วยตาของตนแล้ว”

แม้จะมีอาการเจ็บปวดแสดงออกมาแต่หัวหน้าผู้ไต่สวนก็ยังคงแสดงท่าทางดีใจออกมา

ห้องรักษาที่ร้านไม่สามารถใช้งานได้เพราะได้รับความเสียหาย ร้านเมดีกก็ค่อนข้างจะไกลเกินไปหน่อย ถ้ารักษาช้าไปก็จะกลายเป็นเนื้อร้ายได้ เราควรจะจัดการมันตรงนี้เลยงั้นหรือ?

ฟาร์มาสร้างกระดานเหล็กขึ้นมาที่พื้นและวางผู้บาดเจ็บไปข้างบนนั้นก็จะใช้ยาชากับเขา

“ลืมทุกสิ่งที่พวกคุณได้เห็นจากนี้ไปด้วยนะครับ”

เพราะพวกเขาได้เห็นถึงการสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้จากฟาร์มา พวกเขาเลยไม่กลัวหรือสงสัยอะไรอีกต่อไป

“ไปเตรียมของในรถมาครับ เราจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกัน”

“ครับ! น้อมรับคำบัญชา!”

เขาหยิบกระเป๋าแพทย์ขึ้นมา และพูดเพียงไม่กี่คำกับเหล่าผู้ไต่สวนจากนั้นก็หยิบแผ่นไวนิลสะอาดภายในถุงและตั้งเต็นท์ เขาสร้างห้องรักษาแบบเรียบง่ายและเดินเข้าไป

เขาล้างมือด้วยน้ำที่สร้างมาจากมนต์และฆ่าเชื้อที่มือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนจะสวมถุงมือพลาสติดที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว เขาหยิบน้ำเกลือไอโอดีนหลายขวดที่ผ่านการกลั่นและล้างแผนที่เปิดอยู่อย่างละเอียด แล้วโกนส่วนที่สกปรกด้วยมีดฆ่าเชื้อ ก่อนจะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่สามารถฆ่าแบคทีเรียได้หลายชนิด ในขณะที่กำลังใช้ดวงตาวินิจฉัยส่องอยู่นั้นเขาก็ตีงเข็มกลัดที่ทำมาจาก สแตนด์เลทสติลซึ่งผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้วยึดเข้ากับกระดูกและทำการปิดแผลโดยวางท่อเพื่อระบายของเหลวในร่างกายเอาไว้ด้วย

สงสัยจริงๆ ว่าแบบนี้จะดีแล้วงั้นเหรอ

สุดท้ายเขาก็ทำการตรวจสอบด้วยตาวินิจฉัยอีกที

แสงสีขาวเริ่มจางหายไปแม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตามที นี่เป็นการรักษาที่ถูกต้องแล้วใช้ไหม? ฟาร์มาไม่อาจจะรู้เรื่องนี้ได้

ขณะที่ฟาร์มาออกมาจากเต็นท์เหล่าผู้ไต่สวนที่กำลังสวดมนต์และอธิษฐานกำลังรออยู่ภายนอก

“ท่านเทพโอสถ ทั้งที่พวกเราประสงค์จะสังหารท่านและท่านก็สามารถสังหารพวกเราได้อย่างง่าย ถึงเป็นเช่นนั้นท่านกลับประทานความเมตตามาให้แก่พวกเราแทน”

“สิ่งที่ผมเชี่ยวชาญคือการใช้ยาเท่านั้นนะครับ ดังนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าจะช่วยเขาได้จริงๆ หรือเปล่า แต่ผมก็ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ไปแล้ว ส่วนผลของยาชานั้นยังมีผลอยู่นะครับแล้วผู้ป่วยก็กำลังหลับอยู่ภายในนั้นด้วย”

เขาไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะตายหรือไม่เพราะเขาไม่สามารถเห็นถึงระดับการติดเชื้อได้ แต่….การที่เขาจะต้องมาผ่าตัดโดยไม่มีทักษะที่เหมาะสมมันเป็นอาชญากรรมชัดๆ ฟาร์มาคิดเช่นนั้น

อย่างไรก็ตามจะมีใครในโลกนี้ที่มีความสามารถในการเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์แบบนี้ได้กัน?

ใครสามารถดูแลจัดการยาปฏิชีวนะในระหว่างการผ่าตัดล้างแผลได้อย่างทั่วถึงและสามารถปิดแผลได้ในขณะที่พิจารณาว่าแผลจะติดเชื้อหรือไม่?

เป็นที่นี่เสียดายแต่นั่นมีเพียงแค่ฟาร์มาคนเดียวเท่านั้น

ฟาร์มาได้เห็นข้อมูลการผ่าตัดล่าสุดของแพทย์บนโลกใบนี้จากบันทึกการปฏิบัติงานของมหาวิทยาลัยแพทย์และยาโนว่ารูต สำหรับกระดูกหักนั้นพวกเขาจะจัดการโดยการตัดขาทิ้งอย่างไม่ลังเล แล้วพันมันด้วยผ้าพันแผลก่อนจะปล่อยตัวไปตามยถากรรม

พวกเขาไม่ทราบเลยว่าบาดแผลจากการตัดขานั้นมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ผู้เสียชีวิตจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ การได้รับโพชั่นหรือยาแก้ปวดเป็นจำนวนมากนั้นไม่ได้ทำให้อัตราการเสียชีวิตแตกต่างกันเลยซึ่งเป็นธรรมดาของโลกใบนี้ แม้แต่การตรวจสอบประวัติการผ่าตัดของศัลยแพทย์และแพทย์หลวงคล็อดก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย

“และหากนำเรื่องที่เห็นในวันนี้ไปบอกผู้ใดเด็ดขาดนะครับ ไม่เช่นนั้นー”

เขากังวลคำพูดในบรรทัดสุดท้ายที่จะพูดกับเหล่าคนของศาสนจักรมาก

“ผมจะสาปพวกคุณทุกคน”

เขาพูดด้วยเสียงที่ทรงอำนาจและใบหน้าอันตั้งตรง

“ฮิ ฮิ๊!!ーー!”

เหล่าผู้ไต่สวนรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างแรงและดูเหมือนความพยายามในการเปิดเผยสิ่งที่ตนได้พบนั้นเป็นอันต้องล้มเลิกไป

สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า คำสาปแช่งจากพระเจ้านี่แหละได้ผลที่สุดแล้ว (?)

ถึงแบบนั้นฟาร์มาก็ไม่เคยคิดถือตัวว่าตนนั้นเป็นเทพโอสถเลยแต่ประการใด

_____________________________

ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่นานนักที่รถของทางศาสนจักรเข้ามา ข้ารับใช้ของจักรพรรดินี โนอาร์ได้นำกองกำลังทหารหลวงรักษาพระองค์ ตามพวกนั้นมาด้วยความเร็วเต็มพิกัด ตัวเขากับเหล่าทหารได้รับการติดอาวุธเต็มอัตราศึก สิ่งแรกที่พวกเขาจำเป็นต้องยืนยันคือความปลอดภัยของฟาร์มา หลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับเหล่าผู้ไต่สวนโนอาร์ก็ประกาศตัวขึ้นมาว่า

“ท่านสุภาพบุรุษจากทางศาสนจักร มีเหตุอันใดกันถึงต้องการพบกับแพทย์โอสถหลวงของพวกเรา?”

ด้วยความสุภาพและเข้มขรึม พวกเขาได้มองการตอบสนองของเหล่าผู้ไต่สวนมีบางอย่างเกิดขึ้นถึงทำให้พวกคนเหล่านั้นทำท่าทางเหมือนตนไปกระทำผิดอะไรมา

เมื่อโนอาร์ได้เข้าไปสอบสวนดู

“พอดีว่ามีคนเจ็บอยู่ตรงนั้นน่ะ ผมก็เลยมาดูแลเขา”

ฟาร์มากำลังจัดเก็บอุปกรณ์เครื่องมือทุกชนิดลงไปในกระเป๋าของเขาก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง

เหนือสิ่งอื่นใด ดูเหมือนว่าจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยสิ

“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ โนอาร์?”

“ก็เพราะนั่นน่ะสิ”

หนึ่งในทหารรักษาพระองค์กำลังจูงม้าของฟาร์มามา

“เจ้าตัวนี้มันบอกฉันมาน่ะ ม้าของตระกูลแกรนดยุกนี่ฝึกมาดีจริงๆ เลยนะ เพราะมันดูเหมือนหนีอะไรบางอย่างมา ผมก็เลยคิดได้ว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติไปอย่างแน่นอน”

ม้าของฟาร์มานั้นได้รับการฝึกมาอย่างดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อบอกเกี่ยวกับอันตรายของเจ้านายตนและนำทางเหล่าผู้ช่วยเหลือกลับมา เพราะมีเพียงม้าของฟาร์มาเท่านั้นที่กลับมายังร้านโนอาร์เลยรู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติและนำกำลังทหารรีบวิ่งตามมา

“บางที กลุ่มของคนพวกนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเกวียนที่เข้ามาชนร้านเมื่อเช้าก็ได้นะ? ผมคิดว่าบางทีจักรพรรดินีของเราคงต้องมีเรื่องคุยกับทางโบสถ์เสียหน่อยแล้ว”

โนอาร์ไล่ถามเหล่าผู้ไต่สวนด้วยความรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ต่างปฏิเสธอย่างฉุนเฉียวและสาบานด้วยชื่อแห่งเทพทั้งบนสวรรค์และผืนดิน ในขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันไปมานั้นฟาร์มาก็เห็นว่าดวงอาทิตย์เริ่มเลือนหายไปเรื่อยๆ และก็นึกขึ้นได้ว่าร้านขายยานั้น

“ผมต้องรีบกลับไปที่ร้านแล้ว คุณเซดริกแล้วก็ผู้คนในเมืองกำลังรอผมอยู่ พวกเรายังต้องเก็บกวาดกันอีกเยอะเลย”

อย่าเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้

ย้ายเขาไปยังส่วนของเขตตระกูลเดอเมดิซิส นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาบอกกับพวกเขา

“ถ้าอย่างงั้น”

เมื่อเขากล่าวเสร็จฟาร์มาก็ได้สะพายกระเป๋าแพทย์ของเขาไว้บนไหล่จากนั้นก็ขึ้นม้าก่อนจะขี่มันกลับไป

โนอาร์เอียงศีรษะด้วยความมึนงง ส่วนทางทหารหลวงนั้นก็มองด้วยความสงสัย หลังจากนั้นโนอาร์ก็กลับมาสืบสวนเหล่าผู้ไต่สวนต่อเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างละเอียดแต่กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย

ทุกคนดูท่าทางกลัวกันมาก

หลังจากนั้นในรายงานของโบสถ์ผู้พิทักษ์ ณ เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟได้กล่าวว่า ภายในบริเวณเขตเมืองหลวงแห่งแซงต์เฟลิฟนั้นไม่มีพวกนอกรีตหรือเด็กไร้เงาอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งมันถูกส่งไปยังวิหารเทพเรียบร้อยแล้ว

เรื่องราวของเด็กชายผู้ไร้เงานั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์และกลายเป็นเพียงข่าวลือไป ร่องรอยพลังแห่งเทพสะสม ตามรายงานของทางเขตมาเชลนั้นจึงถูกตั้งข้อหาว่าเป็นการรายงานข้อมูลเท็จทำให้เหล่านักบวชที่นั่นถูกปลดออกกันทั้งหมด (ร่องรอยของพลังแห่งเทพนั้นได้หายไปหมดแล้วเมื่อเร็วๆ นี้) ผู้ไต่สวนที่ได้รับการรักษาจากฟาร์มานั้นได้กลายมาเป็นหัวหน้านักบวชของโบสถ์เมืองหลวงจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ส่วนอีกหกคนที่เหลือนั้นถูกย้ายไปยังเมืองอื่นๆ หลังจากเรื่องนั้นเด็กหนุ่มปริศนาที่ไร้ซึ่งเงาผู้เป็นเจ้าของร้านขายยาต่างโลกได้ถูกปิดตายไปโดยหัวหน้านักบวชคนนั้น

และด้วยเหตุนี้โบสถ์ประจำเมืองจึงได้ทำการรับรองว่าร้านขายยาต่างโลกนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน

ภายในเนินเขาของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยพลังอันมหาศาลและไม่มีท่าทีว่าจะหายไปได้ทำให้เหล่าดอกไม้นั่นบานอย่างสวยงาม หญ้าเขียวขจีเติบโตขึ้นมาจนหนาทึบและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ทั่วบริเวณนั้นจนปลายเป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจของผู้มาเยือน

แล้วเรื่องราวต่อจากนั้นล่ะ? ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดถึงอีกแล้ว

————–

Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913