ตอนที่ 9 วางเดิมพัน 1

ตามชื่อที่ตั้งไว้ ลานประลองเป็นตายคือสถานที่ตัดสินชะตาชีวิต

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของศิษย์ภายในสำนัก ดังนั้นเมื่อมีเกิดเรื่องขึ้น มันก็ควรทำให้ถูกต้อง เหตุผลที่สำนักดาบราชันได้สร้างลานประลองเป็นตายขึ้นมา ก็เพื่อสำหรับตัดสินความขัดแย้งทั้งหลายของบรรดาศิษย์ เมื่อมีความบาดหมางเกิดขึ้น พวกเขาสามารถท้าประลองกันได้ แน่นอน ผู้ท้าไม่สามารถมีระดับการบ่มเพาะพลังสูงกว่าสองขั้นของผู้ถูกท้าประลอง

เดิมทีหยางเย่ไม่ต้องการจะท้าประลองบนลานเป็นตาย แต่เมื่อเขาเห็นต้วนจวินโจมตีอย่างไร้ปรานี เขาทราบดีแล้วว่าต้วนจวินตั้งใจจะสังหารอย่างแท้จริง ในอีกทางหนึ่ง หากเขาสู้กับต้วนจวินทันที ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ยังเสียเปรียบอยู่ดี

หากแพ้ เห็นได้ชัดว่าต้องถูกทรมานเยี่ยงสัตว์แน่นอน หากชนะ ก็ไม่ได้ผลประโยชน์อันใด ทั้งยังไม่สามารถสังหารต้วนจวินได้ มากสุดคงได้เพียงทำให้ต้วนจวินบาดเจ็บเท่านั้น และตอนนี้เขายังเป็นเพียงศิษย์ใช้แรงงาน มีเพียงลานประลองเป็นตายเท่านั้นที่สามารถให้ความยุติธรรมสูงสุด ทั้งยังสามารถใช้สังหารต้วนจวินได้!

“ฮ่าฮ่า!!” เมื่อได้สติกลับมา ต้วนจวินหัวเราะดังลั่นพร้อมชี้ไปยังหยางเย่ เขาแสดงท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยาม “ข้าอยากหัวเราะให้ตายไปเสีย! ขยะอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์กล้าท้าข้าประลองในลานเป็นตายงั้นหรือ? เจ้าไปเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหน? เพราะเจ้าคือขยะอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ใช่ไหม?”

หยางเย่ไม่แยแสคำเหยียดหยามใด “ตามกฎของสำนักดาบราชัน เมื่อมีผู้ท้าที่ระดับพลังต่ำกว่าท้าผู้ที่มีระดับสูงกว่า ผู้นั้นไม่อาจปฏิเสธได้ แน่นอน เจ้าสามารถปฏิเสธหากเกิดตาขาวขึ้นมา แต่ในมุมของสำนักดาบราชันคงจะกระจายข่าวเกี่ยวกับเจ้า ต้วนจวินผู้ไม่กล้ารับคำท้าศิษย์ใช้แรงงาน!”

“ข้ารู้ดี เจ้ากำลังทำการยั่วโมโหข้าอยู่!” ต้วนจวินหัวเราะอย่างเย็นชา “แต่ข้ารับคำท้าเจ้า อย่ากังวลไป ข้าจะไม่สังหารเจ้าหรอก ข้าจะทุบกระดูกเจ้าทุกชิ้นในลานประลองเป็นตายต่อหน้าทุกคนในสำนัก ข้าจะทำให้ทุกคนเห็นว่าขยะยังไงก็คือขยะ แม้เจ้าจะเป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกแล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งอยู่ดี!”

“เจ้าพล่ามจบหรือยัง? หากจบแล้ว ก็ไปพบกันที่ลานประลองเป็นตายเสียที!” หยางเย่มองอย่างเฉยเมยไปยังต้วนจวินพร้อมเดินตรงไปยังลานประลองเป็นตาย

เมื่อเห็นท่าทีของหยางเย่ แรงอาฆาตพวยพุ่งเข้าดวงตาของต้วนจวิน “สวะเช่นแกคิดเป็นยอดฝีมืองั้นหรือ?” หยางเย่ไม่เพียงแค่ทำลายทรัพยากรอันมีค่า ยังท้าทายเขาต่อหน้าสาธารณะชน เขารู้สึกว่ามันเป็นความอัปยศอย่างยิ่งในการถูกศิษย์แรงงานท้าทาย “ข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมาน!”

……

“หยางเย่ท้าศิษย์นอกสำนักบนลานประลองเป็นตาย เร็ว รีบไปดู!”

“อะไรนะ? เจ้ามั่นใจหรือ? หยางเย่ท้าศิษย์นอกสำนักประลอง? เขาบ้าไปแล้วหรือยังไงกัน?”

“เจ้าแหละที่บ้า พวกเจ้ามองเขาผิดไป ไม่เห็นหรือไงเมื่อกี้นี้ ญาติผู้พี่ของไอ้สารเลวตู่ชือมาหาเรื่องหยางเย่ แต่เขาไม่คาดคิดว่าหยางเย่จะกลายเป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึก ยิ่งกว่านั้นยังท้าญาติของตู่ชือกลับในทันที ตอนนี้พวกเขากำลังมุ่งไปยังลานประลองเป็นตาย เจ้าควรรีบไป!”

“หยางเย่เป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกแล้ว? เยี่ยม ไปให้กำลังใจหยางเย่กันเถอะ…”

ณ ยอดเขาสำนักนอก

“อะไรนะ? ศิษย์แรงงานท้าประลองหนึ่งในศิษย์นอกสำนัก? ทั้งยังเป็นไอ้ขยะอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์? เจ้ามั่นใจหรือ? ไอ้ขยะนั่นยังไม่ใช่ผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกเลยไม่ใช่หรือ?”

“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้พวกเขามุ่งไปยังลานประลองเป็นตายแล้ว รีบไปกันเถอะ หากสายเกินไป เจ้าศิษย์ใช้แรงงานอาจถูกสังหารไปแล้ว กระนั้น เราจะพลาดการชมการแสดงใหญ่กัน ข้าจะรีบไปแจ้งให้ผู้อื่นทราบ”

“ศิษย์ใช้แรงงานท้าหนึ่งในศิษย์นอกสำนักของเราหรือ? ในลานประลองเป็นตายด้วย? ประเมินความสามารถตนเองมากเกินไปแล้ว เร็วเข้า รีบไปดูศิษย์นอกสำนักเราสั่งสอนมันกัน”

เพียงเวลาไม่นาน ข่าวการท้าประลองของหยางเย่และศิษย์นอกสำนักแพร่กระจายไปทั่วยอดเขาแรงงานและยอดเขาสำนักนอกราวกับโรคระบาด บรรดาศิษย์ใช้แรงงานนับพันและศิษย์นอกสำนักนับร้อยต่างรีบมายังลานประลองเป็นตาย

……

ณ ลานประลองเป็นตาย ชายชราสวมชุดเขียวพร้อมผ้าคลุมสีขาวมองไปยังหยางเย่และบุรุษชุดเขียว แต่เขามองไปยังหยางเย่มากกว่า ชายชรามีนามว่าเฉาหัว เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสนอกสำนักของสำนักดาบราชัน เป็นผู้จัดทีมคุ้มกฎแห่งสำนักนอก ในอดีต เขาเห็นการประลองมากมายบนสนามประลองเป็นตาย แต่นี่คือครั้งแรกที่ได้เห็นศิษย์ใช้แรงงานท้าศิษย์นอกสำนัก

เฉาหัวตวัดมือขวา ทำให้หินพลังปราณสองก้อนลอยไปข้างหน้าหยางเย่และต้วนจวิน “ไม่มีกฎใดในลานประลองเป็นตาย พวกเจ้าทั้งสองสามารถสู้กันได้ทุกวิธี! เพื่อความยุติธรรม พวกเจ้าทั้งสองจงฟื้นพลังปราณล้ำลึกในร่างกายให้เท่ากันและเริ่มการประลองได้” หลังกล่าวจบชายชราย้ายไปอยู่ด้านข้าง

“แกตายแน่!” ต้วนจวินมองไปยังหยางเย่พร้อมกล่าววาจาเฉยเมย

หยางเย่ไม่ตอบสิ่งใดแต่กลับเดินไปยังชั้นวางอาวุธแทน เขาเลือกดาบจากอาวุธทั้งหมด ดาบยาวเมตรครึ่ง กว้างสองนิ้ว และถูกหลอมด้วยเหล็กธรรมดาที่ถูกขัดเกลามาร้อยครั้ง มันไม่ใช่ดาบชั้นยอด ทั้งยังไม่มีระดับพลัง

ระดับต่ำ แต่มันสามารถตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลน” ขณะนั้นเองดาบปรากฏบนมือต้วนจวินพร้อมมองไปยังหยางเย่ “อย่ากังวลไป ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ข้าจะบดเอ็นสับกระดูกในร่างกายเจ้าให้เละ จากนั้นจึงมอบให้คนพาร่างเจ้าไปส่งบ้าน ครอบครัวเจ้าจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า! เจ้าคิดว่ายังไง? ข้าช่างมีความเมตตาใช่ไหม?”

หยางเย่เหวี่ยงดาบในมือพร้อมเอ่ยด้วยวาจาไม่เกรงกลัว “อย่าได้กังวลไป ข้าจะเมตตาเจ้าเช่นกัน!” หยางเย่นั่งไขว้ขวาลงและดูดซับพลังปราณภายในหินพลังปราณ

ดวงตาของต้วนจวินก่อประกายอาฆาตและจิตสังหารอย่างรุนแรง จากนั้นเขานั่งไขว้ขาลงและดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณเช่นเดียวกัน

ขณะนี้ บรรดาศิษย์นอกสำนักร้อยกว่าคนมองไปยังหยางเย่และชายชุดเขียวจากที่นั่งด้านข้าง ชายผู้หนึ่งที่มีใบหน้ารูปไข่กล่าวกับศิษย์นอกสำนักข้างสนาม “เจียงชิวสุ่ย ต้วนจวินอยู่ระดับแปดของขั้นปราณมนุษย์ ข้าก็ไม่รู้ระดับการบ่มเพาะพลังของศิษย์ใช้แรงงานคนนั้น แต่ข้าเดิมพันว่าต้วนจวินสามารถกุดหัวมันได้ภายในสิบกระบวนท่า”

“ข้าเดิมพันแค่ห้ากระบวนท่า!” ชายนามว่าเจียงชิวสุ่ยมองไปยังชายหน้ารูปไข่พร้อมกล่าว “ยี่สิบหินพลังปราณ เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือเปล่า?”

“เจ้ามองศิษย์ใช้แรงงานต่ำต้อยไปงั้นหรือ?” ชายหน้าทรงไข่กล่าวพร้อมยิ้ม