ตอนที่ 61.2 ยอดเขาอัตคัดน้อย (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

เมื่อหลิงเอ๋อร์มาถึงหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วก็ตำหนินางอีกครั้งก่อนจะมอบทักษะสงบลมปราณเต่าฉบับปรับปรุงครั้งที่สองให้นางและสอนการฝึกบำเพ็ญให้นางสองวัน จากนั้นก็เริ่มลงโทษกักบริเวณนางไม่ให้ออกจากยอดเขาหยกน้อยเป็นเวลายี่สิบปีอย่างเป็นทางการ

“ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเตือน ข้าหวังว่าเจ้าจะระวังในเรื่องนี้”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่” หลิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากของนาง “จากนี้ไป ข้าจะคัดลอกพระสูตรทุกวันเจ้าค่ะ”

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็มอบถุงเก็บสมบัติและถอนหายใจออกมาพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่จะเข้มงวดกับเจ้า แต่เจ้าเติบโตขึ้นมาในสำนักตั้งแต่ยังเยาว์ และเจ้ายังเติบโตมาจากตระกูลชนชั้นสูงที่ทรงอำนาจในโลกมนุษย์ เจ้าจึงไม่เข้าใจถึงความยากลำบากของโลกจริงๆ…

…ให้ข้าเล่าเรื่องการเดินทางในครั้งนี้ของข้า ข้า…ช่างมันเถิด”

“หือ?” หลิงเอ๋อร์กะพริบตา ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น “ศิษย์พี่ มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ”

ทว่าหลี่ฉางโซ่วยืนเอามือไพล่หลังขณะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วยิ้มขื่นออกมาพลางกล่าวว่า “กลับไปฝึกฝนเถิด…หลิงเอ๋อร์?”

“ข้าจะอยู่ที่นี่!”

“รีบไปฝึกเถิด อย่าคิดถึงเรื่องอื่นเลย…

…เจ้าต้องพยายามไปถึงคืนกลับเต๋าวิถีขั้นห้าก่อนงานใหญ่ครั้งต่อไปเพื่อให้เจ้ามีค่าพอที่จะได้รับความสนใจจากสำนัก”

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ด้วยวิธีนี้ แม้ข้าจะหายตัวไปในวันนั้น เจ้าก็ยังจะได้รับการดูแลในการฝึกบำเพ็ญจากสำนักเช่นกัน”

หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่เจ้าคะ ท่าน…ท่านจะหนีไปหรือเจ้าคะ”

“ไยข้าต้องหนีเล่า กลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะเริ่มหลอมโอสถแล้ว”

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ ในขณะที่หลิงเอ๋อร์สับสนงุนงง

เมื่อออกมาจากหอโอสถแล้ว หลิงเอ๋อร์ก็เอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองที่หอโอสถ…

เหตุใดจึงรู้สึกว่าศิษย์พี่ของนางดูแปลกไปเล็กน้อย

ขณะนี้ ในหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วเริ่มหลอมโอสถอย่างชำนาญ เขาหลอมโอสถเซียน ‘กระจ่างแจ้ง’ ให้อาจารย์ของเขา ซึ่งวัตถุดิบหลอมโอสถที่เขาใช้ล้วนไม่เป็นพิษ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสวมชุดป้องกัน

ครั้นเมื่อไฟในเตาหลอมคงที่แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มคิดถึงเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ในใจของเขา

ต้องหาเงิน

“ยอดเขาหยกน้อย ยอดเขาหยกน้อย ข้าช่างอัตคัดสุดๆ จริงๆ”

เขาต้องการวัสดุล้ำค่าและศิลาวิญญาณจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจทำอันใดได้

เขาไม่ได้มองหาโชคลาภ แต่เพียงต้องการมีเส้นทาง ‘โชคลาภ’ เพื่อให้มีรายได้มั่นคงนอกเหนือจากเงินสนับสนุนรายเดือนสำหรับศิษย์เท่านั้น

บนภูเขา…

แค่กๆ บนภูเขา มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ความปลอดภัย แต่ก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือไม่อาจหาวัสดุล้ำค่าหรือศิลาวิญญาณได้

ส่วนรูปปั้นเคารพในทะเลทักษิณเหล่านั้น เขาจะใช้วิธีปลอมแปลงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการรับเครื่องสักการะและขายให้กับสำนักบำเพ็ญประจิมได้หรือไม่

ช่างมันเถิด การทำเช่นนี้ก็เหมือนกับการรนหาที่ตาย ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะหลีกเลี่ยงทะเลทักษิณไปตลอดชีวิตของเขา

แล้วเขาจะทำเงินได้อย่างไรเล่า

สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองมากที่สุดในเวลานี้คือการเข้าไปยังหอพระสูตรเต๋าที่จะเข้าได้เฉพาะเซียนในสำนักเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย

อย่างที่สองคือ เขาต้องทำงานรับจ้างโดยหลอมโอสถให้กับสำนัก เพื่อหารายได้พิเศษ และยังใช้เป็นข้ออ้างในการได้รับสมุนไพรบางอย่างอีกด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะทำให้เขาได้ประโยชน์มากมายมหาศาลอีกด้วย

เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากเกินไปในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า แม้เขาจะบรรลุเซียนของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อาจเข้าใจทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ และมันจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาที่จะต้องใช้เวลาวันละสองสามชั่วยามเพื่อหลอมโอสถทุกวัน

นอกจากนี้ยังมีผู้คนจากยอดเขาต่างๆ ที่สามารถทำงานต่างๆ ได้ เช่น การหลอมโอสถตามที่ได้รับมอบหมายจากสำนัก เพียงแค่ต้องไปลงทะเบียนที่หอไป่ฝานซึ่งจะมอบหมายงานให้พวกเขาหลังจากนั้น

แต่เรื่องนี้ต้องวางแผนอย่างรอบคอบกับอาจารย์ของเขาก่อน เขาไม่อาจรับการมอบหมายงานหลอมโอสถเซียนด้วยตัวเขาเองเพียงอย่างเดียวได้

เหตุใดเขาจึงไม่เลือกขอความร่วมมือจากอาจารย์อาจิ่วจิ่ว

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่ออาจารย์อาจิ่วจิ่ว แต่ในเวลานี้ นางเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรอยู่ และนางก็ไม่เข้าใจเรื่องโอสถมากนัก นอกจากนี้ นางยังมีชื่อเสียงในสำนักมากเกินไป ซึ่งจะทำให้มีคนสงสัยนางได้ง่าย

ยิ่งไปกว่านั้น หากอาจารย์ตื่นตัวขึ้น เขาก็ยังสามารถหลอกล่อศัตรูในอดีตให้ปรากฏตัวขึ้นมาได้ เปรียบเป็นการใช้หินก้อนเดียวก็ฆ่าวิหคได้มากมาย

หลี่ฉางโซ่วลูบคางและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าพลังไฟในเตาหลอมโอสถไม่เสถียร เขาก็ปล่อยพลังเพลิงแท้ออกไป

ทว่า จู่ๆ เขาพลันผงะงัน

เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่ง…ใช้พลังแท้ เพลิงสมาธิแท้จริงๆ หรือ

เปรี๊ยะๆ…

ตูม!

ทันใดนั้น หอโอสถพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และหลังคาก็ปลิวกระเด็นออกไปในทันที!

หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฉางโซ่วซึ่งบัดนี้ ใบหน้าของเขาเป็นสีดำไหม้เกรียมก็อ้าปากอยากจะกล่าว ทว่าไม่อาจเปล่งวาจาใดออกมาได้ด้วยรู้สึกขมขื่นใจยิ่งนัก

เมื่อมองดูกองก้อนโลหะที่ดูเหมือนดอกบัวบานสะพรั่งเหล่านี้ เขาก็นึกถึงตัวเอง เขาใช้ความพยายามอันแรงกล้าและเสียพลังงานไปมากเพื่อทุ่มเทซ่อมแซมเตาหลอมโอสถนี้…

ฮ่าๆ เหอะๆ..

แน่นอนว่า ความจริงแล้ว ย่อมเร็วกว่าที่จะหาเงินจากการค้าธูปและเครื่องหอมกับสำนักบำเพ็ญประจิม…

“พวกเราสัญญาอย่างจริงจังว่าเราจะไม่ผลิตธูปและเครื่องหอม เราจะเป็นเพียงคนเฝ้าประตูเพื่อถวายเครื่องสักการะ…

…บัดนี้ ยอดเขาหยกน้อยก็ยิ่งอัตคัดมากขึ้นไปอีก”

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกขบขันตัวเอง เขายิ้มและส่ายศีรษะก่อนจะลุกขึ้นและเริ่มทำความสะอาดเตาหลอมที่พังไปแล้ว

โชคยังดีที่บัดนี้มันยังเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเพลิงสมาธิแท้ หากเขาปล่อยมันลงไปเป็นจำนวนมาก หอโอสถก็อาจถูกถล่มลงไปกับพื้นทันทีและจะต้องสร้างขึ้นใหม่ในวันรุ่งขึ้น

……

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ขณะนี้ เมฆบนท้องฟ้าพลันสลายหายไป มีเกาะเซียนซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยทะเลเมฆและดวงดาว

ศาลสวรรค์ซึ่งเพิ่งสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ กำลังลอยอยู่กลางดินแดนแห่งทวยเทพมัชฌิมา และกำลังกดดันโชคชะตาบรรพกาล

ในเวลานี้ ศาลสวรรค์ยังคงรกร้างอยู่บ้าง ประตูสวรรค์ทั้งห้าที่นำไปสู่ดินแดนเทวะทั้งห้าต่างก็มีทหารและแม่ทัพเป็นของตัวเอง แต่ในบริเวณพื้นที่ชั้นดีของศาลสวรรค์และวังสวรรค์เก้าชั้นนั้นยังคงรกร้างแห้งแล้งอยู่

เมื่อศาลสวรรค์เพิ่งก่อตั้งขึ้น หากไม่ใช่เพราะว่าบรรพชนไท่ชิงสร้างร่างจุติลงมากลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดหรือเรียกว่า ไท่ซ่างเหล่าจวิน เพื่อปกป้องศาลสวรรค์และเง็กเซียนฮ่องเต้…

บางทีศาลสวรรค์ขนาดใหญ่แห่งนี้อาจถูกเผ่าปีศาจโบราณที่มีความทะเยอทะยานเข้ายึดครองแล้ว

สวรรค์ชั้นเก้าของสำนักบำเพ็ญเต๋าผู้มีเกียรติแห่งศาลสวรรค์เป็นพื้นที่ฝึกบำเพ็ญเต๋าที่สงวนไว้สำหรับสามเทพาจารย์ ซึ่งสามารถมองเห็นแสงเซียนได้ภายในนั้น แต่มีเพียงอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้นซึ่งเป็นสถานที่ที่บรรพชนไท่ชิงบำเพ็ญเพียรทุกวัน

ในเวลานี้ หอสมบัติหลิงเซียวตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นที่แปด มันงดงามตระการตามาก แต่ไม่ได้มีสมบัติในยุคบรรพกาลอยู่มากนัก

บริเวณโดยรอบหอสมบัติหลิงเซียว มีกองทหารรักษาการณ์มากมาย ในฐานะที่เป็นบรรพาจารย์เต๋าของเง็กเซียนฮ่องเต้ หงจวินเหล่าจู้ ซึ่งรับใช้เทพสวรรค์ห้าวเทียน[1] มาหลายหมื่นปีนั้นก็ยังกังวลในเรื่องความปลอดภัยของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

ภายในสวรรค์ชั้นที่เจ็ด มี ‘ฝ่ายกิจการต่างดินแดน’ มากมายของศาลสวรรค์ เช่นเดียวกับที่พำนักของผู้เป็นเซียนทั้งหมด และวังดุสิตของเหล่าจวินก็อยู่ที่นี่ด้วย

ในสวรรค์ชั้นที่เจ็ดนั้น มีมุมที่ไม่โดดเด่นบางแห่ง ที่นั่นมีตำหนักเซียนสง่างามที่สร้างขึ้นบนเกาะเซียน ซึ่งลอยอยู่ในทะเลเมฆ…

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของตำหนักเซียนแห่งนี้ไม่ใช่รูปแบบสถาปัตยกรรม แต่เป็นผ้าไหมสีแดงที่แขวนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการแต่งงานของเซียนในศาลสวรรค์

อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้คือ สถานที่ที่ศาลสวรรค์ดูแลการครองคู่ทั้งหมดในสามอาณาจักร ซึ่งมีแผ่นโลหะทองคำและหยกฝังอยู่

‘การครองคู่แห่งสวรรค์และปฐพี’

นั่นคือ ตำหนักของเทพเฒ่าจันทรา

[1] เทพสวรรค์ห้าวเทียน เป็นอีกหนึ่งพระนามที่ใช้เรียกเง็กเซียนฮ่องเต้