ตอนที่ 62.1 ความลำบากของการเป็นหัวหน้าศิษย์สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“เฮ้อ การปฏิบัติหน้าที่ในศาลสวรรค์นั้นช่างยากจริงๆ”

ในตำหนักของเทพเฒ่าจันทรา มีชายชราร่างผอมบางในชุดคลุมสีแดงกำลังนั่งบนเก้าอี้เท้าแขนและดื่มชาที่มีเด็กหนุ่มนำมาให้พลางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา

เขาเพิ่งจัดการกับแม่ทัพสวรรค์ที่ยืนกรานว่าจะจับคู่กับเทพธิดาจากสระหยกด้วยความช่วยเหลือของเขา

การจับคู่นี้จะทำอย่างสบายๆ ได้หรือ

แม้เขาจะเป็นเทพเฒ่าจันทรา แต่ก็ไม่อาจลิขิตชะตากรรมของผู้อื่นได้

ถึงจะมีหลายวิธีที่จะแอบดำเนินการลับๆ ได้ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดจะถูกนำไปจับคู่ด้วยเช่นกัน!

เฒ่าจันทรายังใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อหลอกล่อแม่ทัพสวรรค์และเหนื่อยล้าอย่างยิ่งจนมีเหงื่อออกมาก

เขาอยากจะปฏิเสธโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่อาจทำร้ายผู้ที่อีกฝ่ายชื่นชอบได้เช่นกัน…

งานของเฒ่าจันทรานั้นยากมากจริงๆ

การครองคู่ส่วนใหญ่ย่อมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในขณะที่มีการครองคู่เพียงน้อยนิดที่สวรรค์ได้ประทานให้

ในฐานะเทพเฒ่าจันทรา เขามีสิทธิ์บางอย่างในการเปลี่ยนแปลง ทว่ากรรไกรทองและด้ายสีแดงล้วนเป็นสมบัติของบุญสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้งานมันตามอำเภอใจ!

ต่อให้เป็นเพียงแค่การครองคู่ระหว่างมนุษย์สองคน แต่หากจัดการไม่เหมาะสมแล้ว ไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายให้กับบุญที่เขาสะสมมาอย่างยากลำบาก แต่มันยังทำให้เขาต้องถูกลงโทษโดยเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้ทรงพลังที่เป็นคนจริงจัง มีความรับผิดชอบ และขยันขันแข็งอย่างยิ่ง…

การครองคู่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติคืออะไร

ในส่วนมุขซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยื่นออกไปภายนอก ซึ่งมีจักรวาลลึกลับที่เกือบจะไร้ที่สิ้นสุดนั้น มีรูปปั้นดินเหนียวขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน มันเป็นข้อบังคับสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสามโลกที่ครองคู่กัน ซึ่งต้องมีรูปปั้นดินเหนียวสำหรับการครองคู่ทั้งสามอาณาจักรของสวรรค์ ปฐพี และมนุษย์ตามลำดับ

การครองคู่เป็นพิธีการพื้นฐานแห่งครรลองของชีวิต

รูปปั้นดินเหนียวส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และมีจำนวนไม่มากนักที่สอดคล้องกับปีศาจและแม่มด

เมื่อพวกมันมีปฏิสัมพันธ์กันในโลกมนุษย์ รูปปั้นดินเหนียวในที่นี้ก็จะเข้าหากัน จากนั้นพวกมันก็จะมีเส้นสายสีแดงโผล่ออกมาจากรูปปั้นแต่ละรูป หลังจากที่เส้นสายสีแดงสองเส้นนั้นผูกติดกัน ก็หมายถึงว่าจะเกิดการครองคู่ขึ้น

ความรักได้พัฒนาไปตามกาลเวลาเมื่อด้ายแดงเคลื่อนตัวและพันผูกกันทีละน้อย

เมื่อเป็นรักแรกพบ เขาจะเพียงสัมผัสมันเบาๆ และพันด้วยด้ายแดงไปโดยรอบ

ในบางครั้ง รูปปั้นดินเหนียวบางตัวจะลอยไปผิดทิศทาง และด้ายแดงนั้นก็อาจไปพันกับการครองคู่ของผู้อื่นซึ่งย่อมเกิดการแทรกแซงในการครองคู่ที่ได้รับผลกระทบนั้น…

แล้วการครองคู่ที่สวรรค์ประทานให้นั้นคืออะไร

เมื่อสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดและถูกตรวจพบ รูปปั้นดินเหนียวจะก่อตัวขึ้นที่นี่และถูกผูกมัดด้วยด้ายแดงแห่งโชคชะตา และนั่นคือการครองคู่ที่สวรรค์ประทานให้

นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นดินเหนียวบางตัวที่มีลักษณะ ‘อิสระและดื้อรั้น’ พวกมันจะแยกตัวออกจากด้ายแดงแห่งการครองคู่ ลากด้ายแดงไปครึ่งหนึ่งแล้วบินไปรอบๆ

บางครั้งก็จะพบรูปปั้นดินเหนียวที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เมื่อด้ายแดงผูกไว้ด้วยกัน ย่อมมีกิเลสร้อนรุ่ม และเมื่อด้ายแดงขาดแล้ว ชะตารักพันผูกก็พลันสลายไป

คำขอของแม่ทัพสวรรค์มิใช่เรื่องยากสำหรับเฒ่าจันทรา

เพียงแค่เขาผูกด้ายแดงของแม่ทัพสวรรค์กับเทพธิดาผู้นั้นโดยตรง ก็ถือเป็นการครองคู่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะไม่มีกรรมร้าย

ทว่าเฒ่าจันทราต้องพิจารณาภูมิหลังของเทพธิดาแห่งสระหยก

เมื่อหลายร้อยปีก่อน เทพีหนี่วาทรงส่งคนมาประณามเขา ยามนี้เขาจึงไม่กล้าทำอะไรกับเทพธิดาแห่งสระหยกซึ่งจะเป็นการละเมิดกฎ

ความจริงแล้ว เฒ่าจันทราเป็นเพียงผู้บำเพ็ญระดับเซียนเทียน แต่เขาเป็นหนึ่งในเซียนกลุ่มแรกที่เข้าร่วมศาลสวรรค์ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ เขาซื่อตรงและจริงจังเมื่อต้องทำงาน จนเง็กเซียนฮ่องเต้ได้มอบตำแหน่งเทพเฒ่าจันทรา ให้เขาเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน

หลังจากดำรงตำแหน่งเทพเฒ่าจันทรา มาเป็นเวลาหมื่นปีแล้ว เขาก็ได้รับประโยชน์มากมายจากมัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องมีสติรอบคอบและไม่กล้าผ่อนปรนใดๆ

แต่ปัญหาคือ ในทุกวันนี้เซียนของศาลสวรรค์ได้เรียนรู้ความลับของด้ายแดงมากขึ้นเรื่อยๆ และยังรู้ว่าเทพเฒ่าจันทราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

มีคนแอบเข้าไปในตำหนักครองคู่เล็กๆ ของเขาในทุกๆ สองสามวัน…

บางคนก็เป็นเจ้าหน้าที่ในตำหนักเดียวกัน และเกินจะทนไหวจริงๆ

และบางคนก็พยายามขอความช่วยเหลือจากเขาโดยส่งของกำนัลมาให้ แต่เทพเฒ่าจันทราจะไม่ยอมรับของกำนัลใดๆ…จะมีของกำนัลชนิดใดที่จะมีค่ามากกว่ารางวัลบุญในการรับใช้ที่ศาลสวรรค์ประทานให้เล่า

ทว่ามีอีกสถานการณ์หนึ่งคือเทพเฒ่าจันทราไม่สามารถและไม่กล้าปฏิเสธเหล่านักพรตเต๋าชราผู้ทรงพลังอำนาจซึ่งมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อหน้าผู้ทรงพลังอำนาจยิ่งใหญ่อย่างพวกเขา เขาก็เป็นเพียงแค่เซียนน้อยที่ไม่มีความสำคัญใดๆ ตัวอย่างเช่น…

“ท่านอาจารย์ขอรับ!”

ภายนอกตำหนักนั้น มีเด็กชายผมเปียสองคนวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริงแล้วร้องตะโกนว่า

“ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว! ใกล้จะถึงหน้าตำหนักแล้วขอรับ!”

เทพจันทราพลันตกตะลึง และรีบลุกขึ้นก่อนจะเดินไปที่ด้านหน้าตำหนัก

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนที่น่าทึ่งจนเหลือเชื่อ เขาเป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของเทพาจารย์ไท่ชิงซึ่งเป็นปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เต๋าของเขามิอาจหยั่งรู้ได้และผู้สนับสนุนเบื้องหลังของเขาคือ เหล่าจื้อ เทพาจารย์หรือบรรพชนไท่ชิง!

เนื่องจากเหล่าจื้อเป็นผู้อาวุโสแห่งสามเทพาจารย์เต๋า ‘ซันชิง’ แม้ว่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้จะเข้าไปในลานเล็กๆ ของภูเขาคุนหลุนในเวลาต่อมา แต่เขาก็เป็นผู้ที่ศิษย์คนแรกแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ก่วงเฉิงจื่อ แห่งวังอวี้ซวี และศิษย์ใหญ่ของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ฉีซุ่น ล้วนกล่าวถึงในฐานะเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา

เขาคือศิษย์อาวุโสใหญ่ที่สุดของสำนักเต๋าที่แท้จริง

ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ไร้นามที่ชัดเจน เพราะบรรพชนไท่ชิงไม่ได้มอบให้เขา ด้วยเกรงว่าเขาจะได้รับผลกระทบจากกรรมร้ายใดๆ

เนื่องจากเขาเป็นที่รู้จักกันในนามปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ในอารามเสวียนตูของบรรพชนไท่ชิง และเมื่อเวลาผ่านไป เขาจึงได้รับนามสมมติเช่นนั้น

ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอารามเสวียนตู!

ตั้งแต่นั้นมา คำว่า ‘เสวียนตู’ จึงสามารถหมายถึง เขา ศิษย์คนแรกแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และยังหมายถึง ‘ชื่อสถานที่’ นั่นคืออารามเสวียนตู

ผู้เฒ่าจันทรารู้อย่างชัดเจนว่าศิษย์คนแรกของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากศิษย์ที่มีนามเพียงไม่กี่คนของบรรพชนไท่ชิง!

เนื่องจากศาลสวรรค์เพิ่งฟื้นขึ้นมาและยังค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอารามเสวียนตูจึงพักอยู่ในวังดุสิตชั่วคราว…

อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ก่อปัญหาใดๆ ที่เป็นเซียนจินหรือ เซียนต้าหลัวจินมาสร้างปัญหาในศาลสวรรค์ มันย่อมไม่เหมาะที่บรรพชนไท่ชิงจะจัดการกับพวกเขาด้วยตัวเอง และเสวียนตูจะเป็นผู้ทำลายพวกเขาเอง

ท่านผู้ยิ่งใหญ่ไร้ต้านผู้นั้นได้มาเยี่ยมเยือนเทพเฒ่าจันทราหลายครั้งแล้ว และแน่นอนว่า เทพเฒ่าจันทราเข้าใจว่าเขาต้องการสิ่งใด

เฒ่าจันทรารีบเดินออกจากตำหนักอย่างรวดเร็ว และเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นผู้บำเพ็ญเต๋าหนุ่มที่ลอยอยู่บนเมฆที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

เขาสวมชุดคลุมเต๋าสีดำและแม้ว่าลักษณะของเขาจะไม่ชัดเจน แต่ก็ดูค่อนข้างดีมาก

เขายืนตัวตรงในขณะที่เสื้อคลุมของเขาสะบัดพลิ้วไปมาเบาๆ เขาไม่มีเครื่องประดับหยกสักชิ้นบนร่างกายของเขา ทว่าแผ่กลิ่นอายแท้จริงราวหยกดิบที่ยังไม่ได้รับการเจียร มันเป็นกลิ่นอายที่สามารถครอบครองได้โดยผู้ที่มีเต๋าล้ำลึกอย่างยิ่งเท่านั้น

ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในมนุษย์กลุ่มแรกๆ ของโลก เขาถูกสร้างขึ้นมาโดยเทพีหนี่วาและไร้บิดามารดา เขามีบุญบางอย่างที่ได้รับจากการสร้างมนุษย์และโชคในการได้เข้าร่วมสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

ก่อนที่เขาจะมาถึงตำหนัก ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ประสานมือและโค้งคารวะให้เฒ่าจันทราแล้วแย้มยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “ท่านสบายดีหรือไม่”

“ดี ข้าสบายดี”

เทพเฒ่าจันทราพยักหน้าซ้ำๆ หากผู้ใดไม่รู้ ก็คงคิดว่าเซียนแห่งศาลสวรรค์เป็นคนหลังค่อม

“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดเชิญด้านใน…หรือท่านอยากทำเหมือนครั้งก่อนหน้านี้?”

“ขอบคุณ ท่านเฒ่าจันทรา” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยนแล้วก้าวตรงเข้าไปในตำหนักของเฒ่าจันทรา จากนั้นเขาก็เดินตามเฒ่าจันทราไปในพื้นที่ส่วนมุข

เมื่อเข้าไปในลานของพื้นที่ส่วนมุขนั้นแล้ว พวกเขาก็เห็นท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวลึกลับอยู่ข้างหน้า

เฒ่าจันทราถืออ่างและหมุนวนไปเบาๆ หลังจากนั้นก็มีแสงดาวพุ่งผ่านท้องฟ้าที่เกลื่อนไปด้วยดวงดาวและพุ่งโฉบมาหยุดอยู่ด้านหน้าของพวกเขาทั้งสอง

ความจริงแล้ว นี่เป็นสมบัติวิญญาณแห่งบุญโฮ่วเทียน มันคือต้นเซียง

เมื่อแสงดาวจางลง ก็มีกองรูปปั้นดินเหนียวห้ากองก่อตัวขึ้นมา รูปปั้นดินเหนียวของแต่ละกองจะมีขนาดแตกต่างกัน แต่ละรูปจะมีถ้อยคำหลายคำที่ควบแน่นมาจากแสงดาวรวมไว้ในนั้น ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ

ตัวอย่างเช่น กองด้านซ้ายสุดมีอักขระสามตัว ‘สำนักตู้เซียน’

ส่วนกองอื่นๆ ก็มีคำว่า ‘เซียนจงเซียวเหยา'[1] และ ‘สำนักจื้อไจ้’ เขียนเอาไว้ อันที่จริงแล้ว พวกเขาเป็นผู้ถือครองเต๋าของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

[1] เซียนจงเซียวเหยา หรือเซียนอิสระไร้สังกัด