บทที่ 123 เจี่ยเจิน

บทที่ 123 เจี่ยเจิน

แม่นางน้อยที่ผิวขาวงดงามละเอียดอ่อนประหนึ่งหยก ยื่นขนมอบในมือออกไป “ให้เจ้าลองกิน ท่านอาหญิงของข้าเป็นคนให้ข้ามา”

โจวเหยียน “เจ้าล้วนกินผลไม้ทั้งหมดในบ้านข้าได้ เสี่ยวเป่ายังชอบกินสิ่งใดอีกหรือ?”

ดวงตาของเสี่ยวเป่าเป็นประกาย “พวกเราไปเก็บผลไม้มาทำน้ำผลไม้กัน ที่บ้านของเจ้ามีน้ำแข็งกับนมหรือไม่”

โจวเหยียนตบอกตนเอง “ย่อมมี”

จากนั้นศีรษะเล็ก ๆ ทั้งสองก็สุมเข้าหากัน ต่างคนต่างพูดเจื้อยแจ้วว่าจะทำเช่นไรให้ผลไม้เหล่านี้อร่อยมากยิ่งขึ้น

เสี่ยวเป่ายังเอ่ยถึงเฉ่าเหมยและแตงโมของตนเอง แม้เฉ่าเหมยใกล้จะกินหมดแล้ว แต่แตงโมก็ใกล้จะสุกเช่นเดียวกัน

โจวเหยียนที่ได้ยินนางเอ่ยถึงสิ่งที่ตนเองไม่เคยกินมาก่อน ก็เกิดความอยากกินมากจนน้ำลายแทบไหลออกมา

เสี่ยวเป่ายังกล่าวออกมาด้วยความใจกว้าง “รอแตงโมสุกก่อนแล้วข้าจะให้เจ้าสองลูก”

โจวเหยียนรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ข้าจะบอกเจ้าให้ ในช่วงเวลานี้ทุกปีท่านพ่อจะส่งคนไปเอามะม่วงกับลี่จือ*[1] มา พวกมันอร่อยเป็นอย่างยิ่ง เสียแต่ลี่จือมีจำนวนน้อยไป รอส่งมาถึงเมื่อไหร่ข้าจะแบ่งให้เจ้าทันที”

“ตกลง”

สหายตัวน้อยทั้งสองนัดแลกเปลี่ยนผลไม้แก่กันและกัน ในตอนนั้นเอง องครักษ์ที่ปีนขึ้นไปเก็บลูกท้อที่สุกจนนุ่ม ก็ลงมามอบลูกท้อหลายผลให้แก่เด็กทั้งสอง

“ขอบคุณ พวกเจ้าเองก็กินด้วยสิ”

เสี่ยวเป่าเอ่ยขอบคุณอย่างมีมารยาท โจวเหยียนเองก็ใจกว้างเป็นอย่างมาก “พวกเจ้าสามารถเลือกเก็บผลไม้บนต้นมากินได้ตามต้องการเลย”

ผลไม้ในยุคสมัยนี้ปราศจากยาฆ่าแมลง ดังนั้นจึงบริสุทธิ์ไร้มลพิษสามารถเด็ดและกินได้โดยตรง

ทว่าข้อเสียคือการล่อแมลงเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

แต่ตระกูลโจวนั้นดูแลสวนเป็นอย่างดี ดังนั้นผลไม้จึงเติบโตมาอย่างยอดเยี่ยม

ลูกท้อที่สุกจนนิ่มมีรสชาตินุ่มนวลหวานละมุน รสชาติดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนลูกท้อบางลูกที่ยังไม่นิ่มก็หวานและกรุบกรอบ

หลังจากพวกเขากินลูกท้อไปหลายลูกแล้ว ก็พากันไปหาผลไม้อย่างอื่น เช่น หยางเหมย ทับทิม และลูกพลับ เมื่อตะกร้าใบเล็กเต็มไปด้วยผลไม้หลากหลายชนิด พวกเขาก็ค่อย ๆ เดินกลับไปกินไป

เสี่ยวเป่ามองดูสวนผลไม้ของตระกูลโจวด้วยความอิจฉา

“ข้าเองก็อยากมีสวนผลไม้เช่นนี้บ้าง”

โจวเหยียนเอ่ยด้วยความใจกว้างเป็นพิเศษ “ไม่เป็นไร ข้ายกให้เจ้าหนึ่งสวน”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ไม่ต้องหรอก ข้าไปขอจากท่านพ่อเองได้”

แม้ว่าตำหนักที่นางอาศัยอยู่จะกว้างขวางเป็นอย่างมาก เพียงพอให้นางได้ปลูกสวนผักและสวนดอกไม้ขนาดเล็ก แต่มันก็ยังไม่ใหญ่พอให้นางปลูกผลไม้จำนวนมากเช่นนี้

เสี่ยวเป่านึกถึงนาหลวงของท่านพ่อขึ้นมา นางสามารถไปคุยกับท่านพ่อเพื่อแบ่งที่นาหลวงไปทำสวนผลไม้ได้

โจวเหยียนพาเสี่ยวเป่าเดินเล่นเตร็ดเตร่ระหว่างทางไปหาท่านปู่ท่านย่าของเขา เมื่อถึงแล้วยังไม่ทันจะเข้าไปก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน

ตระกูลโจวน่าจะมีแขกมา

“ศิษย์พี่ ท่านลงเขาครั้งนี้ตั้งใจจะกลับไปเมื่อใด?”

“ลงมาลองดูก่อน หากพบเจอโรครักษายากย่อมต้องอยู่ศึกษา หากไม่พบก็กลับ”

“ศิษย์พี่ ที่ศิษย์น้องเขียนจดหมายไปเชิญท่านมาในครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการจะขอร้อง ไม่ทราบว่าท่านสามารถไปลองตรวจดูองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่…”

เมื่อได้ยินเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของตน ร่างของเสี่ยวเป่าก็สะท้าน หูผึ่งทันที

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้วยความวุ่นวายรำคาญใจ “ไม่ไป ไม่ไป ชนชั้นสูงเหล่านั้นยุ่งวุ่นวาย ประเพณีกฎเกณฑ์มากมาย ข้าไม่อยากไป นอกจากนี้สถานการณ์ขององค์ชายใหญ่ข้าเองก็รู้ เพียงแค่ขาเดินไม่ได้ ไม่ได้มีโรคอันใดร้ายแรง ไม่มีความท้าท้ายอย่างใดแม้แต่น้อย ข้าไม่ไป!”

ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเป่ากับโจวเหยียนก็ได้เดินเข้ามาถึงด้านในเรียบร้อยแล้ว นางจับจ้องไปทางผู้พูดด้วยดวงตากลมโต

คนผู้นั้นแต่งกายซอมซ่อ ด้านหลังแบกถุงเอาไว้ เส้นผมสีดำหงอกขาวไปแล้วครึ่งหนึ่ง มองแล้วไม่ใช่ผู้สนใจเรื่องการแต่งกายสักนิด เหมือนกับคนยากจนทั่วไปคนหนึ่ง

แต่เสี่ยวเป่าเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด คนผู้นี้อาจสามารถรักษาพี่ใหญ่ของนางได้

ดังนั้นเสี่ยวเป่าจึงวิ่งไปหาเขาอย่างไม่ลังเล

“ศิษย์น้อง บ้านของเจ้ามีเด็กหญิงตัวน้อยเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด?”

ผู้อาวุโสที่ถูกเรียกว่าศิษย์น้องมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แค่ก…องค์หญิงเก้า”

เจี่ยเจิน “…”

“ท่านลุง ท่านสามารถรักษาพี่ใหญ่ของข้าได้ใช่หรือไม่”

เจี่ยเจินตีหน้านิ่งทันที “ไม่ได้ เจ้าได้ยินผิดแล้ว”

เสี่ยวเป่าไม่สนใจ พุ่งเข้าไปกอดขาของเขาทันที “ท่านสามารถทำได้ สามารถทำได้อย่างแน่นอน!”

มุมปากของเจี่ยเจินกระตุก นี่มันอันใดกัน?

“เด็กน้อยปล่อยเสีย บนร่างของข้าพกยาพิษมาไม่น้อย ระวังชีวิตน้อย ๆ จะหาไม่”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เหล่าองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ก็ปรากฏขึ้นทันใด ดวงตามองมาด้วยความระมัดระวังและจิตสังหาร

เจี่ยเจินเต้นแร้งเต้นกาขึ้นมาทันใด “ดูเสียสิ ข้าบอกแล้วว่าพวกราชวงศ์ขุนนางปัญหาเยอะแยะมากมาย ออกจากบ้านยังต้องนำนักฆ่ามาด้วย หากข้ารักษาไม่ได้ก็คงต้องการฆ่าคนปิดปากสินะ!”

เสี่ยวเป่าเถียงกลับ “ไม่ใช่นักฆ่าเสียหน่อย พวกเขาเป็นองครักษ์ที่ท่านพ่อส่งมาปกป้องเสี่ยวเป่า! อีกทั้งบนร่างของท่านยังไม่มียาพิษ ยาพิษทั้งหมดล้วนอยู่ในถุงกระสอบกับผ้าคาดเอวของท่านต่างหาก”

เจี่ยเจิน “???”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

สีหน้าของเขาประหลาดใจงงงวย

เสี่ยวเป่าสูดจมูกเล็ก ๆ “ข้าได้กลิ่นมัน”

เจี่ยเจินมองตุ๊กตาน้อยที่เกาะอยู่กับขาเขาหลายครั้ง ส่วนองครักษ์เงาเหล่านั้นก็ถอยหายไปทันทีที่รู้ว่าไม่มีอันตรายกับองค์หญิงน้อย

“เจ้าปล่อยก่อน”

“ข้าไม่ปล่อย ท่านลุงตอบตกลงว่าจะไปรักษาพี่ใหญ่ได้หรือไม่ พี่ใหญ่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันล้วนทำได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็น”

เจี่ยเจินยิ้มเย้ย “บนโลกนี้มีผู้น่าสงสารอยู่มากมาย อย่างไรเสียพี่ชายของเจ้าก็เกิดในตระกูลของจักรพรรดิ มีผู้คนมากมายคอยปรนนิบัติอยู่ตลอดเวลา เอาอันใดมาน่าสงสาร”

เสี่ยวเป่าเอ่ย “แต่เขาเป็นพี่ใหญ่ของข้า”

ผู้อาวุโสโจวที่อยู่ด้านข้างเองก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับพวกขุนนางราชวงศ์ ทว่าข้าเองก็ต้องใช้ใบหน้าชราร้องขอกับท่านอย่างหน้าไม่อาย หนนี้พวกเราเป็นหนี้บุญคุณองค์หญิงกับฝ่าบาทครั้งใหญ่จริง ๆ หากไม่ใช่เพราะพวกเขา ตอนนี้คงไม่อาจทราบได้ว่าหลานชายของข้าจะไปอยู่ที่ใดแล้ว”

หากเป็นก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสโจวที่รู้จักนิสัยของศิษย์พี่ตนเองเป็นอย่างดีจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้พวกเขาติดหนี้ราชวงศ์ครั้งใหญ่ ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะทดแทนอย่างไร แต่แล้วก็นึกถึงองค์ชายใหญ่ขึ้นมาได้ จึงเขียนจดหมายเชิญเจี่ยเจินมาเจรจา ไม่คาดคิดเลยว่าหลายชายของตนเองจะพาองค์หญิงน้อยมาพอดี และได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเข้า

“เกิดอันใดขึ้นกับโจวเหยียน?”

เจี่ยเจินเป็นกังวลขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

เขามีศิษย์น้องเพียงผู้เดียว แต่ด้วยความที่ศิษย์น้องไม่สันทัดด้านการวินิจฉัยรักษา สุดท้ายจึงตัดสินใจผันตัวออกมาค้าขายสมุนไพรและยา

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เจี่ยเจินยังคงอยู่ตัวคนเดียวลำพัง จึงรักใคร่เอ็นดูหลานชายตัวน้อยผู้นี้เป็นอย่างมาก ทุกปีหรือสองปีที่ลงจากเขาก็มักจะมาหาหลานชายตัวน้อย

ทว่าโจวเหยียนยังเด็กความทรงจำจึงไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้เพียงแค่รู้สึกคุ้นเคยยามมองไปที่เจี่ยเจิน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกคนผู้นี้อย่างไรดี

ผู้อาวุโสโจวตบหัวหลานชายตนเอง บอกให้เรียกเขาว่าอาจารย์ปู่

เด็กน้อยร้องเรียกออกมาอย่างว่าง่าย ทว่าประโยคแรกที่เขาพูดออกมาคือ “อาจารย์ปู่ ท่านสามารถช่วยเสี่ยวเป่าได้หรือไม่ขอรับ”

เจี่ยเจิน “…เรื่องนี้ไว้พูดคุยกันในภายหลัง”

ผู้อาวุโสโจวเล่าเรื่องราวที่หลานชายตนเองเกือบถูกสตรีมีพิษผู้นั้นทำลาย เจี่ยเจินโกรธเป็นอย่างมากจนเคราสั่นแววตาดุดัน

“ขังเอาไว้เช่นนี้ก็ยังไม่สาสมกับสิ่งที่ทำลงไป! รอตกกลางคืนข้าจะลอบเข้าไปวางยาพวกมันในคุก!”

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เจ้าอารมณ์ ทำตามอำเภอใจไร้เหตุผลนัก

“ไม่จำเป็น ฝ่าบาทพิพากษาให้โทษประหารถูกเลื่อนออกไปสองปี ระหว่างสองปีนี้ก็ต้องไปทุกข์ทรมานทำงานในเหมืองหิน”

สถานที่เช่นเหมืองหิน ไม่เพียงแต่เหนื่อยล้า ทั้งยังอันตรายเป็นอย่างมาก กระทั่งชายฉกรรจ์จากครอบครัวยากจนก็ไม่คิดอยากไป

คนเหล่านั้นยังไปเพราะถูกลงโทษ ทุกวันจะต้องถูกควบคุมตรวจตราไม่ได้พักผ่อนแม้สักวัน

[1] ลี่จือ (荔枝) คือ ลิ้นจี่