บทที่ 122 ปอกลอกพ่อเก่งยิ่ง

บทที่ 122 ปอกลอกพ่อเก่งยิ่ง

เมื่อเสี่ยวเป่าจะออกจากจวนเซียวเหยาอ๋อง พระชายาเซียวเหยาอ๋องก็เกิดความอาลัยอาวรณ์ กอดเด็กน้อยอยู่นานถึงค่อยยอมปล่อยให้นางจากไป

เสี่ยวเป่ากระโดดโลดเต้นไปตามถนน จากถนนตะวันออกไปถึงถนนตะวันตก

เมืองหลวงมีคำกล่าวว่า ถนนตะวันออกสูงศักดิ์ ถนนตะวันตกมั่งคั่ง ส่วนเหนือใต้คือสามัญชน

เนื่องจากถนนตะวันออกอยู่ใกล้กับพระราชวัง ดังนั้นมันย่อมต้องเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าขุนนางและผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ส่วนถนนตะวันตกนั้นเป็นสถานที่ซึ่งตระกูลร่ำรวยมั่งคั่งอาศัยอยู่

ตระกูลโจวเป็นพ่อค้าหลวง หน้าที่หลักคือการจัดหาเครื่องลายคราม เพชรพลอยไข่มุกล้ำค่าให้แก่ราชสำนัก อีกทั้งยังมีหน้าที่สำคัญที่สุดอย่างการจัดหาสมุนไพรยาลูกกลอนทั้งหลายสำหรับสำนักหมอหลวง

ตระกูลโจวสร้างความมั่งคั่งจากสมุนไพรและยาลูกกลอน ส่วนอย่างอื่นล้วนเป็นเพียงธุรกิจรอง

เสี่ยวเป่าพาชุนสี่และองครักษ์ร่างสูงใหญ่หลายคนที่ดูแล้วไม่น่าจะยุ่งด้วยมาหลายคน อีกทั้งยังมีองครักษ์เงาคอยตามปกป้องอย่างลับ ๆ มาเคาะประตูจวนตระกูลโจว

เพราะเด็กน้อยมาหาเพื่อนเล่น หนานกงฉีซิวจึงไม่ได้ตามมาด้วย

อย่างไรเสียด้วยตัวตนของเขา ย่อมไม่เหมาะสมที่จะไปตระกูลโจว

ส่วนที่กล้าปล่อยให้เสี่ยวเป่ามาเพียงลำพังนั้น ก็เพราะครั้งนี้เสี่ยวเป่าพาคนไปด้วยจำนวนมาก อีกทั้งด้วยตัวตนของเสี่ยวเป่า ตระกูลโจวจะต้องคอยปกป้องดูแลนางอย่างระมัดระวังแน่นอน

บ่าวรับใช้ที่คอยเฝ้าประตูจวนเปิดประตูออกมามองพวกเขาด้วยสีหน้างุนงง

“ขอถามได้หรือไม่ว่าพวกท่านคือผู้ใดเจ้าคะ?”

เสียงนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าเอ่ยตอบ “ข้าชื่อเสี่ยวเป่า มาหาโจวเหยียน”

บ่าวรับใช้ผู้นั้นเห็นว่าคนรอบตัวเด็กหญิงล้วนไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเองรีบไปแจ้งเรื่องนี้ต่อประมุขตระกูล

โจวเหิง ประมุขตระกูลโจวเองก็คาดไม่ถึงว่าบุตรชายของตนจะมีเพื่อนเช่นนี้อยู่ แต่เมื่อได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่าคนรอบตัวของนางดูทรงพลังไม่ธรรมดา ภายในหัวของเขาก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามา

“เร็ว รีบพาข้าไปดูเสีย”

เขารีบไปยังหน้าประตูจวน ในตอนนี้เสี่ยวเป่ากำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงบันไดหินเฝ้ามองดูมดที่เดินกันเป็นเส้นอย่างจริงจัง ก่อนนางจะหยิบขนมโก๋ถั่วเขียวออกมาบิเป็นชิ้นเล็ก ๆ โยนให้เหล่ามด แน่นอนว่าส่วนที่เหลือย่อมต้องเข้าปากของนางเอง

เมื่อโจวเหิงเดินออกมา สิ่งที่เขาเห็นก็คือเจ้าก้อนแป้งขาวราวหิมะกำลังนั่งยอง ๆ ก้มหน้าอยู่ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินออกไปต้อนรับ

“องค์หญิง”

เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคน ซึ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยดวงตาสดใสงดงาม รอยยิ้มสุภาพอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามละเอียดอ่อนราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ

“สวัสดี”

“องค์หญิง กระหม่อมคือโจวเหิง เป็นบิดาของโจวเหยียนพ่ะย่ะค่ะ”

“สวัสดีท่านอา~”

“มิบังอาจ ข้ามิบังอาจรับไว้ได้ พวกเราเข้าไปด้านในก่อนเถิด”

เสี่ยวเป่าพยักหน้า ขาสั้น ๆ เดินเตาแตะเข้าไป หาได้มีการวางท่าเป็นองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย

โจวเหิงลอบถอนหายใจ องค์หญิงน้อยผู้นี้ช่างนิสัยดีจริง ๆ

เพิ่งจะมาถึงห้องรับแขกของจวนตระกูลโจว โจวเหยียนได้ยินข่าวจากที่ใดไม่ทราบก็รีบวิ่งเข้ามา

“เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่า!”

โจวเหยียนวิ่งมาอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นก็สะดุดล้มลงอย่างแรง

โจวเหยียน “…ฮือออ…”

เขารู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง มาล้มต่อหน้าสหายที่เขาชื่นชมที่สุด เสี่ยวเป่าจะรู้สึกว่าเขาโง่งมหรือไม่

โจวเหิงก่ายหน้าผาก เหตุใดบุตรชายของเขาถึงได้โง่งมเช่นนี้ แต่โง่งมก็แล้วไปเถอะ ยังจะขี้แงอีก

เสี่ยวเป่าวิ่งไปหาเขา ก่อนจะย่อตัวลงพร้อมเอียงศีรษะ “โจวเหยียน เหตุใดเจ้าถึงไม่ลุกขึ้นมาเล่า?”

โจวเหยียนลุกขึ้นนั่งด้วยน้ำตาคลอเบ้า หายใจสะอึกสะอื้นด้วยท่าทางน่าสงสาร

“ข้าโง่มากหรือไม่ วิ่งมาอยู่ดี ๆ ก็สามารถล้มได้”

เสี่ยวเป่าลูบหัวปลอบอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร เสี่ยวเป่าเองก็ล้มบ้างเป็นบางครั้ง แค่ยืนขึ้นมาเองก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”

โจวเหิงมองดูเด็กน้อยทั้งสองคนสนทนากันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด สรุปแล้วผู้ใดอายุมากกว่ากันแน่?

เขารู้มาตั้งแต่แรกว่าบุตรชายของเขาบอบบางเป็นอย่างยิ่ง แต่ความคิดแลพฤติกรรมล้วนดี เขาจึงไม่คิดว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด ตอนนี้บุตรชายยังเด็กนัก เมื่อโตแล้วข้อบกพร่องตรงนี้ก็จะดีขึ้นเองตามธรรมชาติ

ทว่าในตอนนี้…

ตัวเองล้มลงแล้วยังร้องไห้ มิหนำซ้ำยังต้องให้เด็กที่อายุน้อยกว่าสองปีมาช่วยปลอบใจ ช่างน่าขายหน้าบิดาผู้นี้เสียจริง!

“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่”

แม้จะได้รับการปลอบโยนแล้ว แต่ดวงตาของโจวเหิงยังคงแดงระเรื่อเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มบนใบหน้า ทว่าหลังจากเห็นบิดาของตนเองแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นงุนงงระหว่างถามออกมา

ใบหน้าของโจวเหิงมืดมน ขณะกัดฟันเอ่ยออกมา “ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว!”

โจวเหยียนร้องอ๋อออกมา “เช่นนั้นท่านเล่นกับตัวเองไปก่อนเถิด ข้าจะพาเสี่ยวเป่าไปเล่นด้วย”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ดึงเสี่ยวเป่าวิ่งออกไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวเป่า ข้าจะพาเจ้าไปดูห้องเก็บสมบัติของท่านพ่อ เจ้าดูแล้วสามารถหยิบออกไปได้ตามต้องการเลย”

ดวงตากลมโตของเสี่ยวเป่าเบิกกว้าง “จะดีหรือ?”

โจวเหยียนมีความสามารถในการปอกลอกพ่อของตัวเองเป็นอย่างมาก “ไม่เป็นอันใด ท่านพ่อของข้ามีสมบัติตั้งมากมาย เจ้าสามารถหยิบไปสักเล็กน้อยได้”

โจวเหิงที่ได้ยินคำพูดของพวกเขา “…”

“เข้ามา”

เขามองไปทางที่บุตรชายตนเองจากไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ท่านประมุข”

โจวเหิงเหยียดยิ้มเย็น “ไปเตรียมไม้เรียวมาให้ข้า คืนนี้ข้าจะต้องได้ตีก้นเจ้าเด็กนั่น!”

บ่าวรับใช้ “…”

โจวเหยียนผู้ไม่รู้ว่าคืนนี้ตนเองจะต้องเผชิญกับสิ่งใด กำลังพาเสี่ยวเป่าไปยังห้องเก็บสมบัติของบิดาตนเองด้วยความตื่นเต้น

ภาพวาดลายอักษรล้วนมีครบครัน อีกทั้งยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอย่างโอสถสมุนไพรที่มีอายุหลายร้อยปี

เสี่ยวเป่าที่เห็นทั้งหมดถึงกับร้องว้าวออกมา

“โสมชนิดนี้มีอายุตั้งหกร้อยปี”

เสี่ยวเป่าเคยเห็นโสมที่อายุมากกว่าหกร้อยปีมากก่อน แต่ก็เคยเห็นเพียงแค่ครั้งเดียว มันอยู่ในป่าไม้เก่าแก่บนภูเขาลึกทำให้ไม่ถูกคนขุดออกไป

โจวเหยียนมองนางด้วยความชื่นชม “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วย!”

ตัวเขานั้นไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งท่านพ่อเป็นคนบอกเล่าให้ฟัง

แต่โจวเหยียนในตอนนี้ไม่เข้าใจว่าหกร้อยปีมีความหมายพิเศษอย่างไร รู้เพียงแค่ท่านพ่อของตนเองหวงแหนสมบัติเหล่านี้เป็นอย่างมาก

“เจ้าอยากได้หรือไม่?”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่อยากได้หรอก เจ้าก็อย่าได้มอบมันให้ผู้อื่นเล่น ท่านพ่อของเจ้าได้ตีเจ้าแน่หากรู้เรื่องนี้”

โจวเหิงที่ตามมาเงียบ ๆ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น

บุตรชายของเขานั้นช่างปอกลอกผู้เป็นพ่อเก่งเสียจริง เปรียบเทียบกันแล้ว องค์หญิงราวกับเป็นนางฟ้าตัวน้อย ๆ บนโลกมนุษย์

หลังจากนั้น เสี่ยวเป่าก็ยังได้เห็นสมบัติล้ำค่าอีกจำนวนมาก มีแม้กระทั่งไข่มุกราตรีขนาดใหญ่มหึมา และหยกล้ำค่าเป็นต้น

เสี่ยวเป่าอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกสิ่ง ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายมองไปรอบ ๆ แต่นางก็เพียงแค่อยากรู้อยากเห็น ไม่มีทางนำของของผู้อื่นมาตามอำเภอใจ

แม้ว่าสหายตัวน้อยจะพยายามยัดสมบัติเหล่านั้นเข้ามาในมือของนางก็ตาม

“เสี่ยวเป่ามาลองดูสิ ข้ายังชอบกินมากด้วย”

โจวเหยียนยืดหน้าอกตนเองทันที “ไปกัน ข้าจะพาเจ้าไปกินของอร่อย ๆ!”

เขาแสดงท่าทางองอาจ

หลังจากนั้น เด็กน้อยทั้งสองก็เดินออกจากห้องเก็บสมบัติ ตรงไปยังสวนผลไม้ของตระกูลโจว

ตระกูลโจวปลูกต้นท้อ หยางเหมย หลีจื่อ*[1] องุ่นและอื่น ๆ ผลไม้มีหลากหลายชนิดจนสามารถเอ่ยได้ว่าอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก

อีกทั้งตอนนี้ก็ใกล้สุกกันมากแล้ว

แม้รสชาติของลูกท้อจะไม่ได้อร่อยเท่าของวัดต้ากั๋ว แต่ก็ยังหวานอร่อยเป็นอย่างมาก

เด็กทั้งสองถือตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็ก เริ่มวิ่งไปมารอบสวนผลไม้เพื่อเลือกเก็บผลไม้ที่สุกแล้วมา

“ลูกท้อด้านบนใหญ่ยิ่งนัก น่าเสียดายที่พวกเราไม่อาจเก็บมันมาได้” เสี่ยวเป่าอดไม่ได้ที่จะจ้องไปทางลูกท้อบนต้นไม้ด้วยความตะกละ

โจวเหยียนถลกแขนเสื้อแล้วเอ่ยออกมาทันที “ข้าจะปีนขึ้นไปเก็บมันเอง!”

เสี่ยวเป่ารีบโบกมือห้ามเขาครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่ ไม่ หากตกลงมาจะบาดเจ็บเอาได้”

โจวเหยียนเป็นเด็กอ้วนท้วม อีกทั้งผิวยังบอบบางเป็นอย่างมาก ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ยอดฝีมือด้านการปีนต้นไม้เป็นแน่

“องค์หญิง ให้พวกเราเก็บเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ในตอนนั้นเอง ข้อดีของการพาองครักษ์มาด้วยก็แสดงผล

อากาศร้อนเป็นอย่างมาก เด็กทั้งสองหลบอยู่ใต้เงาไม้ เสี่ยวเป่าหยิบของว่างที่ตนเองนำมาจากจวนท่านอาเจ็ด ออกมาแบ่งปันกับสหายตัวน้อย

[1] หลีจื่อ คือ พลัม