ตอนที่ 77 ศึกเทพเซียน (rewrite)
บนภูเขาคราม
แสงดาราแตกกระจายเต็มฟ้า หมุนม้วนบนยอดเขาอย่างรุนแรง
หนิงอี้ชนกับร่างบุตรสู่ฟ้า ดวงจิตนั้นของเคียงกระบี่รวมถึงปราณกระบี่สูงสุดของกระบี่ล้ำค่าสามเล่มซ่อนอยู่ในหมัดเขาทั้งหมด
เด็กหนุ่มลงบนยอดเขา
เขาไม่หันมามอง พายุข้างหลังพลันแตกกระจาย ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพานคนนั้นปะทะคมกับเคียงกระบี่อย่างแท้จริง ก็แทบจะพ่ายแพ้อยู่ฝ่ายเดียว
หนิงอี้กำสองหมัด คลายและกำแน่นอีก เขารู้สึกได้ว่าตอนที่หมัดนั้นเพิ่งพุ่งออกไป ตนมีพลังทำลายล้างทั้งตัว นี่เป็นสุดยอดพลังที่ไม่อาจต้านได้!
อยากจะลองเทียบความสูงกับฟ้า!
ตอนนั้นเคียงกระบี่กวาดล้างทั้งยุคสมัย ยอดผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกัน ต่อให้สามสำนักศึกษาจวนขานฟ้า ตะวันสูงและขุนเขารวมกัน พวกเฉาผีสามคนที่เคยสังหารยอดปีศาจที่ทะเลพลิกผันแดนอุดร วางแผนการร้ายลอบโจมตีด้วยกัน ก็ยังแพ้ให้กับเขา!
นี่คือความอหังการระดับใด
หนิงอี้รู้สึกถึงท่วงทำนองปราณกระบี่ของผู้อาวุโสท่านนี้จากเนื้อแท้
ทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้าล้วนเป็นหนึ่งกระบี่
กระบี่นี้เป็นหมัดได้ เป็นเท้าได้ เป็นทุกส่วนของร่างกายได้ สามารถใช้วิชาคุมกระบี่ดรรชนีสังหารได้ ถือกระบี่ฟันธรรมดาก็ได้…
ทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้าก็แค่หนึ่งกระบี่
ไม่ว่าใครก็ขวางกระบี่นี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเทพเซียนหรือพระโพธิสัตว์ ต่อให้เป็นการคงอยู่อมตะ เคียงกระบี่ก็ไม่กลัวเช่นกัน จะใช้หนึ่งกระบี่ต้อนรับ!
หนิงอี้สัมผัสอย่างละเอียด…ถึงคำว่า ‘ทุกสรรพสิ่งหวนคืนสู่หนึ่งเดียว’ ที่เคียงกระบี่พูด
การต่อสู้เมื่อครู่ ร่างนิพพานของบุตรสู่ฟ้าแทบจะไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้เลย แต่ตอนที่เคียงกระบี่คุมร่างหนิงอี้คุมกระบี่ดรรชนีสังหารระยะไกล ทุกกระบี่จะแทงโดนจุดอ่อนของร่างนิพพานนั้น เม็ดข้าวดุจภูเขาใหญ่ ทุกกระบี่เข้าเป้า ทุกกระบี่ไม่อาจต้าน
นี่เป็นทักษะวิถีกระบี่ที่เหนือชั้นอย่างยิ่ง ทลายจุดอ่อน หนึ่งกระบี่สู้ล้านกระบี่ได้!
หนิงอี้ยังทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ในตอนนี้
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ชุดคลุมดำส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ดวงจิตนั้นอยู่ในร่างของเขาได้ไม่นานแล้ว…หนิงอี้รู้สึกได้ว่าบนยอดเขาที่ตนยืนอยู่ ตัวภูเขาสูงตระหง่านทอดยาวใต้เท้าเริ่มสั่นสะเทือน ใต้จวนภูเขาครามซ่อนคนใหญ่คนโตที่สุดยอดไว้
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจัง
ศัตรูสุดท้ายคนนั้นที่เคียงกระบี่พูดถึง คือยอดผู้บำเพ็ญที่ติดสิบอันดับแรกได้ในพันปีมานี้ของทั้งใต้ฟ้าต้าสุย
ใต้ฟ้าต้าสุย ในสี่เขตแดน ในนั้นมีเขาศักดิ์สิทธิ์สิบกว่าลูก ข้างนอกยังมีสำนักเต๋ากับเขาวิญญาณ
พันปีมานี้ กระแสใต้ฟ้า ปรากฏอัจฉริยะมาไม่รู้เท่าไร นับไม่ถ้วน
บนฟ้าภูเขาคราม ดวงตาสีทองสว่างเปิดขึ้นช้าๆ
ทั้งท้องนภามืดมิด สายฟ้าสว่างวาบ ยามราตรีกับยามกลางวันสลับกัน
แม่น้ำวายุแดงที่ล้อมเมืองต้าสุยเดือดพล่านขึ้นฟ้า ทุกหยดสั่นสะเทือนแยกกัน ดุเดือด รับการคงอยู่ที่ยิ่งใหญ่กว่าบุตรสู่ฟ้า การสั่นสะเทือนและปรากฏการณ์ของแม่น้ำล้อมเมืองสายนี้ จะเกิดขึ้นกับคนใหญ่คนโตที่มีสายเลือดราชวงศ์ยามเผยพลังบำเพ็ญออกมาอย่างแท้จริงเท่านั้น…และความภูมิใจที่สุดตลอดพันปีมานี้ของจวนขานฟ้าก็คือยอดผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่ได้รับการแต่งตั้งฉายา ‘ราชาเพลงปราชญ์’ คนนั้น
ได้รับแต่งตั้งฉายาเป็นราชาใต้ฟ้าต้าสุย นี่เป็นเกียรติยศสูงส่งเพียงใด
ราชาเพลงปราชญ์ท่านนี้ควรตายไปในคลื่นกาลเวลานานแล้ว เขาเก็บเสี้ยวดวงจิตไว้ในสุสานภูเขาคราม ในศึกสุดท้ายกับเคียงกระบี่ตอนนั้น ได้กดดันเคียงกระบี่เข้าไปในแดนเทวาเล็ก ความเป็นเทพเหือดแห้งในจุดปิดด่านบำเพ็ญ ทำให้เกิดปริศนาพันปีนี้
และเสี้ยวดวงจิตเขาได้ชนรุ่นหลังของจวนขานฟ้าเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง เลี่ยงไม่ให้ถูกกาลเวลากัดกิน
ตอนนี้ กฎเหล็กของต้าสุยปลดออกบนฟ้าเมืองหลวง ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องกดพลังบำเพ็ญอีก มาเยือนโลกได้อีกครั้ง
ภูเขาครามสูงตระหง่านโคลงเคลง เหมือนกำลังต้อนรับการมาของราชาเพลงปราชญ์
กลางฟ้าดิน ในระยะหลายลี้รอบภูเขาครามแห่งนี้ ในทะเลสาบจิตของทุกคนเกิดเสียงสั่นสะเทือนเหมือนเสียงกลองดังสนั่นขึ้นช้าๆ
ข้างนอกฝนตกหนัก หนาวเหน็บ
ทะเลสาบจิตเดือดพล่าน เพลงปราชญ์ชะล้าง
ในจวนภูเขาคราม ทุกคนหน้าซีดขาว ซูมู่เจอที่ปักดาบยืนอยู่มองไปทางยอดภูเขาครามด้วยสีหน้าจริงจัง
ต่อให้เป็นพลังบำเพ็ญของนางก็ยังไม่อาจต้านเพลงปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ได้…ความภูมิใจพันปีของจวนขานฟ้าคนนี้ ปรากฏมาอย่างแท้จริงแล้ว บรรพจารย์ของตนจะต้านไหวหรือไม่
เพลงปราชญ์นั้นดังกึกก้อง
มาพร้อมกับพายุฝน ตอนที่จะมาถึงเมืองหลวง คลื่นพลังไร้รูปขวางเพลงปราชญ์ไว้
เหมือนตำหนักวังมีคนยกแขนขึ้นจะปกป้องประชาชนของตน ทำให้เมืองแห่งนี้เงียบสงบ
ดังนั้นเพลงปราชญ์พลันเงียบลง ไม่รุกรานอีก
ต่อให้เป็นความภูมิใจพันปีของสำนักศึกษา เคยได้รับแต่งตั้งเป็นราชาในใต้ฟ้าต้าสุย พบจักรพรรดิไท่จงในตอนนี้ก็ต้องก้มหัวลง
ตอนนี้เอง
หนิงอี้หน้าขาวซีด เขายืนอยู่กลางสุดของสนามรบ กายและจิตที่ผ่านการเสริมความแกร่งจากที่ราบกระดูก เหมือนจะรับอำนาจคุกคามมหาศาลที่เหนือกว่าขอบเขตราชันดาราไม่ไหว เพลงปราชญ์น่าตกใจนั้นดังขึ้นในทะเลสาบจิตของเขา เข้ามาตรงๆ และรุนแรงกว่าทุกคนใต้จวนภูเขาคราม
กระบี่สามเล่มที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขากอดกันกลมช้าๆ เกิดเสียงดังชิ้งๆ
รูปปั้นหินใหญ่นั้นข้างหลังเด็กหนุ่ม ในที่สุดก็ไม่มีท่าทีเฉยชาเหมือนก่อนอีก เขาสะบัดฝุ่นขาวโพลนออก ความอดทนลับๆ และการปิดผนึกตลอดพันปีมานี้ ถูกสายฝนที่ตกจากฟ้าชะล้างออกไปพร้อมกัน สีดินโคลนของอาภรณ์ถอดออกช้าๆ เขายืนขึ้น สูงกว่าหนิงอี้ เดินหนึ่งก้าวมาหน้าเด็กหนุ่ม
เหมือนภูเขาขวางไว้ตรงหน้า ต่อให้ฟ้าถล่มก็จะไม่มีอันตรายใดๆ
ทะเลสาบจิตของหนิงอี้พลันสงบลง
เคียงกระบี่หมุนตัวกลับมา เสียงเขาบริสุทธิ์และอบอุ่น ในวันหนาวเหน็บดูเป็นกันเองมากเป็นพิเศษ
เคียงกระบี่พูดจากใจจริง
“หนิงอี้ ขอบใจ”
เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป
เคียงกระบี่ที่ใช้ความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์คืนชีพยื่นมือมาข้างหนึ่ง จับกระบี่บินที่บินและสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งรอบตัวเด็กหนุ่มสามเล่ม ใช้อีกมือลูบเบาๆ ลบรอยทั้งหมดของพวกเฉาผีจนหมดจด ใหม่เหมือนตอนแรก
กระบี่ล้ำค่าสามเล่มนี้ ตอนนี้ไม่สั่นไหวอีก เชื่อฟังเหมือนทารกนอนหลับในมือเคียงกระบี่
เคียงกระบี่กด ‘หนวดมังกร อักษรเต่าและรุ้งขาว’ ลงกลางระหว่างคิ้วหนิงอี้ที่กำลังมึนงง
บนฟ้าทะเลสาบจิตของหนิงอี้ปรากฏกระบี่ยาวเชื่อฟังสามเล่ม
“กระบี่สามเล่มนี้มอบให้เจ้า เจ้าจะให้คนอื่นก็ได้ จะใช้เองก็ได้” เคียงกระบี่พูดด้วยรอยยิ้ม “หากจะเดินเส้นทาง ‘หนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่ง’ ของข้า เช่นนั้นแค่กระบี่เดียวก็พอ หากจะเดินตามกระแสของกระบี่ซ่อนของคนนั้น คุมกระบี่ดรรชนีสังหาร ยิ่งมีกระบี่มากเท่าไร คุณภาพยิ่งสูงมากเท่าไร อานุภาพสังหารก็ยิ่งน่ากลัว…แต่สุดท้ายสองทางก็จะมาบรรจบกัน เดินถึงช่วงสุดท้าย ความจริงแล้วก็เหมือนกัน”
หนิงอี้ชะงักงัน เขาเม้มริมฝีปาก เงยหน้ามองฟ้า
ท้องนภาแห่งนี้ เดิมทีถูกกฎเหล็กกดไว้
ตอนนี้กฎเหล็กคลายออกแล้ว
เช่นนั้นฟ้าสูงเพียงใด
หนิงอี้เห็นร่างเงาเลือนรางยืนอยู่บนประกายสายฟ้าของชั้นเมฆ ร่างเงานั้นยืนอยู่สูงกว่าบุตรสู่ฟ้า ลูกนกและพายุคลั่งที่พัดผ่านท้องนภา สายฟ้าและหมอกที่ลอยล่องอยู่เหนือทุกชีวิต ล้วนอยู่ใต้เท้าราชาเพลงปราชญ์
“ศึกนี้…ผู้อาวุโสจะชนะหรือไม่” หนิงอี้พูดด้วยความยากลำบากเล็กน้อย เขาเหมือนนึกถึงเรื่องที่สำคัญมาก จึงรีบพูด “ข้ายังมีผลึกความเป็นเทพอีกเยอะเลย ข้าให้ท่านได้!”
ที่ราบกระดูกโคจรอย่างบ้าคลั่ง แต่มรดกของหัวใจราชสีห์ ตอนนี้แข็งอย่างกับหินแม่เหล็ก ไม่อาจละลายได้
ต่อให้มอบทั้งก้อนให้เคียงกระบี่ หนิงอี้ก็ยินดี!
แต่บุรุษเพียงแค่ตบบ่าเด็กหนุ่ม เงยหน้าขึ้นมองฟ้า
เคียงกระบี่พูดนิ่งๆ “เจ้าวางใจเถอะ ข้าต้องชนะ”
ผู้บำเพ็ญที่แกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคืนชีพมาอย่างสมบูรณ์แล้ว แขนเสื้อไม่มีสีดินเก่าอีก แขนเสื้อที่ขาดตรงนั้นก็ถูกติดเข้าไป กระบี่บินเล็กสิบสองเล่มข้างหลังเขาล้อมเป็นกงล้อ เหมือนโลกเล็กจากฟ้าดินหมุนวนช้าๆ เงากระบี่มากมายขมุกขมัว
เขาเงยหน้าขึ้น กงล้อกระบี่บินสิบสองเล่มรวมกันและแยกออก สุดท้ายมาตรงง่ามมือเขา
นี่เป็นเพียงด้ามกระบี่
กระบี่ที่แท้จริงลอยล่องว่างเปล่า
กระบี่เข้าใกล้ ไร้เงาไร้รูป
หนิงอี้จับปากกระบอกเสื้อและถอยไปเงียบๆ สองก้าว
…….
ค่ำคืนยาวนานจะสิ้นสุดลง ฝนตกหนัก บนภูเขาคราม หนึ่งกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า
รอบๆ เมืองต้าสุย สายน้ำวายุแดงระเบิดสายน้ำเชื่อมฟ้าไม่หยุด หลังหมอกกระจายก็พากันตกลงมา
บนฟ้าภูเขาครามมีเลือดสีแดงอมทองสาดกระจายลงมา ถูกปราณกระบี่ฟันขาด เลือดของราชาเพลงปราชญ์เดือดพล่านดุจเปลวเพลิง ร่างนิพพานที่แทบจะสมบูรณ์ยังคงต่อต้านจิตสังหารสุดยอดของเคียงกระบี่ไม่ไหว
ปราณกระบี่มากมายตกลงมาสาดกระเซ็น ต้นไม้โบราณของทั้งภูเขาครามยกขึ้นจากพื้น ลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน เหมือนหมื่นกระบี่ออกจากเขา หวนคืนสู่หนึ่งเดียว
การต่อสู้บนฟ้าดำเนินไปจนถึงช่วงฟ้าสาง
สายฟ้าบนเมฆดับลง
แสงสว่างตกลงบนพื้นดิน
เหมือนผ่านไปนานมาก…แต่ความจริงไม่ได้นานเท่าไร
ศึกเทพเซียนครั้งนี้ ต่อให้เป็นไข่มุกเชื่อมสวรรค์ในเมืองหลวงต้าสุยก็ไม่อาจจับภาพที่แท้จริงได้
แต่สมาชิกสามกรมที่ดูศึกนี้ เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
ศึกนี้…ใครชนะกันแน่
ขุนนางชราที่ง่วงงุนจะหลับเงยหน้ามองฟ้า มั่นใจว่าสิ้นสุดยามราตรีแล้ว แสงสว่างส่องมาจากฟ้าไกล…เขาเดินออกมาจากวัง รู้บทสรุปทั้งหมดแล้ว ขี้เกียจมองศึกเทพเซียนในไข่มุกเชื่อมสวรรค์ ตอนนี้สิ้นสุดค่ำคืน ฟ้าสางแล้ว เช่นนั้นก็ถึงเวลาเริ่มบางอย่าง
เขานำกระดาษสีทองสว่างจ้ามาจากแขนเสื้อใหญ่
สมาชิกสามกรมที่เห็นภาพนี้เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างรุนแรงขึ้นในใจ
ในสามกรม มีผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงรู้การคงอยู่ไพ่ตายของจวนขานฟ้าว่าเป็นราชาเพลงปราชญ์ในสุสานจวนภูเขาคราม ความภูมิใจที่ได้รับแต่งตั้งในพันปีมานี้ของสี่สำนักศึกษามีพลังบำเพ็ญสูง ชื่อเสียงเลื่องลือมาจนถึงตอนนี้ ผู้บำเพ็ญของทั้งใต้ฟ้าต้าสุย วัดกันที่กำลังรบและความสำเร็จ ไม่ว่าจะศิลาจารึกใดล้วนมีที่ยืนของราชาเพลงปราชญ์!
ศึกเทพเซียนบนยอดภูเขาคราม ในไข่มุกเชื่อมสวรรค์เผยมาเพียงภาพเลือนรางบางส่วน
ไม่อาจตัดสินได้ว่าใครแพ้ใครชนะ…
พวกเขามองไปที่ขุนนางชราคนนั้น
ขุนนางชราที่ง่วงงุนจะหลับกระแอมไอ หัวเราะอย่างเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล “ให้คุณชายทุกท่านรอนานแล้ว…เรายังไม่รีบประกาศคำสั่งที่สอง”
แววตาเขาไม่ง่วงอีกแต่กลายเป็นเย็นยะเยือกและเฉียบคม กวาดสายตามองทุกคน
“เรามาคุยกันเรื่องโทษของคุณชายทุกท่านก่อนดีกว่า!”
……………………………