ตอนที่ 76 คำพูดคนชราในหอบัว (rewrite)
เสียงฟ้าผ่าข้างนอกเมืองหลวง ดังในตรอกเล็กดูน่าอึดอัดและห่างไกล
บุรุษที่เดินออกมาจากในโรงเตี๊ยม บิดเอวขี้เกียจ ถือร่มกระดาษน้ำมันที่ประทับดอกไม้ขาว กางร่มแล้วก็เดินเข้าตรอกเล็ก เส้นทางในเมืองหลวงดูเงียบผิดปกติในค่ำคืนมืด
เขาเดินหน้าไปช้าๆ แววตามีความซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกในครึ่งเดือนนี้ที่เขาออกจากโรงเตี๊ยม
เขาจะไปพบคนที่สำคัญมาก
….
เส้นทางแคบยาว สองร่างเงาชนกันไม่ทันตั้งตัวตรงจุดเลี้ยว
เกิดเสียงดังตึง
ถ้วยน้ำชาตกลงพื้นแตก หมอกร้อนกระจาย หญิงรับใช้ถือเครื่องชารีบย่อตัวลง เก็บเศษแก้วแตกบนพื้นด้วยอาการลนลาน
“เสี่ยวฉา…” ร่างเงาสูงใหญ่มองลงมา เขายิ้มพลางช่วยเก็บเครื่องชา ดมกลิ่นหอมจากเส้นผมยาวของสตรีข้างกายเบาๆ พูดอย่างนุ่มนวล “อาจารย์พักอยู่ในหอรึ”
เสี่ยวฉารวบจอนผมด้านข้าง ไม่กล้ามององค์รัชทายาทข้างหลัง แต่ขานรับอย่างนุ่มนวล
องค์รัชทายาทเก็บเศษแก้วหลายชิ้นขึ้นมา เขาลูบศีรษะเด็กสาวพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “อยู่หอบัวจนเบื่อแล้วรึถึงได้มาหาข้า เจ้ารู้หรือว่าปกติข้าพักอยู่ที่ใด”
เสี่ยวฉาหน้าแดง มองบุรุษลุกขึ้นยืน เดินเลี้ยวผ่านเส้นทางหายลับไปในสายตา
…..
หยุดเท้าลง
องค์รัชทายาทไม่ได้ผลักประตูบานนั้นในหอบัว
เขาแบสองมือ เพ่งมองเศษแก้วพวกนั้นที่นอนอย่างสงบนิ่งกลางฝ่ามือ ฝ่ามือตนมีเลือด แต่คราบเลือดแห้ง ไม่ใช่เศษแก้วบาด
อาจารย์ชอบดื่มชา
ดังนั้นหญิงรับใช้คนนี้จึงชื่อเสี่ยวฉา
แต่ถ้วยชาในมือเขา เสี่ยวฉายกมา ไม่ระวังตกลงพื้นจนแตก เป็นชาร้อน…ดูท่าเมืองหลวงวันนี้คงไม่ค่อยสงบ
แม้แต่อาจารย์ยังไม่มีใจดื่มชาหรือ
องค์รัชทายาทก้มหน้าลง เขาไม่รู้ว่าคนชราของสามกรมตอนนี้มีท่าทีแบบใด จะนั่งไม่ติดพื้นหรือกุมชัยชนะอยู่ในมือ แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงที่แม่น้ำวายุแดง เขาก็ไม่อาจนั่งนิ่งดูดายเหมือนไม่เห็นในโรงเตี๊ยมได้แล้ว
เสียงระฆังนั้นจากตำหนักบิดาตนแผ่คลุมทุกพื้นที่ของทั้งเมืองหลวงอย่างกว้างขวาง กฎต้าสุยที่กดอยู่เหนือศีรษะทุกคนถูกเขาปลดออกกับมือ…นี่หมายความว่ายอดฝีมือนิพพานคนนั้นที่เหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงแม่น้ำวายุแดง ใช้กำลังได้ทั้งหมด พายุฝนภูเขาครามไกลๆ สั่นไหว คลื่นลมทั้งหมดมาจากที่นั่น การต่อสู้ของสำนักศึกษามาถึงช่วงสุดท้าย และเจ้าของเมืองหลวงยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเงียบๆ
เรื่องราวเริ่มพัวพันมาถึงตน
องค์รัชทายาทมองหอบัวด้วยสีหน้าซับซ้อน
หลี่ไป๋จิงกับหลี่ไป๋หลินทั้งสองคน ตอนนี้อยู่เมืองหลวง บทสรุปสุดท้ายของการต่อสู้สำนักศึกษาวันนี้จะส่งผลกระทบถึงราชสำนักทั้งใต้ฟ้าต้าสุย…เขาไม่มีใจแก่งแย่งชิงกับรุ่นเยาว์สองคนนั้น แต่ภายภาคหน้าเห็นปัญหาพวกนั้น เขาก็ต้องสะสางให้เรียบร้อย
องค์รัชทายาทผลักประตูบานนั้นเข้าไปอย่างไม่ลังเลอีก
ฝนข้างนอกตกหนัก ภายในหอบัวไม่เปียก อาจารย์อยู่ชั้นสองของหอ หน้าต่างถูกลมพัดจนสั่นไปมา ผ้าม่านปลิวไสวไปรอบๆ
องค์รัชทายาทปิดประตูไม้
หยวนฉุนไม่มองเขา แต่พิงหน้าต่าง มือข้างหนึ่งยื่นไปนอกหน้าต่าง หยดน้ำฝนสีทองอมแดงตกใส่มือเขา ใบหน้าคนชราสงบนิ่งและเฉยชา ประกายสายฟ้าวูบผ่าน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นที่เส้นขอบฟ้า ทำให้จอนผมและเคราเขาชุบด้วยสีขาวเงินบางๆ
“อาจารย์…” องค์รัชทายาทที่หุบร่มวางร่มพิงมุมกำแพงของหอบัว ไอน้ำบางๆ กระจาย ข้างนอกเป็นวันหนาวจัด เขากลับสวมเพียงเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ ในนั้นเป็นผ้าบางสีขาวเปิดอก ดูเหมือนไม่อยู่กับร่องกับรอยและไม่สง่างาม เพียงแต่บุรุษในตอนนี้มีสีหน้าจริงจังมาก
เขาแบมือออก ตรงฝ่ามือเป็นคราบเลือดด่าง
องค์รัชทายาทพูดอย่างจริงจัง “กฎเหล็กต้าสุย ไม่ควรถูกปลดออกเช่นนี้”
หยวนฉุนอยู่ชั้นสองของหอบัว มองฝนตกหนักข้างนอก
เบาะกลมใต้ตัวคนชราถูกละอองฝนทำให้เปียกชื้นไปสามฉื่อรอบๆ แต่มีเพียงในสามฉื่อที่สายลมไม่พัด ฝนไม่เปียก ทั้งชั้นสองของหอบัวเกิดเป็นสถานการณ์ที่ผิดแปลก
กฎเหล็กของต้าสุยจำกัดพลังบำเพ็ญของทุกคนในเมืองหลวง
นี่ไม่ใช่ป้ายคำสั่งจากฝ่าบาทไท่จง
แต่ตอนที่จักรพรรดิองค์แรกบุกเบิกสร้างเมืองที่นี่ ก็ได้วางค่ายกลระดับสูงสุดไว้ สืบทอดกันมาทุกรุ่น มีกรอบ กฎหมายและลายลักษณ์อักษรมากมายผูกกับจักรพรรดิต้าสุยรุ่นก่อนทุกท่าน
จะปลดป้ายคำสั่งนี้ออกไม่ได้ง่ายๆ!
กฎเหล็กต้าสุยกดอยู่เหนือศีรษะทุกคน ต้าสุยสืบทอดมาเป็นพันเป็นหมื่นปี ต่อให้เป็นจักรพรรดิองค์แรกก็ไม่ปลดกฎเหล็ก…แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นพิเศษ
อย่างเช่นท่านนี้ในปัจจุบัน ต่อให้วางในประวัติศาสตร์ยาวนานของต้าสุย ก็ยังเป็นจักรพรรดิต้าสุยที่ปกครองหนึ่งดินแดน
เมื่ออำนาจรวมถึงจุดสูงสุด เขาจะมองข้ามกฎของคนรุ่นก่อนได้ ความจริง ไท่จงปลดกฎเหล็ก ก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่หลังจากจักรพรรดิองค์แรก ป้ายคำสั่งกฎเหล็กที่มอบหมายให้คนอื่นรักษานี้ ไม่มีจักรพรรดิองค์ใดปลดออกอย่างไม่เกรงกลัวเหมือนอย่างไท่จงตอนนี้
กฎเหล็กที่จำกัดขอบเขตนิพพาน…ช่วยในยามที่จักรพรรดิอ่อนแอได้อย่างมาก ทว่าหลังจากเขาเติบใหญ่แล้วกลับกลายเป็นการจำกัดอย่างหนึ่ง
จักรพรรดิองค์แรกเพ่งมองประชาชนของตน มดปลวกเช่นกัน จักรพรรดิรุ่นหลังก็เช่นกัน
การใช้อำนาจจักรพรรดิปลดจำกัดของกฎเหล็กออก เช่นนั้นก็มองว่าเป็นการยั่วยุจักรพรรดิองค์แรกได้
การควบคุมกฎเหล็กของทุกรุ่น แบ่งแยกออกทีละชั้น จักรพรรดิเพียงกุมไว้ส่วนหนึ่ง และกุญแจสุดท้ายก็มอบให้กับ ‘หอบัว’
หยวนฉุน อาจารย์ของตนคือเจ้าของหอบัวในตอนนี้
องค์รัชทายาทมาที่นี่ เขายืนอยู่ชั้นหนึ่ง มองคนชราบนชั้นสองไกลๆ
คนชรามีสีหน้าเหม่อลอย
เขามองฝนตกหนักนอกหน้าต่าง ตนเป็นคนจำนวนไม่มากที่รู้บทสรุปสุดท้ายในเมืองหลวง แต่ก็ยังมองดูด้วยความไม่สบายใจ
หยวนฉุนพูดเสียงเบาและแหบแห้ง “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเสด็จมาก่อนแล้ว”
องค์รัชทายาทเม้มริมฝีปาก
ก่อนหน้านี้…ตนรู้แค่ว่าไท่จงไม่ออกจากตำหนักเกือบสิบวัน อยู่ในนั้นยาว เช่นนั้นคำว่าก่อนหน้านี้จากปากคนชรา คือเมื่อใดกัน
“การปลดกฎเหล็กเป็นมติของฝ่าบาท ท่านอยากเห็นบทสรุปของเรื่องนี้…แต่ความจริงท่านรู้บทสรุปของเรื่องนี้แล้ว” คนชราดึงฝ่ามือแห้งกลับมา พูดอย่างสับสน
“บางครั้งข้าก็คิดว่าในแดนสี่หมื่นลี้ต้าสุย ไม่ว่าจะใต้ดวงตะวันร้อนระอุหรือในยามราตรีมืดมิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ฝ่าบาททรงรั้งหมด”
องค์รัชทายาทมองอาจารย์ของตน
“บทสรุปของศึกนั้นที่ภูเขาครามจบลง บทสรุปของศึกสำนักศึกษาจะออกมา” คนชราพูดเสียงเบา “เดิมทีข้าคิดว่าฝ่าบาทอยากดูศึกนั้น แต่ตอนนี้ ท่านก็ยังไม่มีท่าทีจะออกจากวังเลย
ไม่ว่าจะ ‘เคียงกระบี่’ ของถ้ำกวางขาว หรือ ‘ราชาเพลงปราชญ์’ ของจวนขานฟ้า พวกเขาไม่ทำให้ฝ่าบาทสนใจดูการต่อสู้ได้”
คนชรายิ้ม ก่อนพูดปลง “มานึกดูดีๆ ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…ใต้ฟ้าต้าสุยตลอดพันปีมานี้ ปรากฏอัจฉริยะมากมาย แต่คนที่มีคุณสมบัติที่จะอยู่อันดับหนึ่งที่สุดก็คือองค์จักรพรรดิในปัจจุบัน แม้ย้อนไปพันปีก่อน กระทั่งมองไปพันปีข้างหน้า ก็อาจจะเกิดบทสรุปเหมือนกัน”
หยวนฉุนลุกขึ้นช้าๆ ปิดหน้าต่าง
ค่ำคืนมืดมิดยาวนาน ท่ามกลางฝนตกหนัก แสงสว่างท้องนภาภายในหอบัวดับลง
เงียบสงัด
“แม้แต่เผยหมินในตอนนั้นยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่าบาท” คนชราก้มหน้าลง พูดงึมงำ “การต่อสู้เด็กน้อยขององค์ชายทั้งสองนั้น จะมีประโยชน์อะไร คนที่เอาชนะฝ่าบาทได้มีเพียงตัวฝ่าบาทเอง”
องค์รัชทายาทยืนอยู่ในเงามืดของหอ
เขาฟังคนชราพูดพึมพำ
“กองกำลังของสามกรมเคลื่อนไหวแล้ว…สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ตำหนักวัง จวนภูเขาคราม…”
“คำสั่งที่สอง…” เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
“การชำระล้างและปราบปรามครั้งนี้…หนักหนานัก”
องค์รัชทายาทกำหมัดช้าๆ ขมวดคิ้วขึ้น
เศษแก้วแตกขยายบาดแผลกลางฝ่ามือ เลือดซึมออกมา หยดลงพื้น
……
“คำสั่งที่สอง…จะออกมาเมื่อใด”
นอกตำหนักวังต้าสุย
สมาชิกสามกรมที่มาที่นี่มองประกายสายฟ้าบนฟ้าไกล สีหน้าลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย ในความคิดตน การต่อสู้ของสำนักศึกษาเริ่มขึ้นในคืนนี้ สามสำนักศึกษาจะเอาชนะสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวได้อย่างไม่ต้องกังวลเลย
การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำวายุแดงอธิบายว่าจวนขานฟ้าใช้ไพ่ตายที่ว่านั่นแล้ว ส่วนฝ่าบาทปลดกฎเหล็กของเมืองหลวงต้าสุย ทำให้เขาโล่งอกกันยกใหญ่
เมื่อยอดฝีมือขอบเขตนิพพานขยับมือเท้าได้เต็มที่ สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวจะเอาอะไรมาสู้
แต่ตอนนี้…
ผ่านมานานขนาดนี้ยังจัดการไม่ได้
คำสั่งที่สองที่กำลังจะมาถึงอย่างรวดเร็วก็ชักช้าไม่มา ทว่าคนใหญ่คนโตของสามกรมเห็นสหายที่รู้จักกันดีนั่งรถม้ากันมาไม่ขาด ซูมู่ยอดผู้บำเพ็ญดาราชะตาของสำนักเต๋า เทียนอีผู้คุมกฎของภูเขาวิญญาณ พวกนี้เป็นคนที่ไม่สุงสิงกับใครในกรมผู้คุมกฎ…พวกเขาไม่ร่วมการต่อสู้แย่งชิงใด เหตุใดถึงมาตำหนักวัง มาดูท่าทีของฝ่าบาทกัน
คนที่มารอที่นี่ก่อนนานแล้วสังเกตเห็นความผิดปกติ จะไปจากที่นี่เงียบๆ ก็ถูกพูดโน้มน้าวห้ามไว้อย่างนุ่มนวล ขวางไว้หน้าทางออก
ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีสมาชิกสามกรมบางคนมีสีหน้าดูเหมือนท้อแท้บ้างก็เหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงบีบมือแน่น ฝ่ามือมีเหงื่อซึมจนเปียกแขนเสื้อหมด คืนนี้นอนไม่หลับ ยังไม่ทันขยับตัวก็ถูกผู้คุมกฎของสำนักเต๋ากับเขาวิญญาณมาหา ให้พวกเขาสวมอาภรณ์อย่างไม่ช้าไม่เร็ว พามาหน้าตำหนักวัง
เหตุการณ์เช่นนี้ดูเงียบสงบแต่น่าขำ ไร้สาระและตลก เหมือนกำแพงสูงอุดไว้ ตนโดดไปในนั้น พบว่าตนตกมาในคุกออกไปไม่ได้อีก
เมืองหลวงเป็นคุกเช่นนี้มาตลอด
ท่ามกลางสายตาของทุกคน
ขุนนางชราคนนั้นออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ดูเหมือนจะประกาศข่าวดีอะไรบางอย่าง
ทุกคนเรียกสติกลับมา อกสั่นขวัญแขวน รอคำสั่งที่สองจากในวัง
ขุนนางชราพูดเสียงเบา “ฝ่าบาทอยากเชิญทุกคนให้ดูของบางอย่าง”
เขานำไข่มุกออกมาเม็ดหนึ่ง
ขุนนางชราเอ่ยเสียงเบา “รบกวนท่านซูมู่และท่านเทียนอี เปิดไข่มุกเชื่อมสวรรค์นี้แทนพวกเราด้วย”
ผู้คุมกฎดาราชะตาของสำนักเต๋าและเขาวิญญาณมองหน้ากัน ก่อนเดินมาหน้าขุนนางชรา ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปพร้อมกัน กดที่ข้างไข่มุก ส่งแสงดารามหาศาลเข้าไป สะท้อนภาพในไข่มุกเชื่อมสวรรค์ออกมา
ฝนตกหนัก บนฟ้าตำหนักวังเกิดภาพที่รวมขึ้นจากแสงดารา
ลืมตาขึ้นกลางฟ้ายามราตรีของภูเขาคราม
เชื่อมสวรรค์ในไข่มุกเชื่อมสวรรค์หมายถึงการใช้มือและตาเชื่อมสวรรค์…คนที่ใช้มือและตาเชื่อมสวรรค์ในเมืองหลวงแห่งนี้ได้อย่างแท้จริงมีเพียงคนเดียว
ผู้มีอำนาจหนุ่มและคนชราของสามกรมหน้าซีดขาว มองภาพที่สะท้อนมาจากไข่มุกเชื่อมสวรรค์
กลางหมอกฝนตกหนัก เด็กหนุ่มที่เหยียบยอดภูเขาคราม เลี้ยงปราณกระบี่ กับบรรพจารย์สำนักศึกษาที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แม่น้ำวายุแดง ระหว่างสองคนพัวพันกันไม่หยุด บอกว่าพัวพันกันไม่หยุด แต่ความจริงเรียกว่าเหยียบย่ำอยู่ฝ่ายเดียวก็ยังไม่เกินจริงไปเลย
เสียงของบุตรสู่ฟ้าดังก้องนอกตำหนักวัง
“….กล้าสู้กับข้าซึ่งหน้าหรือไม่!”
สิ่งที่ตอบเขามีเพียงคำเดียว
“ดี!”
และยังมีหมัดนั้นที่กระแทกสายฝนบนฟ้าภูเขาครามไหลย้อนกลับ
บุตรสู่ฟ้าถูกชกร่างแหลกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยหมัดนี้
ภูเขาครามเงียบสงัด
สามกรมเงียบเช่นกัน
ในพวกเขามีคนจ้องร่างเงาเด็กหนุ่มที่ยืนบนยอดภูเขาครามกลางหมอกไข่มุกเชื่อมสวรรค์
ทั้งเมืองหลวงรู้นามของเขา
หนิงอี้
อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน หนิงอี้!
เสียงแหบแห้งดังขึ้นกลางความเงียบสงัด
“ละครเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น…”
ขุนนางชราโค้งตัวประสานมือคารวะ พูดด้วยความนุ่มนวลมาก “ขอเชิญคุณชายทุกท่านชมเทพเซียนต่อสู้กันให้สนุก”
…………………………