ตอนที่ 135 หักมุม (1)

ตอนที่ 135 หักมุม (1)

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินสิ่งที่ฉินมู่หลานพูด จึงลองนึกถึงหน้าตาของเหยาอี้หนิงอย่างถี่ถ้วน แต่เขากลับคิดว่าตนไม่มีอะไรเหมือนเหยาอี้หนิงเลย “มู่หลาน ผมดูดีกว่าเหยาอี้หนิงมากนะ เขาเหมือนผมตรงไหนกัน”

หาได้ยากที่ฉินมู่หลานจะเห็นท่าทางภูมิใจของเซี่ยเจ๋อหลี่แบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ใช่ๆๆ คุณหล่อกว่าตั้งเยอะ ที่ฉันบอกก็คือว่าดูคล้ายกันนิดหน่อย เหยาอี้หนิงไม่ได้หล่อเท่าคุณหรอก คุณหล่อที่สุดแล้ว”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนี้ สุดท้ายเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง

แต่เขาก็นึกถึงคำพูดของเธอด้วย “ดูเหมือนว่าเราจะต้องลองตรวจสอบเรื่องของตระกูลเหยาในเมืองหลวงสักหน่อยแล้ว ว่าเคยมีเด็กหญิงหายตัวไปหรือเปล่า”

ฉินมู่หลานพยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดขึ้น “ใช่ ต้องลองตรวจสอบให้ละเอียด”

ขณะที่พูด เธอก็นึกถึงเจี่ยงสือเหิง “อาหลี่ ฉันเขียนจดหมายให้พ่อบุญธรรมช่วยตรวจสอบเรื่องตระกูลเหยาแล้วนะคะ พ่อบุญธรรมของฉันเป็นคนปักกิ่ง บางทีอาจรู้เรื่องของตระกูลเหยามากพอสมควร”

แต่หลังจากที่เอ่ย เธอก็เริ่มไม่แน่ใจอีกครั้ง เพราะเจี่ยงสือเหิงไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ยังหนุ่ม หลังจากกลับมาก็โดนส่งตัวไปอยู่ที่ซานตง บางทีอาจไม่ได้รู้เรื่องที่ปักกิ่งมากมายขนาดนั้น

แต่ถึงอย่างไรเขาคงทราบมากกว่าเธอกับเซี่ยเจ๋อหลี่แน่นอน ฉินมู่หลานจึงยังคิดที่จะเขียนจดหมายไปถาม

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้ ก็อดที่จะพูดเสียไม่ได้ “ส่วนผมจะให้สหายในกองทัพสองคนช่วยสืบเรื่องตระกูลเหยาในเมืองหลวงด้วย มีหูมีตารอบด้าน สุดท้ายอาจหาเบาะแสได้”

ทั้งสองได้เริ่มวางแผน และเริ่มเขียนจดหมาย

และอีกด้านหนึ่ง เหยาอี้หนิงก็โดนเจียงอันปังเรียกไปพบที่ห้องทำงาน

ตอนแรกเหยาอี้หนิงคิดว่าผู้บัญชาการอยากจะคุยเรื่องงานกับเขา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะนำรูปถ่ายออกมา

เหยาอี้หนิงเห็นภาพถ่ายนั้นก็จำได้ทันทีว่าเป็นภาพถ่ายที่เขาฝากให้ภรรยาเอาไปส่งให้ในวันนี้

เกิดอะไรขึ้น ทำไมภาพถ่ายใบนี้ถึงมาอยู่บนโต๊ะของผู้บัญชาการได้ ภาพถ่ายยังไม่โดนส่งไปอย่างนั้นหรือ เพราะอะไรกัน?

ตอนนี้ในใจของเหยาอี้หนิงเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะมองเจียงอันปังด้วยสายตาประหลาดใจ

เจียงอันปังจ้องมองเหยาอี้หนิงก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เหยาอี้หนิง ฉันขอถามหน่อย ทำไมนายถึงอยากจะส่งรูปนี้กลับไปที่บ้าน แล้วยังวงกลมรอบเซี่ยเจ๋อหลี่แบบเจาะจงด้วย”

“ท่าน ผบ.ครับ ตอนผมวง ผมบังเอิญวงผิดไป จริง ๆ แล้วจะวงรูปตัวเอง แล้วส่งรูปนี้กลับไปที่บ้านให้คุณปู่กับคุณย่าดูตอนกลับไปบ้านช่วงปีใหม่ ครอบครัวผมเห็นว่าไม่ค่อยได้กลับไปบ่อย ผมจึงคิดว่าจะส่งรูปกลับไปให้ดู ผู้อาวุโสทั้งสองจะได้มองรูปผมได้ตอนที่คิดถึง”

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เจียงอันปังก็จ้องมองเหยาอี้หนิงเขม็งแล้วเอ่ยถาม “เป็นอย่างนั้นจริงเหรอ?”

“ท่าน ผบ.ครับ เป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่อย่างนั้นผมจะส่งรูปกลับไปที่บ้านเพื่ออะไรกัน”

เจียงอันปังออกปากห้ามเหยาอี้หนิงที่เตรียมจะยกมือสาบาน แล้วเอ่ยต่อ “เอาเถอะ ต่อไปอย่าทำแบบนั้นอีก ถ้าอยากส่งรูปให้ผู้อาวุโสที่บ้านดูเพื่อให้หายคิดถึง นายก็ถ่ายรูปตัวเองแยกไปได้ แทนที่จะส่งรูปรวมของเพื่อนร่วมทีมไปด้วย นายทำแบบนี้ ถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลลับส่วนตัวของเพื่อนร่วมทีม”

เหยาอี้หนิงได้ยินคำพูดนี้ จึงรีบพยักหน้าแล้วตอบรับทันที “ท่าน ผบ.ครับ ผมเข้าใจแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว ครั้งนี้ผมประมาทเกินไปครับ”

“เอาเถอะ นายต้องจำใส่ใจไว้ ว่าไม่ควรทำให้ข้อมูลของใครในทีมรั่วไหลออกไป”

“ครับ”

เหยาอี้หนิงเอ่ยตอบจากใจจริง

หลังจากนั้น เจียงอันปังก็พูดอะไรบางอย่างกับเหยาอี้หนิงอีกครั้ง แล้วปล่อยเขากลับไป

เหยาอี้หนิงคิดแล้วคิดอีก แต่แล้วก็อดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเจียงอันปัง “ท่าน ผบ.ครับ แล้วรูปนั่น…”

“รูปนี้เอาไว้ที่ฉัน นายกลับไปเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหยาอี้หนิงจึงไม่เอ่ยพูดอะไรอีก แล้วเดินจากไปทันที

จนกระทั่งเหยาอี้หนิงออกจากห้องทำงานของเจียงอันปัง สีหน้าของเขาก็มืดมนลงทันทีเมื่อคิดว่าไม่ใช่เพียงรูปถ่ายที่ส่งไปไม่สำเร็จ ตัวเองก็เกือบโดนสงสัยด้วย

เมื่อคิดได้ดังนั้น เหยาอี้หนิงก็รีบมุ่งตรงกลับไปที่อาคารพักอาศัยของครอบครัวทันที

เริ่นม่านลี่เห็นสามีกลับมา จึงอดจะเอ่ยถามไม่ได้ “อี้หนิง ทำไมวันนี้คุณกลับมาเร็วจังคะ กินข้าวหรือยัง?”

เหยาอี้หนิงนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเองในห้องทำงานของเจียงอันปัง และเอ่ยด้วยสีหน้ายับยู่น่าเกลียด“เริ่นม่านลี่ ช่วยบอกผมหน่อยว่าคุณไปทำอะไรมา แค่รูปถ่ายใบเดียวยังส่งไม่ได้”

เริ่นม่านลี่ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกตกใจ

“เหยาอี้หนิง ที่คุณพูดหมายความว่าไง วันนี้ฉันเข้าเมืองไปเพื่อส่งรูปถ่ายให้คุณเลยนะ ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้”

เหยาอี้หนิงได้ยินเช่นนี้ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ถ้าอย่างนั้นผมเข้าใจอะไรผิดเหรอ รูปถ่ายที่คุณออกไปส่งตอนเช้า ตอนนี้มันไปอยู่บนโต๊ะของ ผบ. เจียงแล้ว เขาเรียกผมไปคุย แล้วตักเตือนผมไปหนึ่งรอบ”

ขณะพูด เหยาอี้หนิงก็เล่าบทสนทนาของเขากับเจียงอันปังให้ฟัง

เริ่นม่านลี่ได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่คิดว่าเจียงอันปังทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ “ผบ. คุณเป็นอะไรมากไหมคะเนี่ย เรื่องแค่นี้ก็เก็บมาเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราจะไปเปิดเผยข้อมูลอะไรได้”

“คุณหยุดพูดเถอะ คุณพูดถึง ผบ.แบบนั้นได้เหรอ”

เริ่นม่านลี่ยังคงคิดว่าตนพูดถูก “แล้วฉันพูดผิดตรงไหน มันก็แค่รูปถ่าย มีอะไรให้ต้องจริงจังขนาดนั้นเหรอ”

เมื่อเห็นว่าเริ่นม่านลี่ยังคงบ่นอุบ เหยาอี้หนิงก็รู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมา แต่เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องพวกนั้น “ตอนที่คุณส่งรูปถ่ายมีเหตุการณ์อะไรแปลก ๆ บ้างไหม?”

“ก็ไม่นี่คะ”

เริ่นม่านลี่ส่ายหัว

“ตอนนั้นพนักงานก็รับซองจดหมายพร้อมรูปถ่ายของฉันไปแล้ว กำลังรอหน่วยจัดส่งมารับของไป”

“แปลกจริง ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ แล้วทำไมถึงได้มีปัญหาได้”

นี่เป็นสิ่งที่เหยาอี้หนิงไม่เข้าใจ

และในตอนนั้นเอง เริ่นม่านลี่ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“จริงสิ ฉันส่งรูปถ่ายแล้ว พอออกมาจากที่ทำการไปรษณีย์ก็เข้าไปคุยกับฉินมู่หลาน หรือว่าหล่อนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คะ?”

ตอนนี้เริ่นม่านลี่รู้สึกสงสัยนิดหน่อย และคิดว่าฉินมู่หลานดูน่าสงสัยมาก

เหยาอี้หนิงได้ยินเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วฉับ “หรือว่าฉินมู่หลานจะเจออะไรบางอย่างเข้า?” แต่ไม่นานนัก เขาก็คิดปฏิเสธอีกครั้ง ฉินมู่หลานคนนั้นที่มาจากชนบทจะหลักแหลมได้ขนาดนั้นเลยหรือ

เริ่นม่านลี่ยังคงสงสัยฉินมู่หลาน

แต่เหยาอี้หนิงไม่ต้องการอยู่ที่นี่แล้ว จึงหันไปพูดกับเริ่นม่านลี่ทันที “ต่อไปคุณไม่ต้องสนใจเรื่องรูปถ่ายแล้ว เดี๋ยวผมให้คนส่งตรงไปที่เมืองหลวงเอง”

เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ตอนแรกคิดว่าหากส่งไปรษณีย์ไปจะสะดวกกว่าการให้คนเอาไปส่งที่เมืองหลวง

เมื่อเอ่ยจบ เหยาอี้หนิงก็หันมองเริ่นม่านลี่แล้วพูดขึ้น “ผมยังมีธุระต้องจัดการ ยังไม่กิน คุณกินก่อนเถอะ

“เดี๋ยวก่อน คุณจะไปไหน?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เป็นเรื่องถึงผบ. แล้วไง ทีหลังเลือกคนปฏิบัติกิจแทนตัวเองก็เลือกให้มันดีๆ นะเหยาอี้หนิง วางแผนยังไงให้ตัวเองโป๊ะเอง

ไหหม่า(海馬)