ตอนที่ 109 อยากจะคิดการใหญ่

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 109 อยากจะคิดการใหญ่

หลินม่ายยกนิ้วให้กับผู้ช่วยทั้งสองอย่างยินดี “ทุกคนเก่งมาก ขนาดมีคู่แข่งแบบนี้ยังขายของหมดก่อนเวลาได้อีก มีพรสวรรค์นะเนี่ย!”

โจวฉายอวิ๋นยกเตาเข้ามาพร้อมเอ่ยต่อ “พรสวรรค์อะไรกัน ก็ร้านข้าง ๆ ทั้งลดแลกแจกแถม ไม่ทันไรก็ขายหมด หลังจากนั้นลูกค้าก็เลยมาซื้อของเราไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อเห็นว่าของถูกขายไปจนหมดแล้ว หลินม่ายก็ให้เสี่ยวลี่เลิกงานได้ ขณะที่เธอและฉายอวิ๋นก็เริ่มเข้าครัวเพื่อเตรียมของต่อด้วยกัน

โจวฉายอวิ๋นรับหน้าที่ล้างหม้อนึ่งที่ใช้เสร็จแล้ว ถังไม้ อุปกรณ์ต่าง ๆ บนโต๊ะ ส่วนหลินม่ายก็เริ่มเอาปอดหมูกับเครื่องในต่าง ๆ ที่อยู่ในอ่างมาล้างทำความสะอาด

เครื่องในหมูเป็นวัตถุดิบที่ต้องทำความสะอาดอย่างดีถึงจะสามารถขจัดกลิ่นคาวที่ไม่พึงประสงค์ออกไปได้ ถ้ายังมีกลิ่นเหล่านี้อยู่ลูกค้าก็จะไม่อยากกิน

โจวฉายอวิ๋นเป็นคนช่างพูด แม้ว่ามือจะกำลังทำงานอยู่ก็ยังสามารถเล่าเรื่องระหว่างขายของที่ร้านตอนหลินม่ายไม่อยู่ให้ฟังได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

เพราะป้าหูขายซาลาเปาแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ทำให้ไม่ได้มีแค่ลูกค้าที่สนใจ แม้แต่เพื่อนบ้านเองก็ออกมาดูด้วย

ยายคนหนึ่งในละแวกนี้รีบมาซื้อซาลาเปาลดราคานั่น แต่ถูกฝูงชนเบียดเสียดจนล้มลงแล้วยังโดนเหยียบไปหลายครั้ง

“ถึงกับเหยียบกันเลยเหรอ” หลินม่ายถามอย่างตกใจ

ชาติที่แล้วเธอเคยเห็นในอินเตอร์เน็ตว่ามีคนแก่จำนวนมากแย่งกันซื้อไข่ที่ซุปเปอร์มาเก็ตจนเกิดเหตุชุลมุน มีคนเสียชีวิตในตอนนั้นด้วย

ผู้บาดเจ็บมีอายุมากแล้ว จึงทำให้ทนพิษบาดแผลไม่ไหว

“แล้วยายเป็นอะไรมากหรือเปล่า” หลินม่ายถามต่อ

โจวฉายอวิ๋นมีท่าทางไม่แน่ใจ “ฉันได้ยินว่าแกโดนเหยียบจนซี่โครงหักนะ ยายเขาพูดไว้ว่าอย่างนั้น”

“แล้วสุดท้ายทำยังไง”

โจวฉายอวิ๋นวางซึ้งไม้ไผ่ที่ล้างแล้วลงบนเตาเพื่อสะเด็ดน้ำพร้อมเล่าไปด้วย “จะทำยังไงได้ ก็ต้องจ่ายค่ารักษาให้คนเจ็บน่ะสิ”

คำตอบนั้นทำเอาหลินม่ายประหลาดใจขึ้นมา “นึกไม่ถึงว่าป้าบ้านข้าง ๆ ก็รู้จักมีเหตุผลกับเขาด้วย คิดว่าจะไม่ยอมรับผิดชอบเพราะทุกอย่างเกิดจากลูกค้าไม่เกี่ยวกับตัวเองซะอีก”

“ยัยป้านั่นน่ะเหรอจะยอมเอง?…มองในแง่ดีเกินไปแล้ว! ครอบครัวของยายคนนั้นมาเอาเรื่องถึงที่ ขู่จะทำลายข้าวของในร้านต่างหาก ยัยแม่มดเฒ่านั่นถึงได้ยอมจ่ายเงิน!”

โจวฉายอวิ๋นแอบสะใจเล็กน้อยที่ป้าหูถูกครอบครัวของคนเจ็บทำให้อับอาย

ส่วนหลินม่ายก็เข้าใจขึ้นมาในทันทีว่าทำไมตอนกลับมาเธอถึงได้รับสายตาโกรธเคืองจากป้าหูขนาดนั้น

คนตรรกะป่วย ๆ แบบนั้นก็คงไม่พ้นที่จะโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอที่ทำให้ต้องเสียเงิน

ถ้าหลินม่ายไม่ขายซาลาเปาได้ดีกว่า หล่อนก็คงไม่ต้องมาใช้กลยุทธ์นี้ในการเอาชนะ

แล้วก็คงไม่มีใครต้องเจ็บตัว

ไม่รู้เหมือนกันว่ายัยป้านั่นลืมไปหรือเปล่าว่าเป็นหลินม่ายที่เปิดร้านซาลาเปามาก่อน

โจวฉายอวิ๋นยังคงรอที่จะซ้ำเติมในความซวยของป้าข้างบ้าน “ยัยป้านั่นเจอเรื่องไปขนาดนั้น ฉันจะรอดูว่าพรุ่งนี้จะยังกล้าลดแลกแจกแถมแบบนั้นอีกไหม!”

หลินม่ายทำความสะอาดขั้วปอดและท่อทั้งหมดที่อยู่ในปอดหมูพลางเอ่ยต่อ “ต่อให้วันนี้ไม่ได้มีเรื่องคนเจ็บตัวเข้ามาเกี่ยว การขายแบบนั้นไม่มีทางจะเอามาใช้ได้บ่อย ๆ พรุ่งนี้ก็คงไม่น่าจะขายหนึ่งแถมหนึ่งได้อีก”

คนเป็นพี่ที่ฟังอยู่ยังไม่เข้าใจนัก “ทำไมล่ะ?”

“ใครจะทนขายของแบบเข้าเนื้อตัวเองแบบนั้นได้ทุกวันนอกจากจะเป็นเจ้าของเหมืองทองคำกันล่ะ?”

“ก็จริงนะ” โจวฉายอวิ๋นล้างถังไม้ที่ใช้ใส่โจ๊กอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มเขิน ๆ “ฉันเกือบจะร้องไห้แล้วที่เห็นว่าพวกเขาขายตัดราคา แต่ไม่ได้คิดเลยว่าวิธีพวกนี้คงใช้ได้ไม่นาน”

หลินม่ายส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ “ต่อให้ลูกค้าทั้งหมดเปลี่ยนใจไปกินร้านนั้น ฉันก็ไม่กลัวหรอก ทำไมพี่ถึงขวัญอ่อนขนาดนี้ หรือว่ากลัวฉันจะค้างค่าแรงถ้าขายไม่ดีขึ้นมา?”

“เปล่าหรอก” คนเป็นพี่รีบส่ายหน้า “ฉันแค่กลัวว่าเราจะต้องปิดร้าน แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่อีกเท่านั้นเอง ฉันไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว ต่อให้พยายามทำงานหนักแค่ไหน พ่อแม่ พี่ชายพี่สะใภ้ก็เอาแต่มองว่าฉันอยู่บ้านว่าง ๆ เป็นภาระให้พวกเขา แต่พอมาทำงานที่นี่ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งพาใคร อยู่ได้ด้วยตัวเอง”

หลินม่ายถึงกับแซวขึ้นมา “อะไรเนี่ย พี่จะดูถูกกันเกินไปแล้ว เราเพิ่งจะเปิดร้านนี้ได้ไม่เท่าไร จะรีบให้เจ๊งแล้วงั้นเหรอ”

โจวฉายอวิ๋นยิ้มอย่างเขิน ๆ แล้วเริ่มเปลี่ยนเรื่อง “ฉันแอบเห็นว่าฮวาเจวี่ยนของร้านข้าง ๆ ดูขายดีนะ เรามาลองทำขายดูบ้างดีไหม ในเมื่อเขาลอกเราแล้ว เราก็เอาคืนด้วยการลอกเขาบ้าง”

หลินม่ายเอ่ยปฏิเสธ “อย่าเลย ทำฮวาเจวี่ยนได้กำไรน้อยเกินไป ต้องขายเป็นหลายพันชิ้นต่อวันถึงจะคุ้มนะ”

ไม่ใช่แค่ฮวาเจวี่ยน แม้แต่ข้าวต้มเองก็เป็นของที่กำไรน้อยเหมือนกัน

ต่างกันที่ข้าวต้มยังทำง่ายขายคล่อง

ฮวาเจวี่ยนแต่ละชิ้นกว่าจะทำออกมาขายได้ ต้องทำทั้งผสมแป้ง เอามาม้วนแล้วนึ่ง ถ้าจะให้เพิ่มสองเมนูนี้เข้ามาหลินม่ายขอผ่านดีกว่า

หลังจากทำความสะอาดเครื่องในทั้งหมดดีแล้วหญิงสาวก็เริ่มทำการหมักพวกมันด้วยเครื่องหลูจู่*แบบปักกิ่ง

*หลูจู่ พะโล้เครื่องในแบบปักกิ่ง มีไส้หมู ปอดหมู เต้าหู้ ต้มในน้ำพะโล้ โรยผักชีเล็กน้อย

จากนั้นก็ต้มผสมกับซุปกระดูกหมูที่เหลือจากเกี๊ยวเมื่อเช้ากับน้ำเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ เธอวางแผนจะขายหลูจู่ชามละ 3 เหมา แบบไม่มีแป้งทอด

ไส้ใหญ่ ไส้อ่อน และปอดหมู ถูกปรุงเรียบร้อย ส่งกลิ่นหอมเครื่องเทศเฉพาะตัวจนโจวฉายอวิ๋นที่กำลังหุงข้าวอยู่อดไม่ได้ที่จะตั้งใจดมกลิ่นแล้วเอ่ยชมออกมา “หอมน่ากินมากจริง ๆ “

หลินม่ายเหลือบมองพี่สาวแล้วแอบแหย่ “ไหนเมื่อเช้าใครบอกว่าไม่น่ากินคะ”

โจวฉายอวิ๋นรีบตอบเพื่อแก้ตัว “ถึงจะหอมมากแต่ก็ต้องลองชิมก่อน รสชาติก็อีกเรื่องหนึ่งนะ”

หลินม่ายตักปอดหมูชิ้นเล็ก ๆ ที่ตุ๋นในน้ำซุปจนได้ที่แล้วให้เธอ “ไหนลองบอกซิว่าอร่อยไหม?”

ปอดหมูชิ้นนั้นถูกส่งเข้าปาก คนชิมถึงกับเบิกตาด้วยความประหลาดใจ “หอมอร่อยมากจริง ๆ ด้วย ไม่คาวเลย”

โต้วโต้วตามกลิ่นอาหารเข้ามาถึงในครัว เมื่อเห็นอาการของฉายอวิ๋นก็รีบกระโดดขึ้นลงแล้วตะโกนว่า “แม่ขา แม่ขา ขอหนูลองกินหน่อย หนูอยากกินด้วย”

หลินม่ายหันไปหั่นไส้ใหญ่ ไส้อ่อน และปอดหมูที่ตุ๋นจนได้ที่ลงไปในถ้วย ราดด้วยน้ำซุปร้อน ๆ โรยผักชีลงไปแล้วยกไปที่โต๊ะอาหารเพื่อเอาให้เด็กน้อยลองชิม

ทุกอย่างถูกเตรียมจนพร้อมตอนสิบเอ็ดโมง หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นก็เริ่มขายเมนูกลางวันของวันนี้

โจวฉายอวิ๋นสะกิดหลินม่ายแล้วโบกมือให้มองไปด้านข้าง

เธอหันไปเห็นป้าหูและลูกน้องกำลังเริ่มตั้งร้านด้วย

ดูจากวัตถุดิบแล้วน่าจะเป็นข้าวผัดไข่เหมือนกัน

โจวฉายอวิ๋นกลอกตา “น่ารำคาญชะมัด จะลอกให้หมดทุกอย่างเลยงั้นสิ”

หลินม่ายชี้ไปรอบ ๆ “แถวนี้ยังมีบ้านอีกหลายสิบหลังที่พร้อมจะขายของตามเราถ้าเห็นว่าเราทำเงินได้ดี ถ้าตอนนั้นพวกเขาจะเริ่มขายซาลาเปากับข้าวผัดไข่เหมือนกัน พี่จะรับไม่ได้งั้นเหรอ เอาเป็นว่าอย่าไปใส่ใจเลยดีกว่านะ”

โจวฉายอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างขุ่นเคือง “แบบนั้นเราก็ได้กำไรน้อยลงน่ะสิ?”

“เอาน่า ถึงจะได้เงินน้อยลงแต่ก็ยังไม่ได้ไปเป็นลูกจ้างใครนะ”

หลินม่ายยังคงมั่นใจอยู่

“ฉันคิดไว้ว่าจะสอนพี่อ่านเขียน ทำบัญชี หลังจากนั้นซักสองเดือนฉันจะยกร้านนี้ให้พี่ดูแล ฉันจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น”

“เธอวางแผนจะไปไหน”

“ฉันก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร” แม้ว่าอะไร ๆ จะยังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างแต่หลินม่ายก็ไม่เคยคิดจะทำอยู่แค่ร้านนี้อย่างเดียว

ตอนนี้เธอได้ชีวิตใหม่มาแล้ว ก็อยากจะคิดการใหญ่พาตัวเองไปถึงจุดที่สูงยิ่งกว่านี้

อย่างแรกที่ต้องทำคือสะสมทุน ซื้อห้องแถวซักหลาย ๆ ห้อง รอให้รัฐเวนคืนพื้นที่ แล้วกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน

จากนั้นก็ทำธุรกิจใหญ่ ๆ จากเงินที่ได้มา

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ฟังคนที่มีประสบการณ์ชีวิตมาชาติหนึ่งเถอะค่ะ การโดนก็อปแบบนี้ทำอะไรม่ายจื่อไม่ได้หรอก

อยากกินปอดหมูตุ๋นในน้ำพะโล้เลย ปอดหมูถ้าทำดีๆ ไม่เหม็นคาวแล้วมันอร่อยมากนะคะ

ไหหม่า(海馬)