ตอนที่ 108 ข้างบ้านก็ขายซาลาเปาด้วย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 108 ข้างบ้านก็ขายซาลาเปาด้วย

เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มเสียกำลังใจ หลินม่ายก็เริ่มพูดเพื่อแก้สถานการณ์ “ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเปิดร้านของตัวเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า”

โจวฉายอวิ๋นกลับรู้สึกว่านี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย “แต่นี่พวกนั้นขายซาลาเปาเหมือนกันเลยนะ ถ้าขายอย่างอื่นก็ยังว่าไปอย่าง”

หลินม่ายจึงถามกลับไปว่า “มันก็ไม่ได้ผิดกฎหมายใช่ไหมล่ะ? อย่าเอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจเลยน่า”

คำตอบนั้นทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่ค่อยพอใจ “บ้าไปแล้วหรือไง โดนขายของแข่งขนาดนี้ ยังจะมาแก้ตัวให้เขาอีก”

หลินม่ายจึงเริ่มต้นอธิบาย “ฉันไม่ได้แก้ตัวให้พวกนั้น แต่ที่จะบอกก็คือ ต่อให้เราไม่พอใจไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงเราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือทำซาลาเปาของเราให้อร่อยกว่าแล้วก็บริการลูกค้าดี ๆ เราจะได้เอาชนะคู่แข่งได้ไงล่ะ”

พออธิบายจบหลินม่ายก็ไปเปิดร้านกับเสี่ยวลี่ที่ด้านหน้า เธอแอบเหลือบมองร้านใหม่ข้าง ๆ พวกเขาไม่ได้มีแค่ซาลาเปา แต่ยังมีไข่ต้มดองซีอิ๊วและข้าวหมากด้วยเหมือนกัน ตั้งใจจะมาเป็นคู่แข่งกันอย่างชัดเจน

เมื่อป้าหูเห็นว่าหลินม่ายมองอยู่ก็ส่งสายตาท้าทายมาให้

แม้ว่าร้านของหลินม่ายจะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่เพราะความอร่อยคุ้มค่า และยังมีร้านที่ขายของกินแบบนี้อยู่แค่ร้านเดียว ลูกค้าก็เลยติดใจและพากันมาอุดหนุนเรื่อย ๆ

ป้าหูเห็นแบบนั้นจึงเริ่มตะโกนขายของ “ซาลาเปา ซาลาเปานึ่งใหม่ ๆ ร้อน ๆ จ้า”

ลูกค้าประจำที่กำลังจะเข้าร้านของหลินม่ายก็ชะงักแล้วหันไปพูดคุยกันว่า “เอ๊ะ นี่มีซาลาเปาเปิดใหม่อีกร้านนี่”

ป้าหูรีบเรียกลูกค้าอย่างกระตือรือร้น “มาลองชิมซาลาเปาของร้านเราได้นะคะ อร่อยมาก เป็นสูตรของร้านเว่ยเหม่ยไจ ขายมาตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ”

แม้ว่าเว่ยเหม่ยไจจะเป็นร้านที่เคยมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนที่นี่เท่าไรนัก ลูกค้าเหล่านั้นส่ายหัวอย่างนึกไม่ออก “ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย”

ลูกค้าจึงเริ่มถามเจ้าของร้านคนใหม่ “ร้านป้ามีอะไรนอกจากซาลาเปาอีกไหม”

ป้าหูรีบตอบไปว่า “มีฮวาเจวี่ยน* หมั่นโถว แล้วก็ข้าวต้มค่ะ”

* ฮวาเจวี่ยน อาหารจีนทำจากแป้ง ไม่มีไส้คล้ายหมั่นโถว แต่มีลักษณะเป็นเส้นแล้วนำมาม้วนเป็นรูปดอกไม้ก่อนนึ่ง

หลินม่ายเริ่มตะโกนขายของบ้าง “ซาลาเปา เกี๊ยวต้ม ข้าวหมากจ้า”

ลูกค้าหันเหความสนใจไปที่เธอทันที “วันนี้มีเกี๊ยวด้วยเหรอ”

หลินม่ายยิ้มหวานแล้วรีบตอบ “มีค่ะ ถ้าวันไหนเห็นว่ามีต้มซุปกระดูกหมูมาตั้งแสดงว่าวันนั้นมีเกี๊ยวต้มนะคะ”

“ไม่ได้กินเกี๊ยวต้มมานานแล้ว” ลูกค้าคนนั้นเดินเข้ามาในร้านของหลินม่ายพร้อมรอยยิ้ม “ขอเกี๊ยวกับซาลาเปาไส้เพ่าฉ่ายนะ”

ป้าหูเห็นแบบนั้นก็โกรธจัดจนหน้าคล้ำ หล่อนจงใจพูดกับลูกน้องเสียงดังให้หลินม่ายได้ยินว่า “พรุ่งนี้ทำเกี๊ยวมาขายด้วย”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็เดินเข้าไปในครัวแล้วบอกให้โจวฉายอวิ๋นลดการทำซาลาเปาลงก่อนเพื่อคอยดูสถานการณ์

ช่วงเวลาที่ลูกค้าจะเข้ามากที่สุดคือตอนเจ็ดโมงครึ่ง หลินม่ายและเสี่ยวลี่ต่างตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามา

ในตอนนั้นเองที่พวกเธอได้ยินเสียงดังเซ็งแซ่มาจากร้านข้าง ๆ ป้าหูตีฆ้องเสียงดังและเริ่มตะโกนขายของ “ซาลาเปาเว่ยเหม่ยไจลดพิเศษ ซื้อซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่หนึ่งลูก แถมซาลาเปาผักลูกโต ๆ อีกหนึ่งไปเลยจ้า”

โจวฉายอวิ๋นที่เริ่มว่างเพราะถูกสั่งให้ลดการทำซาลาเปาก็ออกมาดูที่หน้าร้าน

เมื่อเห็นว่าร้านข้าง ๆ เริ่มลดแลกแจกแถมขนาดนั้นก็โมโหขึ้นมาอีก “ซื้อซาลาเปาเนื้อแถมซาลาเปาผัก นี่คิดจะตัดราคากันงั้นเหรอ”

หลินม่ายรีบตอบอย่างรวดเร็ว “พี่เข้าไปบอกป้าหวังให้ทีว่าหยุดทำซาลาเปาก่อน”

โจวฉายอวิ๋นเดินกลับเข้าไปข้างในด้วยความขุ่นเคืองใจ

ฟางจั๋วหรานมาที่ร้านของหลินม่ายเพื่อกินมื้อเช้าอย่างปกติ เขาเดินผ่านบ้านป้าหูแล้วเห็นว่าป้าหูเองก็ขายซาลาเปาเหมือนกัน

ดูก็รู้ว่าจงใจลอกเลียนแบบกันมาทั้งหมด เพราะมีทั้งซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊ว เขาที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ก็รู้สึกเครียดตามไปด้วย

คนที่ผ่านไปผ่านมาเดินเข้าไปซื้อซาลาเปาที่ร้านป้าหู “ร้านนั่นเพิ่งเปิดใหม่ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง คุ้มมากเลย”

“ที่สำคัญคือไม่หวงเครื่องเลย ลูกใหญ่มากแถมไส้แน่นสุด ๆ “

“จริงเหรอ งั้นฉันจะซื้อไปซักโหลหนึ่งแล้วกัน”

พอเป็นแบบนั้นร้านของหลินม่ายก็เริ่มจะเงียบ ลูกค้าพากันไปที่ร้านข้าง ๆ

ฟางจั๋วหรานเดินมาถึงหน้าร้านของหลินม่ายแล้วสั่งอาหารด้วยรอยยิ้ม “เอาซาลาเปาหมูสับร้อยลูก ซาลาเปาเพ่าฉ่ายร้อยลูก แล้วก็ไข่ต้มดองซีอิ๊วร้อยฟอง”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ลำบากใจ “ฉันเข้าใจว่าคุณอยากจะช่วย เพราะเห็นว่าวันนี้ขายไม่ค่อยดี แต่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ถ้าขายไม่ได้ก็แค่เอาใส่สามล้อออกไปขายข้างนอก ไม่ต้องห่วงนะ”

หญิงสาวทำเกี๊ยวแบบพิเศษเฉพาะให้ชายหนุ่ม แล้วเสิร์ฟให้เขาพร้อมกับซาลาเปาหมูสับสองลูกและไข่ต้มดองซีอิ๊วถึงโต๊ะ

ชายหนุ่มกินมื้อเช้าด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด คล้ายกับว่าตัวเองกำลังได้รับการดูแลจากครอบครัว

หลังจากเสิร์ฟมื้อเช้าให้คุณหมอแล้ว โจวฉายอวิ๋นกับหลินม่ายก็ช่วยกันเอาซาลาเปาที่ทำไว้ใส่ลงไปในถังไม้ยกขึ้นสามล้อ เพื่อเอาออกไปปั่นขายริมถนน

คนเป็นพี่สาวแอบมองไปที่ด้านในร้านก็เห็นว่าคุณหมอหนุ่มกำลังกินอาหารเช้าอย่างมีความสุข

เธอลดเสียงลงแล้วพูดกับหลินม่ายว่า “เธอไม่ได้ขอให้อาจารย์ฟางช่วยบอกนักเรียนให้มาอุดหนุนซาลาเปาของเราหน่อยเหรอ? วันนี้ซาลาเปาขายได้น้อย ทำไมไม่ลองให้ลูกศิษย์ของเขามาช่วยซื้อ นักเรียนของอาจารย์ก็มีตั้งหลายคน มาแค่ครึ่งเดียวก็ขายหมดแล้ว ยัยป้าหูนั่นคงโกรธจนเป็นบ้า”

หลินม่ายลำเลียงซาลาเปาลงถังไม้พลางตอบไปด้วย “พวกนักศึกษาได้เงินสนับสนุนค่าอาหารของโรงอาหารมหาวิทยาลัย อย่างถ้ากินร้านข้างนอกต้องจ่าย 5 เหมา แต่ถ้าไปกินที่โรงอาหารก็จะได้จ่ายแค่ 2 เหมาเท่านั้น จ่ายแค่ 2 เหมาในโรงอาหารก็ดีอยู่แล้ว อย่าให้พวกเขาต้องจ่ายเพิ่มเพื่อมากินร้านเราเลย จะเป็นภาระกับพวกนักศึกษาเปล่า ๆ “

โจวฉายอวิ๋นตอบด้วยความประหลาดใจ “โอ้โห ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นนักศึกษาก็มีเงินค่าอาหารให้ด้วย คิดว่ากินที่ไหนก็เหมือนกันซะอีก”

หลินม่ายกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม “ถึงจะไปขอให้เขาช่วย แต่เราก็ไม่ควรจะไปหวังพึ่งคนอื่นตลอดหรอก ยังไงก็ต้องหาทางดูแลร้านของตัวเองให้อยู่รอดต่อไปด้วยกำลังของเรานะ”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าแล้วตอบว่า “ฉันก็เข้าใจนะ แต่ก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี”

หลินม่ายดูไม่ได้เป็นกังวลขนาดนั้น “เรื่องเล็กน้อย มีอะไรน่าห่วงตรงไหน?”

คนเป็นพี่มองเจ้าของร้านของเธอด้วยความชื่นชม “เธออายุน้อยกว่าฉันแท้ ๆ แต่ดูใจเย็นขนาดนี้ได้ยังไงนะ?”

หลินม่ายแอบตอบโต้ในใจว่า เป็นเธอต่างหากที่อายุมากกว่า เพราะผ่านการใช้ชีวิตมาแล้วหนึ่งรอบ ถ้าจะยังดูร้อนรนอยู่อีก การเกิดใหม่ครั้งที่สองก็คงจะเปล่าประโยชน์

หลินม่ายปั่นรถสามล้อไปตามถนน โดยเลือกที่จะไปหยุดขายตามสถานทีที่มีผู้คนค่อนข้างหนาแน่น

โชคดีที่สั่งให้หยุดทำซาลาเปาได้ทัน วันนี้จึงมีซาลาเปาที่ต้องขายเพียง 400 ลูกเท่านั้น

เมื่อเช้าแบ่งไว้ที่ร้านแล้วครึ่งหนึ่งส่วนอีกสองร้อยชิ้นที่เหลือก็สามารถขายหมดที่ริมถนนตั้งแต่ยังไม่ทันสิบโมงเช้า

เมื่อเธอกลับมาถึง ร้านข้าง ๆ ก็ขายอาหารของพวกเขาหมดลงแล้ว

ป้าหูนั่งอยู่ที่หน้าร้านของตัวเอง จ้องมองมาด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรเธอได้

หลินม่ายเห็นแบบนั้นก็แอบบ่นในใจ คนที่ควรโกรธน่าจะเป็นเธอมากกว่าหรือเปล่าที่โดนขายของตัดหน้า ยัยป้านี่ท่าจะประสาท

หญิงสาวเมินสายตาโกรธเคืองที่ถูกส่งมา จอดสามล้อไว้ที่หน้าบ้านแล้วเดินเข้าบ้านตัวเอง

พนักงานครัวที่มาเพิ่มเป็นพนักงานกะเช้า พวกเขาจึงกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงโจวฉายอวิ๋นกับเสี่ยวลี่ที่กำลังจัดโต๊ะ เตา และอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่หน้าร้าน

หลินม่ายรีบถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมขายหมดแล้วล่ะ!”

เสี่ยวลี่และโจวฉายอวิ๋นฮัมเพลงขึ้นมาด้วยกันอย่างสบายใจแทนคำตอบ

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รอดูระยะยาวก่อนค่ะ มาตรฐานยัยป้าหูตกเมื่อไหร่นั่นแหละถึงรู้รสชาติ

พี่หมอแอบช่วยซื้อหรือเปล่าคะเนี่ยถึงหมดไวขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)