ตอนที่ 138 พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง

มู่เหว่ยหน้าตึงขึ้นมาทันที รู้สึกว่ามิลลี่กำลังพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

ความสัมพันธ์ของเธอกับฮั่วเทียนหลันราบไม่ราบรื่นนั้น เธอเองก็ไม่ได้ตาบอดนี่ มองยังไม่ชัดอีกเหรอ

ครั้งก่อนที่เมือง W ฮั่วเทียนหลันสงสัยว่าเธอวางยาเขา

แม้ว่าฉันจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ตอนที่ไปกินข้าวด้วยกันกับเธอนั้น ต่างก็เป็นเขาเองที่เป็นคนนัดสถานที่มา

“เธอตาบอดหรือไง ฮั่วเทียนหลันปฏิบัติต่อฉันยังไงบ้าง เธอมองไม่ออกเหรอ”

มู่เหว่ยพูดขึ้นมาอย่างรู้สึกฉุน ทำไมมิลลี่กลัวจนห่อไหล่

“ฉันแค่เห็นว่าช่วงนี้ประธานฮั่วจัดซื้ออสังหาให้คุณมากมาย แต่กลับไม่ค่อยไปที่โรสเฮาส์ … ” มิลลี่เอ่ยขึ้นอย่างระวัง

มู่เหว่ยนิ่งไปครู่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม : “ที่ซื้อบ้านก็เพราะแค่อยากจะเติมเต็มช่องว่างในใจฉัน และเพื่อเป็นการสื่อว่าฮั่วเทียนหลันยังรักฉันก็เท่านั้น แม้ว่าคราวก่อนฮั่วเทียนหลันเกือบจะเข้าใจว่าตัวเองมีอะไรกับฉันจริงๆแล้ว แต่ถูกนังอันหรันจับได้ซะก่อน หึ นังผู้หญิงโง่คนนี้ ทำไมมันถึงไปที่เมือง W ด้วยก็ไม่รู้ ”

“เมือง W ยังงั้นเหรอ” มู่เหว่ยคล้ายกับว่ามีแสงไฟกระพริบขึ้นมาในหัว เธอเกือบจะมองข้ามอะไรบ้างอย่างที่สำคัญไปซะแล้ว แต่พอคิดอย่างละเอียดแล้วกลับไม่พบทางออก

สมองของมิลลีตอบสนองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “หรือว่าอันหรันจะมีหวงอยู่ที่นั้น”

ทันใดนั้นมู่เว่ยก็นึกขึ้นได้ทันที ก่อนจะปรบมือแล้วกล่าวขึ้น : “ใช่แล้ว! มันต้องซ่อนอะไรไว้ที่เมือง W แน่ๆ เธอลองไปสืบหาข้อมูลมาซิ ฉันคิดว่าคราวนี้แหละเราจะสามารถจับหนูตัวใหญ่ได้!”

มิลลี่และมู่เหว่ยต่างมองจ้องไปที่กันและกัน ก่อนจะยิ้มหัวเราะออกมาจนเหมือนความชั่วร้ายได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งห้อง

อันหรันเพิ่งจะมีไอเดียในการทำผลงาน แต่แล้วโทรศัพท์มือถือของเธอก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง

คราวนี้คนที่โทรเข้ามาคือ ยี่เฉียวถง

อันหรันขมวดคิ้วทันที เธอทราบดีว่ายี่เฉียวถงโทรมาหาเธอเพราะอะไร

คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินอีกเช่นเคย เธอคิดหาวิธีมาตลอด แต่พอจะเอ่ยปากพูดกับคุณแม่ฮั่วทีไร ก็รู้สึกเหมือนลิ้นจุกปาก พูดอะไรไม่ออกสักที

เธอทำได้แค่กดรับสาย ก่อนจะเปิดลำโพง คำด่าทอมากมายพรั่งพรูออกจากปากของยี่เฉียวถง : “อันหรัน นังเด็กเลว เงินอยู่ไหนทำไมยังไม่หามาให้ฉันอีก ถ้าแกยังไม่เอามาล่ะก็ อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน!”

ในตอนนั้นเองอันหงไชก็พูดขึ้นเสียงเบา : “พูดดีๆหน่อยสิ ถึงอย่างไรอันหรันก็เป็นคนในครอบครัวอันของเราเหมือนกัน”

คนของครอบครัวอันงั้นเหรอ อันหรันยกยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ถ้าหากพวกเขามองว่าเธอเป็นคนในครอบครัวอันจริง ก็คงไม่ใช้เธอเป็นเครื่องมือในการหาเงินอยู่แบบนี้หรอก

“เรื่องเงินฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่ ถ้าได้แล้วเดี๋ยวฉันก็เอาให้พวกคุณเองแหละ” อันรันพูดเสียงเรียบ

น้ำเสียงเฉยชาเช่นนี้ทำให้ยี่เฉียวถงรู้สึกว่าอันหรันกำลังบอกปัดเธอ แท้จริงแล้วคงจะไม่เอาเงินมาให้เธอล่ะสิ คิดได้ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นอย่างโมโห : ” เหอะ! เรื่องที่ฉันสั่งไป แกกล้าทำหูทวนลมอย่างงั้นเหรอ แกคิดว่าฉันไม่กล้าจัดการกับไอ้เด็กอันเฮาอันนั่นใช่ไหม แล้วแกจะต้องเสียใจ อันหรัน! ”

หลังจากพูดจบยี่เฉียวถงก็ยังไม่ยอมวางสาย ที่เขาจะพูดคำรุนแรงพวกนั้นออกไป แท้จริงแล้วเธอต้องการให้อันหรันยอมแพ้เธอ แล้วเรื่องมันจะคุยกันได้ง่ายขึ้น

เขารู้ดีว่าการจัดการกับอันเฮาจริงๆนั้นเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะเขาเคยลองให้คนไปสืบข้อมูลมา พบว่าแม่ของอันเฮานั้นมีอิทธิพลกว้างขวางมาก ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่คิดคำนวณวางแผนเก่ง เธอได้รับส่วนแบ่งจากกรุ้ปถึง 70% ถ้าหากว่าเขามีเรื่องกับเธอจริงล่ะก็ เป็นเรื่องยากที่จะสามารถล้มเธอได้

“ถ้าหากพวกคุณต้องการเงินก็รอไปก่อน แต่ถ้าอยากมีปัญหาก็แล้วแต่เลย คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรออกมาละกัน”

พูดจบอันหรันก็กดตัดสายทันที

ยี่เฉียวถงโมโหจนเกือบจะปาโทรศัพท์มือถือทิ้ง แต่อันหงไชคว้ามันไว้ได้ทันก่อน

“เอาเถอะ อดใจรอไปก่อน ในเมื่อยังไงอันหรันก็สามารถหาเงินมาได้ พวกเราก็อย่าเคี่ยวเข็ญให้มากนัก”

อันหรันมองเห็นข้อความที่ยังไม่ได้อ่านบน WeChat เธอจึงกดเข้าไปดู พบว่าเป็นเหลียวซิรงที่ตอบกลับข้อความมา

“ฉันโอเค มันก็แค่เศษขยะ ฉันไม่เก็บมาใส่ใจหรอก ตอนนี้ฉันอยากกินอะไรก็กินได้ อยากดื่มอะไรก็ดื่มได้ รู้สึกว่าพอไม่มีถ่ายละครแล้วชีวิตก็สบายขึ้นมากเหมือนกัน!”

“หรันหรัน วันนี้เธอว่างหรือเปล่า ออกมาเจอกันหน่อยไหม”

ข้อความทั้งสองนี้ถูกส่งมาตอนที่เธอคุยโทรศัพท์อยู่ จริงๆแล้วอันหรันชอบเหลียวซิรงมาก เพราะเธอไม่เสแสร้ง ตรงกันข้ามกับมู่เหว่ยดาราหน้าใสใจมารคนนั้นอย่างสิ้นเชิง

เธอร่างผลงานที่จะใช้จัดแสดงไว้คร่าวๆแล้ว พอดีกับที่ตอนนี้เธอก็อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกหาไอเดียใหม่ๆอยู่เหมือนกัน จึงตอบกลับข้อความไป “โอเค แล้วเราจะไปไหนดี”

เธอไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เป็นข่าวในโลกออนไลน์ในขณะนี้ต่อ เพราะเหลียวซิรงเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ถ้าเธอพูดแบบนั้นแล้ว ก็หมายความว่าไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกต่อไป

เหลียวซิรงส่งโลเคชั่นให้อันหรัน พร้อมกับนัดเธอออกไปตอนบ่ายห้าโมงเย็น

แต่ก่อนที่อันหรันจะออกไปข้างนอก เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะเลือกใส่เสื้อผ้าตัวไหนดี

จากสิ่งที่ฮั่วเทียนหลันพูดขึ้นเมื่อวาน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบที่ตัวเองเป็นที่จับตามองของคนอื่น

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว อันหรันจึงได้ทำการตัดสินใจ

เมื่อไปถึงสถานที่ที่นัดกันไว้ พอเธอลงจากรถก็พบว่าเหลียวซิรงกำลังยืนรอรับเธออยู่ที่ด้านหน้าโรงแรม

แม้ว่าเรื่องของเธอตอนนี้กลายเป็นกระแสอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ แต่เหลียวซิรงก็ไม่มีท่าทีจะสนใจแต่อย่างใด เธอสวมชุดเดรสสีม่วง ใบหน้าที่ดูสดใสของเธอนั้น ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันกลับมามองเป็นครั้งคราว

อันหรันก้าวไปข้างหน้า แต่เหลียวซิรงยังคงไม่เห็นเธอ เป็นหลี่เฉียนที่ตบที่แขนของเหลียวซิรงเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น : “เฮ้! อันหรันมาถึงแล้ว!”

ตอนนี้เหลียวซิรงถึงได้มองเห็นผู้หญิงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมกางเกงขาม้าที่ยืนอยู่ด้านข้าง

ถ้าเธอไม่รู้จักตัวตนของอันหรันมาก่อน เธอคงจะมองว่าอันหรันเป็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุงแน่

แต่งตัวเชยชะมัด!

“ หรันหรัน นี่เธอแต่งตัว… ” เหลียวซิรงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทันคิด เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบกลืนคำพูดที่เหลือลงไปในคอ

อันหรันยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย : “มีคนบอกให้ฉันทำตัวเฉิ่มหน่อยอะ”

เหลียวซิรงถึงกับผงะกับประโยคที่อันหรับเอ่ยขึ้นเมื่อกี้ แต่แล้วเขาก็ตอบสนองกลับ

คนที่สามารถมาจำกัดเรื่องชุดของอันหรัน ทั้งยังบอกให้เธอทำตัวเฉิ่มแบบนี้ได้นั้น ไม่ต้องคิดก็รู้เพราะมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ!

แต่ว่าฮั่วเทียนหรันไม่ได้ชอบอันหรันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเข้ามายุ่งได้ล่ะ

เหลียวซิรงทนไม่ได้ที่คนด้านข้างแต่งตัวแบบนี้ เขาดึงตัวอันหรันให้เดินตามเข้าไปในไทม์สแควร์ตรงข้ามโรงแรมโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ

หลังจากเดินไปมาอยู่ที่เคาน์เตอร์ชั้นสามสักพัก เมื่อเดินออกมาจากห้างอีกครั้ง อันหรันที่ถูกแปลงโฉมใหม่ก็สวยขึ้นถนัดตา

เหลียวซิรงนอกจากจะเป็นดาราที่มีชื่อเสียงมากแล้ว บ่อยครั้งเธอก็มักจะเป็นผู้นำเทรนด์ด้านแฟชั่นอีกด้วย อันหรันต้องแต่งตัวยังไงถึงจะดูอ่อนช้อยงดงามและเซ็กซี่มากขึ้น เธอแค่ใช้ตามองปราดเดียวก็สามารถวาดภาพขึ้นมาในหัวได้แล้ว

อันหรันมองดูตัวเองในกระจก เธอแทบจะมองไม่ออกเลยว่านี่คือตัวเธอ

เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้า เหลียวซิรงจะสามารถทำให้เธอสวยจนเหมือนเจ้าหญิงได้ถึงขนาดนี้

“นี่พวกเรากำลังจะไปไหนกันเหรอ”

ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่อยากสวย อันหรันเองก็เช่นเดียวกัน เธอจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบิกบาน

เหลียวซิรงเอียงหัวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น : “ไปดูหนังก่อน แล้วก็ไปทานอาหารอร่อยๆ จากนั้นค่อยว่ากันอีกที!

เหลียวซิรงบอกรายการที่จะทำต่อจากนี้ อันหรันคิดอยู่พักหนึ่ง ยังไงซะคืนนี้ก็คงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ ดังนั้นเธอจะใช้เวลาอยู่กับเขาสักหน่อยแล้วกัน

พอถึงตอนชำระเงิน อันหรันอยากเป็นคนจ่ายเอง แต่เหลียวซิรงรีบดึงบัตรสมาชิกออกจากกระเป๋า ก่อนจะยื่นให้พนักงานตัดจากบัตรสมาชิกของเธอแทน

จนถึงตอนนี้เหลียวซิรงก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เป็นกระแสในโลกออนไลน์อยู่ขณะนี้ เธอรู้ว่าอันหรันเป็นภรรยาของฮั่วเทียนหลัน และเธอจะพูดขึ้นลอยๆก็ได้ แต่เธอก็ไม่ทำ

ราวกับว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กนิดเดียว แม้ว่าจะมีกระแสมากมายบนโลกโซเชียล แต่เหลียวซิรงกลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาสามคนจองเป็นห้องไพรเวท หนังฉายไปได้ครึ่งเรื่อง โทรศัพท์มือถือของเหลียวซิรงก็ดังขึ้น

เธอเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสาย สักพักถึงตอบกลับไป : “อืม เข้าใจแล้ว”

หลังจากที่หนังจบลง อันหรันกำลังเตรียมจะเอ่ยขึ้นว่าเธอมีร้านอาหารร้านหนึ่งอยากแนะนำให้ไปลองลิ้มรสชาติความอร่อยของอาหาร

ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา เหลียวซิรงก็เอ่ยขึ้นก่อน พร้อมกับท่าทางที่มีความสุข : “รู้แล้วว่าจะไปทานอาหารเย็นที่ไหนดี ที่นั้นมีอาหารตามากมายเลยล่ะ เธออยากไปด้วยกันไหม!”

หลี่เฉียนเป็นผู้จัดการของเหลียวซิรง แน่นอนว่าเหลียวซิรงไปที่ไหน เธอก็ต้องติดตามไปด้วยทุกที่

แต่กับอันหรันนั้นไม่ใช่ เธอฟังที่เหลียวซิรงพูดก็เกิดความสงสัย ดังนั้นเธอจึงถามไปว่าคือที่ไหน

เมื่อรู้ว่าเหลียวซิรงจะไปงานปาร์ตี้ เธอก็ปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนนั้นยังเป็นแผลสดใหม่สำหรับเธอ ตอนนั้นยังมีฮั่วเทียนหลันคอยปกป้อง

ถ้าวันนี้ไปปาร์ตี้กับเหลียวซิรงอีกล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะโดนฮั่วเทียนหลันโกรธถ้าหากว่าเขาจับได้ แต่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นอีก คราวนี้คงไม่มีใครมาช่วยเธอได้อย่างแน่นอน

เหลียวซิรงเมื่อเห็นว่าอันหรันมีท่าทีไม่อยากไป จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ : “หรันหรัน เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องขึ้นเหรอ”

เดิมทีอันหรันอยากจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็คิดได้ว่าเธอกับเหลียวซิรงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานาน เธอจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทั้งหมดให้เหลียวซิรงฟัง จากนั้นก็พูดในเรื่องที่เธอเองกำลังเป็นกังวล

เมื่อเหลียวซิรงได้ยินดังนั้น เธอก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า : “อย่างนี้นี่เอง! ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรหรอก ฉันเทควันโดสายดำเชียวนะ จะมาสิบคนอ้วนหรือแปดคนอ้วน ฉันก็เอาอยู่สบาย”

อันหรันยังคงอยากที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อมองไปที่เหลียวซิรงที่อ้อนวอนเธออยู่ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าคนสวยๆอย่างเหลียวซิรงยังไม่เห็นเป็นกังวลอะไรเลย แล้วถ้าเธอยังเป็นแบบนี้อยู่ก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่

ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าตอบรับ และตามเหลียวซิรงไปที่งานเลี้ยง

พอมาถึงจุดมุ่งหมาย อันหรันถึงได้พบว่าเธอถูกเหลียวซิรงหลอกเอาแล้วล่ะ

นี่มันคือโรงแรมฮิลตันที่เธอจอดรถไว้ก่อนหน้านี้นี่นา ชั้นห้าและชั้นหกถูกจองไว้สำหรับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้โดยเฉพาะ

หลังจากงานเลี้ยงเริ่มขึ้น อันหรันถือไวน์แดงหนึ่งแก้วไปนั่งลงบนโซฟา พลันจ้องมองไปที่เหลียวซิรงที่ถูกคนมากมายมาขอชนแก้วด้วย พร้อมกับถามสารทุกข์สุกดิบ หรือแม้กระทั้งพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่

ลักษณะนิสัยอย่างเช่นเธอนั้น อันหรันรู้สึกอิจฉามากจริงๆ

เมื่อเทียบนิสัยตัวเองกับเหลียวซิรงแล้ว ก็เหมือนกับเอามะระขมๆมาเทียบกับพิสตาชิโอที่หอมหวานดีๆนี่เอง

บรรดาไฮโซหนุ่มสาวพวกนี้ต่างก็ไม่สนใจข่าวลือบนโลกโซเชียล เพราะสายตาของพวกเขาค่อนข้างเฉียบคม และคิดว่าคนสูงส่งอย่างเหลียวซิรงถึงจะคู่ควรที่จะคบค้าสมาคมด้วย

ส่วนอันหรันนั้นก็ถูกเหลียวซิรงดึงไปร่วมวงสนทนาอยู่หลายครั้ง ทั้งยังคอยแนะนำหนุ่มหล่อสาวสวยที่นิสัยค่อนข้างโอเคให้กับเธออีกด้วย

อันหรันเป็นคนที่พูดไม่เก่ง แต่ท่าทางที่อ่อนโยนของเธอนั้น ก็เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนอยู่เหมือนกัน

มีหลายคนที่รู้จักเธอ บ้างก็จับกลุ่มซุบซิบกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฮั่วเทียนหลัน ทำให้อันหรันควบคุมสีหน้าไม่ได้เล็กน้อย

เหลียวซิรงก็ได้ยินอยู่หลายครั้ง เธอมักจะกระแอมขึ้นมาทุกครั้งที่ได้ยิน ก่อนจะส่งสายตาไม่พอใจไปให้คนกลุ่มนั้้น การกระทำของเธอทำให้อันหรันรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

นี่สิถึงเรียกว่าเพื่อนแท้ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อยนักก็เถอะ

แม้ว่าเธอไม่อยากจะพูดคุยกับคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่ก็ถูกเหลียวซิรงลากไปร่วมวงด้วยเสมอ ทำให้อันหรันเลี่ยงไม่ได้ที่จะดื่มไปกี่แก้ว

เธอดื่มมากเกินไปแล้ว และในตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกมึนขึ้นมาเล็กน้อย