ตอนที่ 58 แผนการของมู่อี้

“ข้าจะบอกให้ท่านผู้พิพากษาได้ทราบเมื่อข้ากลับไป” หลังจากได้ยินคำพูดของมู่อี้ เซี่ยเจิ้งก็พยักหน้ารับปากทันทีแม้แต่มู่อี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้คิดจะลงมาจากภูเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำแต่เพราะว่าเขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าพลังในร่างกายของเขากำลังจะเพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดสูงสุดและไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายเขาก็ไม่อาจทราบได้

ดังนั้นแม้ว่าจะบอกว่าท่านผู้พิพากษามณฑลเชิญเขาก็ตามเขาก็ไม่อยากจะออกไปไหน ในตอนนี้แม้ว่าซูจงซานจะมาที่นี่ด้วยตัวเองถ้าหากมันไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ เขาก็ต้องบอกปัดไปก่อน

แม้ว่าเขาจะได้เป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลซูแต่เขาก็ต้องฝึกฝนด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนกับการที่เขาซื้อเกวียนก่อนซื้อม้า นั่นคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลซูและเขาต่างก็มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว การสนทนากันในห้องเมื่อตอนนั้นทำให้มู่อี้เข้าใจสิ่งที่ซูจงซานต้องการได้อย่างชัดเจนและซูจงซานเองก็เข้าใจในความต้องการของมู่อี้และไม่ได้บีบบังคับอะไรเขาเลย

“ข้าเห็นว่าจุดฝังเข็มระหว่างคิ้วของหลานชายของท่านนั้นมีสีดำคล้ำ บางทีอาจจะเกิดเคราะห์ร้ายขึ้นได้ท่านต้องให้เขาระมัดระวังตัวให้มากนะขอรับ” ในตอนที่เซี่ยเจิ้งกำลังจะจากไปพร้อมกับเซี่ยเหมี่ยว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินคำพูดของมู่อี้ทันที

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่งในตอนนี้ เขาไม่ได้รู้สึกสงสัยในคำพูดของมู่อี้แต่เป็นกังวลเรื่องหลานชายตนเอง

ในใจของเขามู่อี้คือผู้ที่สามารถสัมผัสเรื่องเหนือธรรมชาติได้และมีความสามารถมากพอที่จะเอาชนะภูตผีวิญญาณและสิ่งชั่วร้ายได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นักพรตเต๋าสามารถปัดเป่าเภทภัยและหาวิธีแก้ไขเรื่องต่างๆได้ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงรู้สึกเชื่อในคำพูดของมู่อี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ท่านนักพรตเต๋าได้โปรดช่วยเหลือหลานชายของข้าด้วยขอรับ” เซี่ยเจิ้งรีบหันไปมองมู่อี้และพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

“ให้เขาพกยันต์แผ่นนี้เอาไว้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา มันจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ในช่วงเวลาที่วิกฤต” มู่อี้ยื่นยันต์แผ่นหนึ่งให้กับเซี่ยเจิ้งโดยไม่ได้ร้องขอสิ่งตอบแทน

“ขอบคุณท่านนักพรตเต๋ามากขอรับ ข้าจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้อย่างแน่นอน” เซี่ยเจิ้งรับยันต์มาและก้มศีรษะเพื่อแสดงความเคารพ

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ยันต์แผ่นเดียวไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น” มู่อี้รีบโบกมือของเขาทันที

“แม้ว่าท่านนักพรตเต๋าจะพูดเช่นนั้น แต่ข้าก็ต้องตอบแทนบุญคุณครั้งนี้แน่นอนขอรับ” เซี่ยเจิ้งพูดด้วยความเคารพ

“ถ้าเช่นนั้นแล้วหากถ้าต้องการความช่วยเหลือใดๆ ในตอนนั้นขอให้ท่านจงช่วยเหลือข้าโดยไม่มีข้อแม้” มู่อี้พูดออกไปตามตรง

“ท่านนักพรตเต๋า อย่าได้กังวลไปโปรดพูดสิ่งที่ท่านต้องการมาได้เลย แม้ว่ามันจะเป็นสิบหรือร้อยเรื่อง ถ้าหากข้าสามารถตอบแทนท่านนักพรตเต๋าได้ข้าก็จะทำ” เซี่ยเจิ้งตอบกลับมาทันทีเพราะคำขอร้องของนักพรตเต๋าในตอนนี้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลย เหตุผลข้อที่ 2 ที่เขารับปากนั่นก็เพราะเขาคิดว่ามู่อี้คงไม่ให้เขาทำเรื่องที่เขาทำไม่ได้แน่นอน ดังนั้นถ้าหากมู่อี้ต้องการให้เขาทำเรื่องที่เขาสามารถทำได้และนั่นคือสิ่งที่มู่อี้ต้องการเขาก็พร้อมจะทำ

ในความคิดของเขานี่ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ไม่สิต้องบอกว่าเขาได้ประโยชน์มากกว่า เพราะเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตหลานชายของเขาเขาไม่อาจจะรู้สึกสบายใจได้เลย

“ไม่ขอรับ แค่เรื่องเดียวเท่านั้น ตอนนี้ท่านไปก่อนเถอะ” มู่อี้มองไปที่สมุนไพรต่างๆที่เขากำลังเตรียมปรุงยาและรีบเชิญแขกออกไปจากที่นี่

เซี่ยเจิ้งย่อมต้องเชื่อฟังที่มู่อี้พูดอยู่แล้วในตอนนี้และเขารีบดึงตัวหลานชายของตนเองที่อยู่ข้างๆลงไปจากภูเขาทันที

“ท่านลุงสาม ข้าสบายดี ทำไมท่านถึงยอมรับปากเขา นี่มันก็แค่ …” ในระหว่างเดินทางลงมาจากภูเขานั้นเซี่ยเหมี่ยวก็เอ่ยปากถามขึ้นมา

“ปากของเจ้ารู้จักแต่ผายลมอย่างเดียวหรือไง เมื่อท่านนักพรตเต๋าบอกว่าเจ้ากำลังมีเคราะห์ร้ายก็คือกำลังมีเคราะห์ร้าย เรื่องอื่นๆเจ้าไม่ต้องไปสนใจ” เซี่ยเจิ้งมองไปที่หลานชายของตนเองและพูดออกมาทันที เขารู้ดีว่าหลานชายของตนเองนั้นโง่เง่ามากแค่ไหนแต่ก็ไม่คิดว่าจะโง่มากถึงเพียงนี้ เพียงแต่เมื่ออยู่ในการตรวจสอบคดีต่างๆเท่านั้นที่หลานชายของเขาจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน

บุคลิกเช่นนี้ของหลานชายทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลมากด้วยเช่นกันแต่ไม่ว่ายังไงเขาเชื่อว่าเมื่อฝึกฝนไปหลายๆครั้งหลานชายของเขาย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน

“แต่ …” เซี่ยเหมี่ยวยังอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของท่านลุงสามเขาก็รีบปิดปากให้สนิททันที

“มาเถอะ เก็บยันต์แผ่นนี้เอาไว้ให้ดี เมื่อเราลงไปจากภูเขาแห่งนี้แล้วเจ้าจงไปซื้อกระเป๋าใส่เงินสักใบหนึ่งจากนั้นก็ใส่ยันต์แผ่นนี้เอาไว้ให้มันแนบกับหน้าอกของเจ้าอยู่ตลอดเวลา” เซี่ยเจิ้งยื่นยันต์ในมือให้กับเซี่ยเหมี่ยวด้วยความระมัดระวัง

เมื่อเห็นท่าทีของเซี่ยเจิ้ง เซี่ยเหมี่ยวก็ทำได้เพียงทำตามคำสั่งของท่านลุงของเขาเท่านั้นแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่เต็มใจแต่เขาก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของท่านลุง เพราะยันต์แผ่นนี้แลกมาด้วยการที่ท่านลุงของเขาต้องทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอหนึ่งเรื่อง มันถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับเขา

เมื่อลงจากภูเขามาแล้วทั้งสองคนก็ซื้อกระเป๋าใส่เงินใบหนึ่งจากร้านค้า เซี่ยเจิ้งยืนจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าเซี่ยเหมี่ยวจะเก็บยันต์แผ่นนี้เอาไว้ที่หน้าอกของตนเอง เขาจริงจังกับเรื่องนี้ยิ่งกว่าตนเองเป็นผู้ประสบเคราะห์ร้ายนี้เสียอีก

เมื่อเซี่ยเจิ้งเห็นว่าเซี่ยเหมี่ยวเก็บยันต์แผ่นนั้นเอาไว้เป็นอย่างดีเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

จากนั้นทั้งสองคนก็รีบกลับไปหาท่านผู้พิพากษามณฑล

สำหรับมู่อี้นั้นหลังจากทั้งสองคนจากไปแล้ว เขาก็เริ่มใช้สมาธิกับการปรุงยาโดยเริ่มจากนำส่วนผสมที่เป็นของเหลวใส่ลงไปก่อนจากนั้นก็ใส่สมุนไพรที่ล้ำค่าอย่างเช่นโสมและเขากวางตามลงไป ท้ายที่สุดแล้วมันกลายเป็นยาเพิ่มพลังที่สมบูรณ์แบบ เมื่อดื่มยาเพิ่มพลังนี้ลงไปแล้วทั่วร่างกายของเขาจะรู้สึกร้อนราวกับถูกไฟเผา แต่หลังจากนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ก็จะถูกร่างกายของเขาดูดซึมเข้าไปจนหมด

วิธีการนี้เขาสามารถใช้ได้เพียงวันละครั้งเท่านั้นและเขารู้สึกได้ว่าตนเองใกล้ถึงระดับความยากขั้นที่ 2 แล้ว ระดับความยากขั้นที่ 2 คือยากที่จะรับรู้ได้การรับรู้นี่หมายถึงรับรู้จิตวิญญาณทั้ง 7 ที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจิตวิญญาณทั้ง 7 นี้อาศัยอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์อยู่แล้วและเมื่อสามารถรับรู้ถึงมันได้ร่างกายของมนุษย์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆได้

ตามที่ท่านปู่ได้บอกเขาเอาไว้และจากที่เขาได้อ่านในบันทึกของเจี่ยเหริน การฝึกฝนจิตใจในขั้นนี้จะยากกว่าขั้นแรกมากและยิ่งสะสมพลังจากความยากขั้นแรกมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งก้าวหน้าในความยากขั้นที่ 2 มากขึ้นเท่านั้น

มู่อี้ยังจำได้ว่าในคืนนั้นเจี่ยเหรินบอกว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับความยากที่ 2 แล้ว และเขายังสามารถทำลายกำแพงที่ขวางกั้นได้ 3 กำแพง

กล่าวอีกนัยหนึ่งมันหมายความว่าระดับความยากขั้นที่ 2 นี้ย่อมมีทางลัดด้วยเช่นกัน ยิ่งสะสมพลังจากความยากขั้นที่ 1 มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้ประโยชน์เมื่อยกระดับขึ้นสู่ความยากขั้นที่ 2

มู่อี้ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถฟันฝ่ากำแพงไปได้เท่าไหร่แต่เป้าหมายขั้นต่ำที่เขาวางไว้ในตอนนี้ก็คือ 3 กำแพง อย่างน้อยเขาก็อยากไปถึงระดับเดียวกันกับเจี่ยเหริน

แม้ว่าเจี่ยเหรินจะมีจิตใจที่ชั่วร้ายแต่พรสวรรค์ของเขานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะดูถูกได้เลย มันถือว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วอาจารย์ของเขาคงไม่รับเขามาเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันและคงไม่ตั้งความหวังกับเขาเอาไว้สูงมากขนาดนั้น

มู่อี้ไม่รู้ว่าเขาจะฟันฝ่ากำแพงไปได้มากเท่าไหร่ แต่ในตอนนี้เขามีเพียงเจี่ยเหรินเท่านั้นที่เป็นจุดอ้างอิงได้

สำหรับการที่เขาบอกว่าจุดฝังเข็มระหว่างคิ้วของเซี่ยเหมี่ยวมีสีดำคล้ำนั้น ย่อมมาจากประสบการณ์ที่เขาเดินทางไปพร้อมกับท่านปู่ เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนักแต่สิ่งที่เขาเรียนรู้นั่นก็คือทักษะการพูดคุยการต่อรองกับคนอื่นรวมถึงการพูดให้คนอื่นเชื่อว่าเขากำลังจะมีเคราะห์ร้าย

ในตอนที่ลุงของเซี่ยเจิ้งมาหาเขานั้น มันย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าคำสั่งของท่านผู้พิพากษามณฑลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองคนลุงหลานจะปฏิเสธได้ ถ้าหากเขาปฏิเสธคำเชิญนี้แล้วใครจะต้องรับผิดชอบ? ?

เขาไม่อยากจะคิดเรื่องนี้ เขากลัวว่าลุงหลานคู่นี้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแน่นอน ด้วยความแน่วแน่ของเซี่ยเจิ้งมู่อี้ไม่อยากจะปฏิเสธเขาไปตรงๆจึงต้องใช้วิธีการแบบนี้

ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบยังไงก็ไม่มีทางตรวจสอบได้อย่างแน่นอน คนธรรมดาจะรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้จริงๆหรอ? ไม่ว่าใครก็ต้องหวาดกลัวต่อเคราะห์ร้ายต่างๆที่อาจเกิดกับชีวิตของตนเอง ดังนั้นคำเตือนของมู่อี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระและมีผลต่อความคิดของพวกเขาอย่างแน่นอน

การบอกว่าจุดฝังเข็มระหว่างคิ้วเป็นสีดำคล้ำนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นการโกหก เพราะถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆก็ถือว่ายันต์ของเขาได้ผล แต่ถ้าหากมีอันตรายเกิดขึ้นจริงๆยันต์ของเขาก็สามารถช่วยชีวิตอีกฝ่ายได้ ดังนั้นไม่ว่ายังไงมู่อี้ก็ไม่ได้กังวลว่าการโกหกของเขาจะถูกมองออก. .

แน่นอนว่ามู่อี้ไม่ได้มอบยันต์ให้อีกฝ่ายเพราะเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวแต่เขายังรู้สึกชื่นชอบเซี่ยเจิ้งด้วยเช่นกัน หลังจากนี้เขาสามารถขอให้อีกฝ่ายตามหาตัวหลี่เฉียจื่อให้ได้ นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของเขา

น่าเสียดายที่ในตอนนี้เซี่ยเจิ้งเชื่อว่ามู่อี้ไม่ได้โกหกเขาเพราะความเชื่อใจที่เขามีต่อมู่อี้ถือว่าสูงมาก