ตอนที่ 59 วิญญาณซากศพ

ลุงหลานตระกูลเซี่ยกลับไปที่มณฑลหลินอานและแจ้งผู้พิพากษากูว่ามู่อี้ไม่สะดวกที่จะมาเข้าพบ ผู้พิพากษากูขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่เขาไม่ได้ตำหนิเซี่ยเจิ้งและระงับความไม่พอใจของตนเองเอาไว้ได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่มู่อี้คาดการณ์เอาไว้สุดท้ายแล้วคดีนี้ก็ตกอยู่กับลุงหลานตระกูลเซี่ยเพราะทั้งสองมีความสามารถในด้านการสืบคดีมากที่สุดในมณฑลหลินอาน

สำหรับมู่อี้ เขายังคงฝึกฝนอยู่บนภูเขาต่อไป

แต่เขาก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเพียงไม่กี่วันเท่านั้นจากนั้นความสงบสุขก็ถูกทำลายลงอีกครั้ง

ครั้งนี้มีเพียงคนเดียวที่ขึ้นไปบนภูเขานั่นคือเซี่ยเหมี่ยว เขาปรากฏตัวต่อหน้ามู่อี้ด้วยสีหน้าเศร้าหมองและคุกเข่าบนพื้นโดยไม่พูดอะไรเลย เขาต้องการให้มู่อี้ช่วยลุงสามของตนเองไม่ว่าจะให้เขาเป็นวัวหรือม้าเขาก็เต็มใจ

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านลุงสามของท่าน? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?” แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายมารบกวนความสงบของตนเอง แต่มู่อี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินว่าเซี่ยเจิ้งประสบอุบัติเหตุ ในมุมมองของเขาเซี่ยเจิ้งเป็นผู้ที่มีความเยือกเย็นและละเอียดรอบคอบอย่างมาก เขาไม่มีทางทำอะไรที่บุ่มบ่ามจนตัวเองได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน ถ้ามันมีอันตรายเกิดขึ้นกับเขาจริงๆเหตุผลน่าจะเป็นเพราะเซี่ยเหมี่ยวและคำตอบที่ได้ฟังจากปากของเซี่ยเหมี่ยวก็ตรงตามที่มู่อี้คาดเดาไว้

ตามคำอธิบายของเซี่ยเหมี่ยว ด้วยความพยายามของเขาในที่สุดเขาก็พบร่องรอยของเบาะแสและไม่สนใจคำเตือนของเซี่ยเจิ้ง เขานำเจ้าหน้าที่ออกตามล่าตัวคนร้ายด้วยตนเอง แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ที่เขาพาไปด้วยนั้นถูกฆ่าตายทั้งหมด แม้เขาจะรอดมาได้แต่ก็ต้องรับการโจมตีที่รุนแรงของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันและถ้ามันไม่ใช่เพราะยันต์ที่มู่อี้มอบให้เขาก็อาจตายไปแล้ว

โชคดีที่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดนั้นเซี่ยเจิ้งได้นำคนมาช่วยเหลือเขาได้ทันเวลา เซี่ยเจิ้งเข้าใจเซี่ยเหมี่ยวเป็นอย่างดีจึงได้ส่งคนมาคอยตามติดเขาอย่างลับๆอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นแล้วแม้จะมียันต์ของมู่อี้เขาก็คงจะไม่รอดชีวิตกลับมาแน่นอน

แม้ว่าเซี่ยเจิ้งจะช่วยเซี่ยเหมี่ยวได้ทันเวลา แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเข้าช่วยเหลือเซี่ยเหมี่ยวและกำลังจะตายในไม่ช้า

“ท่านบอกว่าชายผู้นั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับบินได้และมีร่างกายที่เป็นอมตะ ชายคนนั้นไม่มีเลือดและดาบไม่สามารถทำอะไรเขาได้หรือขอรับ?” เมื่อมู่อี้ได้ยินคำพูดของเซี่ยเหมี่ยวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นทันที เขารู้สึกคุ้นเคยกับความสามารถเช่นนี้ราวกับว่าเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง

“ใช่ ชายคนนั้น ไม่ใช่สิ ปีศาจตัวนั้นทำยังไงมันก็ไม่ตาย แม้ว่าหัวใจของมันจะถูกแทงทะลุมันก็ไม่ตายและยังสามารถเคลื่อนไหวได้ปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ในขณะที่เซี่ยเหมี่ยวพูดอยู่นั้นแววตาของเขาดูตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

“แล้วลักษณะทางกายภาพของเขาแตกต่างจากมนุษย์อย่างไรบ้างขอรับ?” มู่อี้คิดตามและถามต่อไป

“ลักษณะ? เอ่อ ร่างกายของมันดูเหมือนจะซีดขาวและไม่มีลมหายใจ ทุกครั้งที่มันฆ่าคนมันจะส่งเสียงที่เหมือนกับการขบฟันออกมา แต่มันก็ไม่ได้กินเหยื่อที่ฆ่า” เซี่ยเหมี่ยวพูดหลังจากคิดเกี่ยวกับมัน

หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเซี่ยเหมี่ยวมู่อี้ก็เดินทำมือไขว้หลังเข้าไปในห้องโถงและขมวดคิ้วขึ้นมา

ปรากฏตัวตอนกลางคืน เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับบินได้ ไม่มีเลือด เป็นอมตะ และหลังจากฆ่าเหยื่อก็ไม่ได้กินเนื้อ หรือว่ามันคือวิญญาณซากศพ?

ทันใดนั้นแสงแวบหนึ่งก็ส่องประกายในใจของมู่อี้และในที่สุดเขาก็รู้ว่าเคยเห็นประโยคนี้ที่ไหน มันถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกของเจี่ยเหริน ก่อนหน้านี้เขาอ่านแบบกวาดตามองผ่านๆเท่านั้นและไม่ได้สนใจข้อความพวกนี้เลย

แต่ในตอนนี้หลังจากลองวิเคราะห์ดูในที่สุดเขาก็จำได้

วิญญาณซากศพอยู่กึ่งกลางระหว่างผีดิบและวิญญาณ มันมีร่างกายที่เป็นอมตะและชอบกินวิญญาณของมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลังจากกลายเป็นวิญญาณซากศพแล้วพวกมันยังคงมีความทรงจำในอดีตและสืบทอดลักษณะนิสัยต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตมาทั้งหมด ดังนั้นถ้าวิญญาณซากศพจงใจที่จะปลอมตัวเป็นมนุษย์ก็เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะหาความแตกต่างได้

แต่การสร้างวิญญาณซากศพไม่ใช่เรื่องง่ายและเงื่อนไขก็โหดร้ายเช่นกัน

ในตอนแรกมู่อี้ไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จึงอ่านแบบผ่านๆเท่านั้น แต่หลังจากนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้เขาก็คาดเดาได้ทันทีว่ามันคือ วิญญาณซากศพ

วิญญาณซากศพเป็นอันตรายอย่างยิ่งและเมื่อสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ก็ล้วนแต่จะมีหายนะตามมาเท่านั้นไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ใด ถ้าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซูบางทีเขาอาจเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ แต่ในตอนนี้ตระกูลซูถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับผู้พิพากษากูแล้ว

แม้ว่าเซี่ยเหมี่ยวจะไม่มาขอร้องเขาถึงที่นี่ซูจินหลุนก็คงจะมาในไม่ช้า

ยิ่งกว่านั้นเซี่ยเจิ้งยังคงหมดสติอยู่และมู่อี้ไม่อยากให้เขาต้องตายไป ดังนั้นหลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งมู่อี้ก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางอีกครั้ง

แม้ว่ามันจะทำให้การฝึกฝนของเขาล่าช้าออกไป แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งการเดินทางครั้งนี้ก็ถือเป็นการฝึกฝนด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าความร้อนในร่างกายของเขาถึงจุดอิ่มตัว แต่ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งที่ขาดหายไปทำให้เขาไม่อาจยกระดับขึ้นไปได้

ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์และไม่อาจย่ำอยู่กับที่ได้

หลังจากล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว มู่อี้ก็ลงไปจากภูเขาทันที

ครั้งนี้เขาไม่ได้พาเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปด้วย เหตุผลข้อแรกก็คือเขามีความมั่นใจในพลังของตนเองและข้อที่สองก็คือเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ในครั้งนี้

ทันทีที่มู่อี้มาถึงเชิงเขา เขาก็เห็นซูจินหลุนกำลังเดินทางมาที่ภูเขาอย่างเร่งรีบ

ซูจินหลุนไม่คิดว่าจะได้พบกับมู่อี้ที่เชิงเขา แต่เมื่อเขาเห็นเซี่ยเหมี่ยวก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที

ก่อนหน้านี้หนึ่งในบรรดาตระกูลที่มั่งคั่งทั้งเจ็ดตระกูลที่ถูกขโมยทรัพย์สมบัติไปนั้นเป็นตระกูลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลซู แต่ถึงอย่างนั้นซูจงซานก็ไม่กล้ารบกวนมู่อี้ แต่เขาไม่คิดว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นและในเวลาเพียงไม่กี่วันมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่

เจ้าหน้าที่ภายในมณฑลหลินอานเสียชีวิตไปนับสิบคนพร้อมๆกัน ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไปมันคงสร้างความแตกตื่นอย่างมาก แต่ผู้พิพากษากูก็ได้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว

อย่างไรก็ตามผู้พิพากษากูไม่นิ่งเฉยและส่งคนไปหาเผิงซ่งหลายเพื่อให้ช่วยหาวิธีเชิญมู่อี้ลงจากภูเขา นอกจากนี้เขายังติดต่อไปที่เมืองฟูเฉิงเพื่อขอความช่วยเหลือและหวังว่าจะได้กองกำลังเสริมมาช่วยโดยเร็วที่สุด ในตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันเกินกว่าที่มณฑลหลินอานจะรับมือได้แล้ว

ซูจินหลุนก็ถูกซูจงซานส่งมาเพื่อเชิญมู่อี้ เมื่อมณฑลหลินอานอยู่ในความวุ่นวายอาจมีผลกระทบต่อตำแหน่งผู้พิพากษาของกูเหยาเซินด้วยเช่นกัน ดังนั้นในตอนนี้ตระกูลซูจึงไม่สามารถนิ่งเฉยได้และต้องแสดงความช่วยเหลือในครั้งนี้เพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นพลังของตระกูลซู

“ท่านนักพรตเต๋า” ซูจินหลุนมีความสุขมากเมื่อเขาเห็นมู่อี้และรีบกล่าวคำทักทายอย่างรวดเร็ว

ด้านหลังซูจินหลุนมีชายคนหนึ่งที่ถือคันธนูอยู่ในมือ ถ้ามู่อี้จำไม่ผิดชื่อของอีกฝ่ายน่าจะเป็นซูเหยียน

ก่อนหน้านี้ลูกธนูที่บินมาจากฟากฟ้าของอีกฝ่ายทำให้มู่อี้ประทับใจอย่างมาก ที่เขาติดตามมาในครั้งนี้คงเป็นคำสั่งของซูจงซานด้วยเช่นกัน

“พี่ซู ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าเช่นนั้นก็ได้” มู่อี้พูดอย่างเป็นธรรมชาติ เขารู้สึกคุ้นเคยกับซูจินหลุนอยู่แล้ว แต่ซูจินหลุนมักเรียกเขาว่าท่านนักพรตเต๋าทุกครั้งที่เจอกัน สำหรับมู่อี้เขาต้องการให้ซูจินหลุนพูดจาอย่างเป็นกันเองมากกว่า “ท่านผู้อาวุโสซูขอให้ท่านมาหรือขอรับ?” มู่อี้ถาม

“ดูเหมือนท่านนักพรตเต๋าจะรู้อยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความต้องการของท่านนักพรต” ซูจินหลุนกล่าวอย่างเร่งรีบ

“ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน กลับไปบอกท่านผู้อาวุโสซูว่าข้าจะรีบไปที่มณฑลหลินอานก่อน” มู่อี้พูดกับซูจินหลุน

“ท่านนักพรต ท่านปู่บอกข้าว่าถ้าท่านจะไปที่มณฑลหลินอานให้ข้าเดินทางไปกับท่านด้วย” ซูจินหลุนพูดขึ้นมาทันที

“ตกลง” มู่อี้เหลือบมองไปที่ซูจินหลุนและไม่ได้ปฏิเสธ เพราะหากไปยังมณฑลหลินอานพร้อมกับซูจินหลุนจะเดินทางได้สะดวกมากกว่า