ตอนที่ 60 ปัญหาที่เกิดขึ้น

มู่อี้ ซูจินหลุน ซูเหยียน และเซี่ยเหมี่ยว ทั้งสี่คนรีบไปที่เมืองที่ผู้พิพากษามณฑลอาศัยอยู่อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าภายในเมืองตอนนี้จะยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแต่มันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด การตรวจสอบที่บริเวณประตูเมืองนั้นเข้มงวดกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัดและทั่วทั้งเมืองยังเต็มไปด้วยทหารมากมายที่เดินลาดตระเวนไปมา

เซี่ยเหมี่ยวพามู่อี้ตรงไปที่บ้านของเขาทันที แม้ว่ามันจะเป็นบ้านหลังเล็กแต่ก็ได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดี มีเพียงลุงและหลานคู่นี้เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ส่วนสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆต่างก็แยกย้ายไปอยู่อาศัยตามชนบท

ก่อนที่จะเข้ามาในบ้านมู่อี้ได้กลิ่นของสมุนไพรที่รุนแรง เขาคิดว่าเซี่ยเหมี่ยวคงไปตามหมอมาช่วยเหลือก่อนที่จะมาขอความช่วยเหลือจากตนเอง

หลังจากได้เข้ามาในบ้านแล้วมู่อี้ก็เห็นว่าเซี่ยเจิ้งกำลังนอนอยู่บนเตียง แต่ในตอนนี้เซี่ยเจิ้งมีร่างกายที่ดำมืดราวกับถ่านและเขาแทบจะสัมผัสลมหายใจของอีกฝ่ายไม่ได้เลย เมื่อมู่อี้ลองใช้กระแสจิตตรวจสอบดูเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งความตายที่อยู่รอบตัวของเซี่ยเจิ้งอย่างหนาแน่น

ถ้าหากมู่อี้ไม่ได้มาด้วยตนเอง น่ากลัวว่าเซี่ยเจิ้งคงไม่อาจผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างแน่นอน

ก่อนจะคิดอะไรไปมากกว่านี้มู่อี้ก็นำยันต์สะกดวิญญาณของเขาออกมาทันทีและแปะลงไปบนร่างกายของเซี่ยเจิ้งจากนั้นแสงสีขาวก็ห่อหุ้มร่างกายของเซี่ยเจิ้งเอาไว้ ควันสีดำที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

แต่แม้ว่าแสงสีขาวจะหายไปแล้วแต่ก็ยังมีควันสีดำอีกมากที่อยู่บนใบหน้าของเซี่ยเจิ้ง นี่แสดงให้เห็นว่าความตายอยู่ใกล้เขามากแค่ไหนในตอนนี้

มู่อี้ใช้ยันต์สะกดวิญญาณอีกแผ่นหนึ่งตามลงไปทันที หลังจากทำอยู่ 3 รอบควันสีดำที่อยู่บนใบหน้าของเซี่ยเจิ้งก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์และลมหายใจของเขาก็เริ่มมีแรงมากยิ่งขึ้น

เซี่ยเหมี่ยวจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้น มีความสุข และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน ในตอนที่ยันต์ที่อยู่บนร่างกายของเขาแตกออกนั้นมันสามารถปกป้องเขาเอาไว้ได้ ในตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของท่านลุงสามอย่างสนิทใจแล้ว ความสงสัยและความรู้สึกไม่ชอบมาพากลที่เขามีต่อมู่อี้ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงในวันนี้

เขายังคิดว่าถ้าหากไม่มียันต์ที่มู่อี้มอบให้เขาอาจจะตายไปแล้วในตอนนี้

เมื่อเขาเห็นว่ามู่อี้สามารถช่วยท่านลุงของตนเองได้ เซี่ยเหมี่ยวก็คุกเข่าลงและแนบศีรษะของตนเองลงกับพื้นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อมู่อี้ทันที

มู่อี้กระพริบตาให้ซูจินหลุนและอีกฝ่ายก็รีบก้าวออกไปประคองเซี่ยเหมี่ยวให้ยืนขึ้นมาทันที ในตอนนี้สมาธิของมู่อี้จดจ่ออยู่กับบาดแผลบนหน้าอกของเซี่ยเจิ้ง มันเหมือนกับว่าเขาโดนกรงเล็บที่แหลมคมข่วนที่หน้าอกจนกลายเป็นรอยเล็บขนาดใหญ่ทั้ง 5 นิ้วอย่างสมบูรณ์

แม้ว่าเขาจะกำจัดควันสีดำที่เสมือนเป็นพลังแห่งความตายออกไปได้หมดแล้ว แต่อาการบวมของบาดแผลก็ยังคงดูน่ากลัวและเซี่ยเจิ้งยังไม่อาจรอดพ้นจากความตายได้ในตอนนี้

มู่อี้ตรวจสอบดูอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เพราะเขาเองก็รู้เรื่องของวิญญาณซากศพเพียงเล็กน้อยจากหนังสือของเจี่ยเหรินเท่านั้น เขาไม่รู้เลยว่าพวกมันมีความสามารถอะไรบ้าง

แต่ด้วยยันต์สะกดวิญญาณ 3 แผ่นก็มากพอที่จะช่วยชีวิตของเซี่ยเจิ้งจากอันตรายได้ ต่อจากนี้คือการรอคอยให้เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

มู่อี้ไม่อาจรอคอยอยู่ที่นี่ได้จึงออกมาจากห้องพร้อมกับซูจินหลุนและเซี่ยเหมี่ยว

มู่อี้ต้องศึกษาเรื่องวิญญาณซากศพเพิ่มมากขึ้นโดยเร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะสามารถหาทางออกของเรื่องนี้ได้

เซี่ยเหมี่ยวไม่ได้ปิดบังอะไรเลย เขาบอกเรื่องทุกอย่างและบอกว่าเขาพบร่องรอยของวิญญาณซากศพได้ยังไงและไปเจอมันที่ไหน

หลังจากได้ฟังเรื่องทุกอย่างแล้วมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณซากศพตัวนี้ดูเหมือนจะจงใจเปิดเผยตัวเองออกมา ราวกับว่ามันกำลังล่อลวงให้เซี่ยเจิ้งเข้าไปติดกับดัก แต่เป้าหมายของอีกฝ่ายคืออะไร? หรือว่ามันมีความเกลียดชังต่อเซี่ยเหมี่ยวหรือเซี่ยเจิ้ง?

ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่มีทางที่มันจะเปิดเผยตัวตนออกมาอย่างแน่นอน

และอีกฝ่ายขโมยสมบัติจากตระกูลต่างๆไปทำไม? ก่อนหน้านี้ตระกูลที่มั่งคั่งทั้ง 7 ตระกูลภายในเมืองนี้ถูกขโมยสมบัติที่อยู่ในบ้านไปพร้อมๆกันและเงินทองที่ถูกขโมยไปนั้นอย่างน้อยต้องใช้รถม้า 20 คันในการขน มันต้องเป็นสมบัติกองเท่าภูเขาอย่างแน่นอน

ด้วยจำนวนเงินทองที่มากมายขนาดนี้เห็นได้ชัดว่าคงไม่สามารถขนย้ายออกไปจากเมืองได้ง่ายๆ ไม่ว่ายังไงเงินทองสมบัติพวกนั้นก็ยังต้องอยู่ในเมืองนี้อย่างแน่นอน แต่มันอยู่ที่ไหนกัน?

นี่เป็นการโจมตีเซี่ยเจิ้งเพื่อดึงดูดความสนใจหรือเปล่า? จากนั้นก็ใช้โอกาสนี้ขนย้ายเงินทองและสมบัติต่างๆออกไปจากเมือง? แต่ผู้พิพากษากูจะโง่ขนาดนั้นเลยหรือ?

มู่อี้กุมศีรษะของตนเองและใช้ความคิด หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไปหรือเขาอาจจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสามารถยืนยันได้ในตอนนี้ก็คือเมื่ออีกฝ่ายกล้าที่จะเปิดเผยตัวเองมันก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ในเมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมต้องมีครั้งที่สองตามมาอย่างแน่นอน

ดังนั้นมู่อี้จึงอยากจะรอให้วิญญาณซากศพปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง

ในตอนบ่ายของวันนี้เซี่ยเจิ้งก็ตื่นขึ้นมาแล้วได้รู้ว่ามู่อี้เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเขา เขาพยายามลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความช่วยเหลือของเซี่ยเหมี่ยวเพื่อมาขอบคุณมู่อี้

มู่อี้ได้ทราบเรื่องราวจากปากของเซี่ยเจิ้งเพิ่มมาอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ วิญญาณซากศพไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแต่ยังมีผู้ที่ร่วมมือกับมันด้วยเช่นกันอีกฝ่ายสวมชุดคลุมสีดำปกปิดใบหน้าเอาไว้ดังนั้นเซี่ยเจิ้งจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้

” 2 คนหรือ? ไม่สิ อาจจะเป็นไปได้ว่านั่นคือผู้ที่สร้างวิญญาณซากศพขึ้นมา” มู่อี้กำลังพยายามไต่ตรองข้อมูลที่เขาได้รับเพิ่มมาแต่ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนัก เพราะในตอนที่มู่อี้รู้ว่าเป็นฝีมือของวิญญาณซากศพเขาก็รู้ว่าต้องมีผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังวิญญาณซากศพแน่นอน

และวิญญาณซากศพก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่าย มันต้องใช้ความพยายามเพื่อฝึกฝนให้เชื่อง

เมื่อตอนบ่ายแก่ๆมู่อี้ขอให้ซูจินหลุนพาเขาเดินไปรอบๆเมืองนี้แต่ก็ทราบมาว่าซูจินหลุนมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำพร้อมกับซูเหยียนจึงมีท่าทีที่ดูลังเลใจ ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามปิดบังเรื่องอะไรบางอย่างไว้

มู่อี้ไม่ได้บีบบังคับให้ซูจินหลุนบอกเรื่องที่ปิดบังออกมาหรืออ้างชื่อของซูจงซานออกมาเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ เขาแค่ยืนอยู่นิ่งๆไม่พูดอะไรเท่านั้นหลังจากผ่านไปประมาณ 12 ลมหายใจในที่สุดซูเหยียนก็เป็นผู้ที่เอ่ยปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแทน

มันกลับกลายเป็นว่าในตอนบ่ายวันนี้ซูจินหลุนได้รับจดหมายฉบับหนึ่งและผู้ที่ส่งจดหมายฉบับนี้มาก็เป็นคนที่มู่อี้รู้จักด้วยเช่นเดียวกัน นั่นก็คือเจิ้งสือซงที่ลอบหนีไปก่อนหน้านี้

แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดว่าเจิ้งสือซงซึ่งควรจะกลับไปที่เมืองหลวงนั้นจะย้อนกลับมาที่เมืองนี้และเมื่อเขาทราบว่าซูจินหลุนก็อยู่ที่เมืองนี้ด้วยเช่นกัน เขาจึงส่งจดหมายมาหาซูจินหลุนและบอกว่ามีเรื่องที่ต้องการพูดคุยด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นภายในจดหมายเจิ้งสือซงยังระบุเอาไว้อีกด้วยว่าเพราะว่าเขามีเรื่องขัดแย้งกับมู่อี้ จึงไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของมู่อี้กับตระกูลซูต้องมาผิดใจกันก็เพราะเขา ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คืออย่าบอกมู่อี้ว่าเขาอยู่ในเมืองนี้แล้ว

หลังจากได้อ่านจดหมายซูจินหลุนก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมาทันที เพราะท่านปู่ได้อธิบายเรื่องราวบางอย่างให้เขาฟังก่อนที่เขาจะมาที่นี่แล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำตามคำสั่งมู่อี้ แม้ว่ามู่อี้ไม่ได้ห้ามเขาในเรื่องนี้แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนหากเขายังไปพบกับเจิ้งสือซง

แต่เจิ้งสือซงก็ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องที่ศึกสายเลือดตระกูลซูมาด้วยกันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูจินหลุนจะทำเป็นไม่สนใจเจิ้งสือซงในตอนนี้

และเขาก็ทราบดีเรื่องความขัดแย้งของมู่อี้และเจิ้งสือซง จึงไม่ต้องการให้มู่อี้พบกับเจิ้งสือซง ไม่อย่างนั้นแล้วเขาที่เป็นคนกลางของเรื่องนี้จะกลายเป็นผู้ที่ต้องลำบากใจมากที่สุด

หลังจากลังเลใจอยู่นานในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไปพบกับเจิ้งสือซงก่อน เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย

ปัญหาเรื่องนี้ซูเหยียนอยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ บางทีซูจินหลุนอาจไม่ได้คิดว่าเขาจะต้องปิดบังเรื่องนี้กับมู่อี้ดังนั้นเมื่อมู่อี้เอ่ยปากถามและซูเหยียนก็เป็นคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทันที

ในทางกลับกันเขาก็ทราบดีถึงความสำคัญของมู่อี้ที่มีต่อตระกูลซู และมันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจด้วยเช่นกัน

หลังจากมู่อี้ได้ยินเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาและเจิ้งสือซงไม่ได้มีปัญหาอะไรกันมากมายแต่เขาเองก็ไม่อยากออกตัวในเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายต้องการหลบหน้าเขาเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจเรื่องนี้

แต่เมื่อซูจินหลุนไม่ได้กลับมาในค่ำคืนนั้น มู่อี้ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน