ตอนที่ 61 เบาะแส

ตอนแรกมู่อี้รู้สึกได้ว่าต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติ หลังจากได้ยินว่าซูจินหลุนหายตัวไปในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าอะไรที่ผิดปกติ เป็นเจิ้งสือซงที่ปรากฏตัวออกมาผิดเวลาในตอนนี้

ในตอนนี้ช่วงปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว เจิ้งสือซงน่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านของเขา และเขาจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นคนที่ทำให้ทำให้มู่อี้ต้องรู้สึกขุ่นเคืองใจและเขาเองก็เป็นฝ่ายที่หนีไป?

ยิ่งไปกว่านั้นซูจินหลุนยังมาที่เมืองนี้พร้อมกับเขาและไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเลย เจิ้งสือซงทราบเรื่องนี้ได้ยังไง? น่าเสียดายที่กว่ามู่อี้จะเข้าใจมันก็สายไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นฝีมือของเจิ้งสือซงและยังต้องมีคนที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่อีกแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าซูจินหลุนอยู่ที่ไหน ส่วนเป้าหมายที่แท้จริงของเจิ้งสือซงนั้นมันก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนในตอนนี้

แม้แต่มู่อี้เองก็รู้สึกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเจาะจงมาที่เขา แต่เจิ้งสือซงจะสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรอ? คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่มีทาง

ตั้งแต่มู่อี้เริ่มฝึกฝนเขาก็ได้พบเจอกับศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ เจี่ยเหรินตายไปแล้ว และเจิ้งสือซงก็เลือกที่จะหนีไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นในตอนนี้จึงเหลือเพียงฉือกุยเท่านั้น

เจิ้งสือซง วิญญาณซากศพ ฉือกุย เบาะแสทั้งหมดค่อยๆเชื่อมต่อกันภายในจิตใจของมู่อี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจแต่เขาก็มั่นใจว่าทั้ง 3 อย่างต้องมีความเกี่ยวข้องกัน 70-80 เปอร์เซ็นต์

ในตอนแรกฉือกุยหนีออกไปจากเมืองฟุเนียวได้สำเร็จแต่เขาจะต้องทุกข์ทรมานกับบาดแผลต่างๆที่เขาได้รับมา ดังนั้นถ้าหากว่าไม่มีคนที่มาช่วยเหลือเขา เขาไม่มีทางจะรอดมาถึงที่นี่ได้แน่นอน

เมื่อนึกถึงเจิ้งสือซงที่รีบออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดในวันถัดมานั้น บางทีอาจจะมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นในเวลานั้นก็ได้ อย่างเช่นเจิ้งสือซงบังเอิญไปเจอฉือกุยอยู่บนถนนในขณะที่เขากำลังเดินทางและได้ทำการช่วยเหลืออีกฝ่ายเอาไว้

เพราะเจิ้งสือซงและฉือกุยต่างก็มีศัตรูคนเดียวกันนั่นก็คือ มู่อี้

เจิ้งสือซงไม่ได้กลับไปที่บ้านเกิดของเขา กลับกันเขามารอคอยโอกาสภายในเมืองนี้

แต่ก็มีเรื่องบางอย่างที่มู่อี้ยังไม่เข้าใจ ถ้าหากทั้งสองคนต้องการบีบบังคับเขาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ทำไมถึงต้องขโมยเงินทองจากทั้ง 7 ตระกูลด้วย?

หรือว่าพวกเขาต้องการเงิน?

ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้นมู่อี้ก็ได้พบกับเซี่ยเหมี่ยวและซูเหยียนจึงขอให้พวกเขาไปสืบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ตระกูลมั่งคั่งทั้ง 7 ตระกูลถูกขโมยเงินทองไปเพิ่มเติม มันจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน จะต้องมีกองกำลังอะไรบางอย่างที่ต้องการใช้เงินในตอนนี้

สำหรับซูจินหลุนนั้น มู่อี้เชื่อว่าเขาจะต้องไม่เป็นอันตรายใดๆอย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะถ้าหากว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้คือฉือกุยและเจิ้งสือซงจริง เป้าหมายของทั้งสองคนย่อมเป็นมู่อี้และซูจินหลุนคงไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ในตอนนี้มู่อี้ทำได้เพียงแค่รอเท่านั้น รอให้ศัตรูเตรียมแผนการทุกอย่างจนเสร็จสิ้นและส่งจดหมายมาแจ้งให้เขาทราบ

ในวันต่อมาก็ไม่มีข่าวคราวใดๆเลยแม้แต่จากตระกูลซู แม้ว่าทายาทผู้สืบทอดตระกูลของพวกเขาจะหายตัวไปแต่ซูจงซานก็ไม่ได้กดดันมู่อี้ในเรื่องนี้เลย การที่เขาเลือกที่จะเงียบในตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อในตัวมู่อี้มากแค่ไหน

และมู่อี้ก็ไม่ได้เร่งรีบในเรื่องนี้ เขารอคอยอยู่ในสวนหลังบ้านเล็กๆของเซี่ยเจิ้งอย่างเงียบๆและยังสอบถามเซี่ยเจิ้งเรื่องการสืบสวนคดีอยู่บ่อยครั้ง

หลังจากได้พักฟื้นมาหนึ่งวัน แม้ว่าร่างกายของเซี่ยเจิ้งจะยังคงอ่อนแออยู่แต่เขาก็สามารถเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว

เมื่อเห็นว่ามู่อี้มาสอบถามเรื่องต่างๆเซี่ยเจิ้งก็บอกเรื่องทุกอย่างที่ตนเองรู้โดยไม่มีการปกปิดแม้แต่น้อย ทัศนคติของเขาเต็มไปด้วยความเคารพและทักษะความรู้ต่างๆที่เขาพูดออกมาในตอนนี้มากยิ่งกว่าตอนที่เขาสอนหลานชายเสียอีก

แม้ว่าเซี่ยเจิ้งจะเป็นแค่คนธรรมดาแต่มู่อี้ก็ไม่เคยดูถูกเขาเลย และในตอนนี้เขายังได้ความรู้มากมายจากเซี่ยเจิ้งอีกด้วย

ในตอนบ่ายเซี่ยเหมี่ยวเร่งรีบกลับเข้ามาที่บ้านด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้า จากนั้นเขาก็รีบแจ้งข่าวที่มู่อี้อยากจะรู้ก่อนหน้านี้ให้ทราบทันที

ช่วงก่อนหน้านี้เริ่มมีกองกำลังที่รวมตัวกันภายในเมืองนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวกันอย่างเงียบๆแต่ก็ยังสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้

ภูเขาเสี่ยวหานตั้งอยู่ในทางทิศตะวันตกของมณฑลหลินอาน พื้นที่บริเวณนั้นมีเพียงป่าไม้และลำธารเท่านั้น

ความจริงแล้วที่ภูเขาเสี่ยวหานก็มีโจรภูเขาด้วยเช่นกันแต่พวกเขาก็รวมตัวกันเหมือนพรรคของจอมยุทธและยังมีกฎที่วางเอาไว้ด้วยเช่นกันนั่นคือพวกเขาไม่เคยปล้นคนธรรมดา ดังนั้นแม้ว่าราชสำนักจะประกาศจับพวกโจรภูเขามากแค่ไหนแต่ในสายตาของผู้คนที่อยู่ใกล้ๆภูเขาแล้ว โจรภูเขาเสี่ยวหานนั้นยังดีกว่าพวกเจ้าหน้าที่จากราชสำนักเสียอีก

ชิวเยวี่ยถงคือผู้นำของกลุ่มโจรภูเขานั้นและยังถือได้ว่าเป็นเจ้าแม่ของวงการโจรภูเขา นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือมากมายที่อยู่ใต้อำนาจของนาง แม้ว่าชิวเยวี่ยถงจะเป็นหญิงสาวแต่ฝีมือของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายคนอื่นๆเลยและยังถูกขนานนามว่าเป็นวีรสตรีอีกด้วย

นอกจากนี้พวกเขายังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลใหญ่ภายในเมือง ดังนั้นแม้ว่ากลุ่มโจรภูเขาเสี่ยวหานจะเป็นเพียงแค่กลุ่มโจรแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขาและทุกๆคนก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ดูจากข้อมูลที่ได้มาแล้วตราบใดที่ชิวเยวี่ยถงไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะเลือกปล้นตระกูลที่มั่งคั่งภายในเมืองนี้และกลุ่มโจรภูเขาก็ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะสามารถขโมยเงินจากตระกูลที่มั่งคั่งทั้ง 7 ตระกูลภายในคืนเดียวโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เลย

ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นฝีมือของโจรภูเขากลุ่มนี้เลย ทุกๆคนต่างก็มองข้ามกลุ่มโจรภูเขาไปโดยไม่รู้ตัว และไม่มีใครรู้สึกสงสัยวีรสตรีนางนี้

ในตอนที่มู่อี้ได้ยินเรื่องนี้เขาก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน แต่คำพูดของเซี่ยเจิ้งก็ได้ทำลายความลังเลใจของมู่อี้ไปทั้งหมด

พยัคฆ์ไม่ว่าตอนหลับหรือตอนตื่นมันก็ยังเป็นพยัคฆ์อยู่เสมอ

แม้ว่าโจรภูเขากลุ่มนี้จะไม่เคยปล้นชิงขโมยสมบัติจากคนธรรมดาแต่มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพวกเขาคือโจรไปไม่ได้และในบางครั้งยิ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใกล้ความจริงได้มากขึ้นเท่านั้น

ในตอนที่เซี่ยเจิ้งได้ทราบเรื่องนี้ก็รีบสั่งการให้เจ้าหน้าที่ภายในเมืองตรวจสอบทุกการกระทำของพวกโจรภูเขาในทันทีและข้อมูลที่ได้ทั้งหมดก็จะถูกส่งให้มู่อี้ ในท้ายที่สุดนั้นมู่อี้ก็สามารถเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในสมองของตนเองได้

หลีหู่เป็นหัวหน้าคนที่ 2 ของกลุ่มโจรภูเขาและเขายังมีบิดาคนเดียวกับชิวเยวี่ยถงอีกด้วย ในกลุ่มโจรภูเขานั้นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเขามีเพียงชิวเยวี่ยถงเท่านั้น

ในใจของโจรภูเขาหลายๆคนกลับคิดว่าหลีหู่เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาที่ยิ่งใหญ่นี้มากกว่า อย่างน้อยที่สุดในด้านของการพูดจูงใจคนมากมายนั้นหลีหู่นั้นสามารถทำเรื่องนี้ได้ดีมาก

มู่อี้สงสัยในตัวหลีหู่เพราะว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลยในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาและพฤติกรรมของเขาก็ดูผิดปกติด้วย

น่าเสียดายที่มู่อี้ไม่เหลือเวลามากนัก ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงสามารถหาข้อมูลได้มากกว่านี้

“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วฉือกุย เจิ้งสือซง และหลีหู่ร่วมมือกันอย่างนั้นหรอ? พวกเขามาร่วมมือกันได้ยังไง?”

“หลีหู่เป็นหัวหน้าคนที่ 2 ของกลุ่มโจรภูเขาย่อมต้องการเงินจำนวนมากและเขาอาจจะมีความทะเยอทะยานในการขึ้นมาเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรภูเขา แม้ว่าฉือกุยจะไม่ได้ขาดเงินแต่เขาก็ขาดคนคอยช่วยเหลือเพื่อที่จะล้างแค้นมู่อี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาจำเป็นต้องล้างแค้นตระกูลซูด้วยเช่นกัน ในเมื่อฝ่ายหนึ่งขาดเงินอีกฝ่ายหนึ่งขาดคน ทั้งสองฝ่ายจึงร่วมมือกันและทำการขโมยเงินทองจากตระกูลที่มั่งคั่งทั้ง 7 ตระกูลภายในมณฑลหลินอานในตอนแรก แต่เจิ้งสือซงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังไง? “

มู่อี้ไม่เข้าใจ เจิ้งสือซงเกลียดชังเขานั่นเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับตระกูลซู? นั่นคือตระกูลของตาเขา เขาไม่มีศีลธรรมหลงเหลืออยู่ในใจเลยหรือไง?

หรือว่าความเกลียดชังมันบดบังสายตาของเขาไปหมดแล้ว? ถึงไม่สนใจอะไรเลย?

มู่อี้ไม่อาจคาดเดาความคิดของเจิ้งสือซงได้ คงทำได้เพียงถามจากอีกฝ่ายเมื่อเจอหน้ากันเท่านั้น

ในคืนต่อมามู่อี้ก็กำจดหมายที่อยู่ในมือของเขาเอาไว้และยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที หลังจากให้รอคอยอยู่นานในที่สุดอีกฝ่ายก็เดินหน้าต่อแล้ว?

หลังจากเซี่ยเจิ้งอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมู่อี้ก็ออกเดินทางไปเพียงคนเดียวทันที