ตอนที่ 62 การสังหารในยามค่ำคืน

เสียงสุนัขเห่าดังผ่านประตูไม้ในบ้านของคนจนเข้ามาทั้งคืน แม้ว่าในคืนนี้จะเป็นคืนที่หิมะตกหนักก็ตาม

มู่อี้นึกถึงบทกลอนที่เขาเคยรู้จักก่อนหน้านี้มันช่างเหมาะสมกับช่วงเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง

แต่น่าเสียดายที่มีเสียงหมาเห่ามาตลอดทั้งคืน แม้ว่าหิมะจะตกลงมาพร้อมกับแสงจันทร์ที่กระจ่างใสแต่เสียงหมาเห่านี้ก็ทำลายความสุนทรีย์ทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ไม่อย่างนั้นนี่คงเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างแน่นอน

ตำแหน่งที่ในจดหมายระบุเอาไว้นั้นอยู่ทางตะวันตกของเมืองนี้และมู่อี้จะต้องไปที่นั่นเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วซูจินหลุนจะไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาได้

ความจริงแล้วมู่อี้ก็ไม่คิดที่จะพาใครไปด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว การเผชิญหน้ากับวิญญาณซากศพคนธรรมดาย่อมไม่อาจช่วยอะไรเขาได้เว้นแต่ว่าจะมีคนที่ไม่กลัวความตายเป็นสิบเป็นร้อยคน

แต่ศัตรูก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าหากมู่อี้พาคนไปด้วยมากมายขนาดนั้นจริงๆ น่ากลัวว่าอีกฝ่ายคงจะหนีไปอย่างแน่นอน

ปลายทางของมู่อี้ในครั้งนี้คือหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่งซึ่งถูกทิ้งร้างมานานหลายปี

ว่ากันว่าก่อนหน้านี้มีคนนับร้อยคนที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่ทุกๆคนที่อยู่ภายในหมู่บ้านก็เสียชีวิตไปภายในค่ำคืนเดียวเท่านั้นและไม่มีใครรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องลี้ลับขนหัวลุกที่บอกเล่าต่อไปแบบปากต่อปากเท่านั้น

ข่าวลือมากมายที่กล่าวว่ามีคนถูกหลอกหลอนใกล้พื้นที่บริเวณนั้น หมู่บ้านแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าหมู่บ้านผีสิง

เขาได้ทราบเรื่องเหล่านี้จากปากของเซี่ยเจิ้ง บางทีเรื่องนี้มาอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เซี่ยเจิ้งถูกทำร้ายด้วยเช่นเดียวกัน

หลังจากได้ยินว่ามู่อี้จะต้องไปที่นี่เซี่ยเจิ้งก็ขมวดคิ้วด้วยความกังวลทันที แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรมู่อี้ได้จึงบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้ให้มู่อี้ได้ทราบ หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับมู่อี้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป

ภูตผีวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่มู่อี้รู้สึกกังวล เขารู้ดีว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าภูตผีเสียอีก ในตอนนี้เขาไม่ได้ขาดยันต์สะกดวิญญาณหรือยันต์ปราบปีศาจเลย ถ้าหากศัตรูเป็นวิญญาณจริงๆมันย่อมดีต่อธงราชันย์แห่งวิญญาณที่เขามีอยู่ด้วยเช่นกัน. .

ในตอนนี้มู่อี้สามารถส่งกระแสจิตของเขาเพื่อเชื่อมต่อกับธงราชันย์แห่งวิญญาณได้มากยิ่งขึ้นและพลังของธงราชันย์แห่งวิญญาณก็สามารถแสดงผลออกมาได้ด้วยเช่นกัน สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือธงราชันย์แห่งวิญญาณยังคงหักอยู่ในตอนนี้และมู่อี้ไม่มีวิธีซ่อมแซมมันเลยในตอนนี้

ในตอนนี้เมื่อเข้ามาใกล้นั้นเขาก็เห็นว่าหมู่บ้านร้างแห่งนี้มืดมากและเมื่อเขามองไปที่หมู่บ้านร้างแห่งนี้จากระยะไกลๆเขาก็รู้สึกราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่ดำมืดอยู่ภายในหมู่บ้านร้างแห่งนี้และมันพร้อมกลืนกินทุกๆคนที่เข้าไปที่นั่น

มู่อี้เดินเข้าไปในหมู่บ้านร้างแห่งนี้ด้วยความกล้าหาญ

แม้ว่าท่าทีของเขาจะดูเหมือนไม่สนใจแต่ความจริงแล้วมู่อี้ก็เตรียมตะเกียงทองแดงเอาไว้ใต้แขนเสื้อทางด้านซ้ายของเขาอยู่ตลอดเวลาและในแขนเสื้อด้านขวาก็มียันต์ปราบปีศาจที่เขาถืออยู่ ถ้าหากมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นเขาพร้อมที่จะโจมตีออกไปทันที

ยันต์สายฟ้าทั้ง 3 แผ่นนั้นต่างก็ถูกเก็บเอาไว้ในตำแหน่งที่มู่อี้สามารถหยิบออกมาได้ง่ายที่สุด

แต่ค่ำคืนที่มืดมิดนี้ก็สร้างความลำบากให้กับมู่อี้ด้วยเช่นกัน เพราะมู่อี้ก็ยังถือว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งและเขาเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนในวิชาเต๋าเท่านั้น

สิ่งที่เรียกว่าดวงตาสวรรค์นั้น มีเพียงการเข้าสู่ระดับความยาก ขั้นที่ 2 เท่านั้นถึงจะมีโอกาสเปิดออกได้

แต่ในตอนนี้พลังแห่งจิตใจของมู่อี้ก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว เขาสามารถรับรู้ได้จากพลังแห่งจิตใจของตนเอง ไม่ว่าจะวิญญาณหรือมนุษย์ตราบใดที่เข้าใกล้เขาในระยะ 10 เมตร เขาย่อมรู้ตัวอย่างแน่นอน

บางทีอาจเป็นเพราะว่าถูกทิ้งร้างมานานหลายปีหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่แค่ดูเก่าและทรุดโทรมเท่านั้นไปยังดูน่ากลัวเมื่ออยู่ในเวลากลางคืนแบบนี้

“ตึก ตึก ตึก!”

ทันทีที่มู่อี้ก้าวเท้าเข้าไปในหมู่บ้านร้างเขาก็ต้องยืนนิ่งทันที

เขาเห็นร่างสีขาวยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆและยังยืนอยู่อย่างโดดเด่น อีกฝ่ายค่อยๆหันหลังมามองเขาพร้อมกับเส้นผมยาวที่ปลิวไปตามสายลม

“นั่นใคร!”

ในตอนนี้มู่อี้รู้สึกได้ถึงความอันตรายขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็รีบดึงศีรษะหลบแทบจะในทันที

สายลมที่รุนแรงพุ่งเข้ามาปะทะกับแก้มของมู่อี้ ทำให้ใบหน้าของเขารู้สึกร้อนและเจ็บปวดขึ้นมา ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นเร็วขึ้นหลายเท่าอย่างกะทันหันและนั่นคงเป็นเพราะความกังวลและความหวาดกลัวในใจของเขา

วิกฤตแล้ว เขารู้สึกได้ว่าอันตรายครั้งนี้นักหนาที่สุดที่เขาเคยพบมาในชีวิต ยิ่งกว่าตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเจี่ยเหรินเสียอีก

สิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขาก่อนหน้านี้จะต้องเป็นลูกธนูอย่างแน่นอนและนั่นทำให้มู่อี้รู้ว่าอีกฝ่ายต้องเป็นยอดฝีมือในด้านการยิงธนูและไม่ได้ด้อยไปกว่าซูเหยียนเลย

ในตอนนั้นฉือกุยก็ได้รับการบาดเจ็บครั้งใหญ่จากลูกธนูด้วยเช่นกัน กลับกลายเป็นว่ามู่อี้กำลังเผชิญหน้ากับอันตรายเดียวกันในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะมาที่นี่ตัวคนเดียวแต่ไม่ได้หมายความว่าศัตรูจะมีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะมู่อี้หรือฉือกุยต่างก็ยังฝึกฝนติดใจอยู่ในความยากขั้นที่ 1 เท่านั้น บางทีสภาพร่างกายของเขาอาจจะไม่ได้ดีกว่าคนธรรมดาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ดาบธรรมดาก็สามารถฆ่าเขาให้ตายได้แล้วไม่ต้องพูดถึงลูกธนูที่รุนแรงที่ยิงออกมาก่อนหน้านี้เลย

ทันทีที่มู่อี้หลบลูกธนูได้ ศัตรูก็รีบหลบออกไปจากทางเดินของหมู่บ้านทันทีบางทีอาจเป็นเพราะว่าศัตรูกลัวว่าตัวตนของตนเองจะถูกเปิดเผยออกไปและมู่อี้อาจจะเข้ามาประชิดตัวได้ ในเมื่อศัตรูเป็นนักธนูย่อมต้องเลือกที่จะรักษาระยะห่างจากมู่อี้อย่างไม่ต้องสงสัย. .

แต่มู่อี้ก็เชื่อว่าศัตรูได้เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว ลูกธนูที่ยิงเข้ามาก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นและยังคงมีการโจมตีอื่นๆรอเขาอยู่แน่นอน

เมื่อเห็นว่ามู่อี้หลบการโจมตีของลูกธนูได้ ก็มีชายในชุดดำสองคนกระโดดลงมาจากหลังคาบ้านพร้อมกับตรงมาฆ่าเขาด้วยมีดที่แหลมคมทันที

มู่อี้จ้องมองไปที่ทั้งสองคน มือขวาของเขาสะบัดออกไปเล็กน้อยและยันต์ปราบปีศาจ 2 แผ่นก็ลอยออกไปพร้อมๆกัน

ในตอนที่ศัตรูปรากฏตัวออกมานั้นมู่อี้ก็สัมผัสได้ว่าชายในชุดดำทั้งสองคนนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น และอาจจะเรียนรู้เรื่องการต่อสู้มาบ้างนิดหน่อย

แต่ฝีมือของพวกเขาไม่ได้สูงมากนะ

แสงสีขาว 2 เส้นถูกปล่อยออกไปจากมือของมู่อี้และก่อนที่ชายในชุดดำทั้งสองคนจะได้ทำอะไรแสงสีขาวก็ปะทะกับหน้าอกของพวกเขาในทันที

ชายในชุดดำทั้งสองคนกระอักเลือดออกมาและกระเด็นออกไปไกลโดยไม่มีเสียงร้องใดๆออกมาแม้แต่น้อย

ในตอนนี้ยันต์ปราบปีศาจของมู่อี้ทรงพลังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้งั้นหรือ? ถ้าหากฉือกุยเป็นผู้รับการโจมตีของมู่อี้ในตอนนี้ เขาคงจะรู้ได้ทันทีว่ามันมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ในตอนนั้นมู่อี้อยู่เพียงก้าวที่ 2 ของการฝึกฝนความยากขั้นที่ 1 เท่านั้นและการใช้ยันต์ของเขาก็ถือว่าอยู่ในระดับมือใหม่ แต่ในตอนนี้มู่อี้มาถึงก้าวที่ 3 ของการฝึกฝนความยากขั้นที่ 1 แล้ว ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของความยากขั้นที่ 1 อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะก้าวเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 ในทันที

แม้แต่ยันต์ที่มู่อี้วาดขึ้นมาก็ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

ในตอนนั้นฉือกุยสามารถใช้ธงราชันย์แห่งวิญญาณป้องกันพลังส่วนหนึ่งของยันต์สายฟ้าเอาไว้ได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นตอนนี้เมื่อไม่มีธงราชันย์แห่งวิญญาณในมือเขาแล้ว น่ากลัวว่าเขาคงต้องตายเพราะยันต์สายฟ้าอย่างแน่นอน

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉือกุยนั้นเป็นคนที่เฉลียวฉลาด เขาย่อมรู้ดีว่ามู่อี้มีพลังมากเพียงใดดังนั้นเขาจึงส่งคนออกมาเพื่อทดสอบและบั่นทอนพลังของมู่อี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ชายในชุดดำทั้งสองคนนอนอยู่บนพื้นและไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมา แต่ทาง ด้านข้างในตอนนี้มีลำแสงเส้นหนึ่งที่ระเบิดขึ้นมาในความมืดและตรงเข้ามาหามู่อี้ราวกับอสรพิษ

ในตอนที่กระบี่เล่มนี้พุ่งออกมานั้น ก็เป็นช่วงเวลาที่มู่อี้ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีและเขาไม่อาจรับการโจมตีที่เข้ามาในครั้งนี้ได้แน่นอน

แต่แม้ว่าจะเพิ่มศัตรูมาอีกคนถ้าหากเข้ามาในระยะการตรวจสอบของมู่อี้ไม่ว่าจะเงียบมากแค่ไหนมู่อี้ก็สามารถรับรู้ได้

ด้วยพลังแห่งจิตใจของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามหลบซ่อนตัวมากแค่ไหนมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากแสงไฟในยามค่ำคืน

เมื่อศัตรูเลือกที่จะโจมตีออกมามู่อี้ก็แสดงให้เห็นความโหดเหี้ยมของเขาด้วยเช่นกัน

ในตอนที่แสงสว่างเกิดขึ้นนั้นมันทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของศัตรูที่กำลังโจมตีเข้ามาด้วยเช่นกันแต่ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างที่กำลังคุกคามชีวิตของเขา

“ตู้ม!”

ทันใดนั้นกำแพงที่อยู่ด้านหลังของมู่อี้ก็ระเบิดออกมาจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่และมีก้อนอิฐบางส่วนที่กระเด็นมากระแทกกับแผ่นหลังของมู่อี้ด้วยเช่นกัน