บทที่ 134 เอาเปรียบ?

บทที่ 134 เอาเปรียบ?

“อู๋ฝาน เป็นอะไรรึเปล่า?” หวังจื่อหมิงพบเห็นอาการผิดปกติของอู๋ฝาน ที่กำลังจับจ้องภาพวาดและงานคัดลายมือบนพื้นที่จัดแสดง ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำถามขึ้น “ทำไมกัน สนใจเหรอ? ถ้าหากเป็นแบบนั้น ผมซื้อให้คุณได้นะ เพียงแต่ต้องย้ำให้ทราบว่าผลงานคัดลายมือและภาพวาดที่เห็นนี้ แทบไม่มีค่าอะไรแก่การสะสม”

หวังจื่อหมิงทราบว่าอู๋ฝานไม่ทราบอะไรในเรื่องของสะสม ดังนั้นจึงบอกเตือนด้วยความเป็นมิตร

อู๋ฝานยังไม่ตอบคำของหวังจื่อหมิง ทว่าเอ่ยคำถาม “เคยได้ยินชื่อหลี่ซูจือมาก่อนไหม?”

“หลี่ซูจือ? แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินสิ” หวังจื่อหมิงไม่อาจทราบว่าเหตุใดอู๋ฝานจึงเอ่ยถามอย่างกะทันหัน ทว่าก็ยังอธิบายด้วยความหวังดี “หลี่ซูจือเป็นนักคัดลายมือผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์สุย ผลงานคัดลายมือของเขาคือที่สุดในยุคราชวงศ์สุย กระทั่งเป็นช่วงของราชวงศ์ถัง ก็ยังไม่มีใครที่สามารถเทียบเคียง เขาจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ปราชญ์แห่งการคัดลายมือ’ ผลงานการคัดลายมือของเขาทุกชิ้น เรียกได้ว่าเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะกับบรรดาผู้ที่สะสมงานคัดลายมือและภาพวาด พวกเขาถึงขนาดเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ ยังจำได้ว่าหลายปีก่อน มีการนำงานคัดลายมือของหลี่ซูจือมาประมูล ราคาสุดท้ายประมูลออกไปที่สี่สิบแปดล้าน โชคไม่ดีนัก ที่ผลงานของหลี่ซูจือมีหลงเหลือตกทอดมาไม่มาก ผมเองก็อยากได้งานคัดลายมือของหลี่ซูจือมาสะสมเช่นกัน เพียงแต่หาได้ยาก”

เห็นได้ชัดว่าหวังจื่อหมิงทราบเรื่องแวดวงของสะสมอย่างกว้างขวาง กว้างยิ่งกว่าอู๋ฝานผู้ไม่เคยข้องเกี่ยวกับวงการ ยามนึกคิดย้อนกลับ อู๋ฝานเคยเกือบเอาตัวไม่รอดมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นมีหรือจะไปสนใจงานสะสมโบราณวัตถุอะไรได้ ทั้งยังเป็นของระดับสูง

“ถ้าอย่างนั้น เขาก็มีผลงานที่ชื่อส่งแขกกลับอยู่ด้วยใช่ไหม?” อู๋ฝานถามออกไปด้วยความร้อนรนและใจเต้นรัว

สี่สิบแปดล้าน!

ผลงานของหลี่ซูจือสามารถขายออกได้ในราคาสูงล้ำ! หากว่าวิชาตรวจสอบไม่ผิดพลาด ในมือของพิธีกรหญิงก็กำลังถือผลงานที่ล้ำค่าหลายสิบล้านเอาไว้ในมือ

และเรื่องราวนี้ มีเพียงอู๋ฝานที่รู้!

อู๋ฝานเกิดตื่นเต้นยินดี!

ทั้งยังร้อนรน!

“ส่งแขกกลับ? ก็มีอยู่” หวังจื่อหมิงตอบรับ “ส่งแขกกลับที่ว่า เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของหลี่ซูจือแล้ว เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดผลงานการคัดลายมือก็ว่าได้ มันมีค่ายิ่งกว่าผลงานอื่นอย่างเทียบไม่ได้ หากว่าถูกนำมาประมูล มูลค่าการซื้อขายย่อมต้องสูงกว่างานประมูลที่บอกไปเมื่อครู่ เพียงแต่กล่าวกันว่าผลงานชิ้นนั้นสูญหายไปแล้ว บางทีอาจถูกทำลายในกระแสธารของกาลเวลา นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย”

สูญหาย?

ไม่ใช่!

มันอยู่ที่นี่และตรงนี้ ในมือของพิธีกรสาว!

แม้อู๋ฝานยังไม่อาจทราบได้ว่าเหตุใดผลงานทั้งสองชิ้นจึงมาอยู่คู่กันเป็นผลงานเดียวกันได้ แต่เขาเชื่อมั่นในวิชาตรวจสอบที่ไม่เคยหลอกลวง และผลงานส่งแขกกลับของหลี่ซูจือ มันคือผลงานคัดลายมือและภาพวาดอันน่าเวทนาที่กำลังถูกนำเสนอ

ใจอู๋ฝานเต้นรัวเร็วแทบผิดจังหวะ มันคือเงินหลายสิบล้านหยวน เป็นจำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ตัวเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต

ต้องซื้อ!

ต้องซื้อมันมาให้ได้!

อู๋ฝานร้องตะโกนดังลั่นอยู่ในใจ

เพียงแต่ อู๋ฝานกลับต้องเกิดนึกอับอายขึ้นมา เพราะตัวเขาไม่มีเงิน

แม้ว่าช่วงนี้กิจการค้าขายบาร์บีคิวค่อนข้างเฟื่องฟูขึ้น แต่เพราะเพิ่งขายดีได้ไม่นาน ทำให้ยังไม่มีเงินสะสมมากพอ อย่างไรก็ไม่มีพอจ่ายถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน

แต่ว่า จะยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปต่อหน้าต่อตางั้นหรือ?

หากเป็นเช่นนั้น อู๋ฝานคงไม่อาจกินได้นอนหลับไปอีกหลายวัน เขาจะจดจำเหตุการณ์ครั้งนี้เอาไว้ในใจไปชั่วชีวิต หากเมื่อไหร่นึกย้อนย่อมต้องมีเรื่องนี้ผุดขึ้นมากวนใจ

จะปล่อยมันไปไม่ได้!

“เหมือนคุณจะชอบผลงานนี้มากแล้วมั้ง?” หวังจื่อหมิงที่พบเห็นอู๋ฝานจับจ้องงานคัดลายมือและภาพวาด ถึงกับต้องเอ่ยถามออกมา

“ใช่ครับ” อู๋ฝานไม่กล้าปฏิเสธ เพราะเขาต้องการซื้อผลงานชิ้นนี้อย่างแรงกล้า

หวังจื่อหมิงได้ยินดังนั้น จึงเผยยิ้มรับพร้อมกับยกบัตรเสนอราคาในมือขึ้น เสียงตะโกนดังไปทางหน้าเวที “หนึ่งแสนหกหมื่น!”

เสียงของหวังจื่อหมิงช่วยทำลายความเงียบในห้องโถง เพียงชั่วพริบตา สายตาของทุกคนจึงหันมองทางหวังจื่อหมิงแทบทั้งสิ้น เพราะหวังจื่อหมิงเป็นคนมีชื่อเสียง บางคนกระทั่งคิดใช้โอกาสนี้เข้าเกลี้ยกล่อมหวังจื่อหมิงว่าอย่าได้เสียเงินโดยใช่เหตุ

“นายน้อยหวัง ผลงานนี้เลวร้าย ไม่คู่ควรกับราคานี้”

“ถูกต้องแล้ว นายน้อยหวัง ครั้งนี้คุณอาจประเมินพลาดไป”

“นายน้อยหวัง ผลงานเช่นนี้มีอยู่ทั่วไปหมด ไม่เห็นจำเป็นต้องจ่ายขนาดนี้”

แม้กลุ่มคนในที่นี้ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง แต่หากต้องจ่ายกับอะไรที่ไม่ควรค่า ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดี พวกเขาไม่สนใจเรื่องเงินที่ต้องจ่าย แต่หากต้องใช้จ่ายอย่างผิดพลาด มันถือเป็นการเสื่อมเสีย ภายหลังจะยังถูกเยาะเย้ยเสียด้วยซ้ำ พวกเขาย่อมไม่อยากให้เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้น

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากซื้อเพราะนึกสนุก” หวังจื่อหมิงยิ้มรับพร้อมกับอธิบาย

พบเห็นหวังจื่อหมิงยืนกราน ทุกคนจึงหยุดเกลี้ยกล่อม เพียงแต่ในใจกำลังครุ่นคิดว่าหวังจื่อหมิงกำลังถูกเอาเปรียบจนเกินไป เป็นการสูญเงินโดยเปล่า และไม่ทราบว่าเหตุใดเขายังทำแม้รู้ตัว

ในใจหวังจื่อหมิงเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน เขามองว่าครั้งนี้คือการถูกเอาเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการใช้จ่ายเงินอย่างผิดที่ผิดทาง เพราะเขาไม่ได้ซื้อให้ตัวเอง แต่เป็นให้อู๋ฝาน เขาเพียงต้องการสานสัมพันธ์กับอู๋ฝาน หากต้องสูญเงินสักเล็กน้อย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจถึงขนาดนั้น

อู๋ฝานเองก็เข้าใจเจตนาของหวังจื่อหมิง ก่อนหน้านี้หวังจื่อหมิงยังไม่ชอบผลงานชิ้นนี้ตรงใดเลยด้วยซ้ำ ทว่าขณะนี้ยินดีเสนอราคา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะตัวเขาเอง อู๋ฝานคิดอยากปฏิเสธ แต่ยามนึกคิดถึงมูลค่าผลงานของหลี่ซูจือ มันดีเกินกว่าจะปฏิเสธได้ เขาจึงไม่พูดอะไร ทว่านึกซาบซึ้งและขอบคุณต่อหวังจื่อหมิง

พิธีกรบนเวทีเดิมรู้สึกอับอายและว้าวุ่น เพราะไม่มีใครเสนอราคาขึ้นมา เขาเองก็ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรต่อ แต่แล้วทันใดนั้น หวังจื่อหมิงกลับเสนอราคาขึ้นมา จึงถึงกับทำเขานึกโล่งอก กระทั่งมองตอบด้วยความซาบซึ้งนึกขอบคุณ หวังจื่อหมิงมองตอบมาเช่นกัน ถัดจากนั้นพิธีกรจึงดำเนินงานของตนเองต่อ “หมายเลขยี่สิบหก นายน้อยหวัง เสนอราคาหนึ่งแสนหกหมื่น มีใครให้สูงกว่าหรือไม่ครับ? เจ้าของผลงานชิ้นนี้ค่อนข้างทำผลงานออกมาได้ดี เขา…”

เพราะมีคนเสนอราคา พิธีกรจึงต้องเอ่ยคำชมเชยกับเจ้าของผลงานสักเล็กน้อย แต่โชคร้าย ที่ไม่มีใครอื่นตอบรับอะไรด้วย มีก็เพียงหวังจื่อหมิง ส่วนคนอื่นนั้นไม่มีความคิดเสนอราคาแม้แต่น้อย

ต้องการเอาเปรียบพวกเราหรือไร?

ไม่มีทาง!

บรรดาผู้ประมูลทุกคนต่างมองพิธีกรที่กำลังกระตือรือร้นเสนอขาย ขณะที่ไม่มีใครในบรรดาพวกเขาเสนอราคาแข่งแม้แต่คนเดียว

ภายหลังพูดเยินยอผลงานอยู่นาน ก็ยังไม่มีใครตอบรับอะไรทั้งสิ้น พิธีกรจึงอับจนและเขินอาย สุดท้ายกระแอมไอแห้งอยู่สองครั้งและจึงพูดขึ้นมา “หนึ่งแสนหกหมื่นครั้งที่หนึ่ง! มีใครให้สูงกว่านี้หรือไม่ครับ?”

“หนึ่งแสนหกหมื่นครั้งที่สอง!”

“หากยังไม่มีท่านอื่นเสนอราคาอีก เช่นนั้นผลงานนี้เป็นของนายน้อยหวังนะครับ!”

“หนึ่งแสนหกหมื่นครั้งที่สาม!”

“ขายครับ!”

เมื่อค้อนในมือของพิธีกรเคาะลงส่งเสียงอย่างหนักหน่วง อู๋ฝานที่รับชมด้วยความร้อนรุ่มมาโดยตลอด จึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา

“เหมือนว่าคุณจะชอบผลงานนี้จริงจังเสียแล้ว” หวังจื่อหมิงไม่มีความรู้สึกใดยามต้องซื้อผลงานชิ้นนี้ อย่างไรแล้ว ในสายตาของเขามันก็ไม่ใช่ผลงานที่เลอค่าหรือล้ำค่าใดทั้งสิ้น “เมื่อครู่คุณกังวลเกินไปแล้ว ผลงานชิ้นนี้ไม่มีใครอื่นอยากได้อย่างแน่นอน”