ก้นบึ้งหัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกขึ้นมาครู่หนึ่ง แล้วมองมายังจ้านเป่ยเซียว: “คนผู้นี้เจ้าจะแตะต้องไม่ได้”
จ้านเป่ยเซียวมองไปที่เขาอย่างเหยียดหยาม: “ทำไม เจ้าคงจะไม่เชื่อในคำพูดบ้าบอของเขาหรอกนะ?”
“จะเป็นไปได้ยังไง! ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าฐานะของเขามีความลึกลับอยู่บ้าง ก็เลยจำเป็นจะต้องจับตัวเอาไปสอบสวนให้ละเอียดก็เท่านั้น”
“งั้นตอนนี้ข้าจะจับตัวคนเข้า แล้วนี่เจ้าหมายความว่ายังไงอีก?”
จ้านถิงเฟิงขบกราม: “สรุปแล้วคนคนนี้เจ้าจะเอาตัวไปไม่ได้ สำหรับทางด้านเสด็จพ่อนั้น ข้าจะจัดการเอง!”
เสียงหายใจดังขึ้น สักพักหนึ่งก็พัดกระหน่ำมาอย่างบ้าคลั่ง ม้วนพัดเข้าไปด้านในโดยตรง พอลมพัดมา ก็ทำให้ทุกคนยกแขนเสื้อขึ้นมาบดบังหน้าตาตามสัญชาตญาณ
“นายท่าน คนนั้นหนีไปแล้ว!” บ่าวคนหนึ่งรีบเอ่ยปากขึ้นมาทันที
คราวนี้ทุกคนจึงพากันรีบเงยศีรษะขึ้นมา และได้เห็นว่าผู้ล่วงรู้ท่านนั้นเหอะออกไปอย่างไร้ร่องรอยตามที่คาดไว้
เฟิ่งชิงหัวเดิมนั้นยืนอยู่ต้นลม ก็เลยรีบพุ่งทะยานออกไปเลย สายตานับหลายสิบคู่กวาดมองไปที่หน้าประตูพอดี
ในสายตาของคนพวกนั้นเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกว่าเกิดเรื่องผิดปกติอะไรขึ้นเลย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สังเกตว่าคนที่อยู่ด้านในมีคนหนึ่งถูกนำตัวออกไป
“มีไส้ศึก” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม
จ้านเป่ยเซียวก็เคลื่อนรถออกมาด้วยตัวเอง จ้องกวาดสายตามองไปยังคนพวกนั้นครู่หนึ่ง: “หนีไปได้แล้ว”
“นายท่าน จะให้ไล่ตามไหม?” หลิวหยิ่งรีบเอ่ยปากถาม สีหน้าท่าทางบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความหนักใจอย่างยิ่ง
จ้านเป่ยเซียวส่ายหัว: “ไม่ทันแล้วล่ะ”
“คนพวกนี้เป็นคนเดียวกันกับที่ปล้นคุกในวันนั้น” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยเสียงเย็นชาออกมา ในขณะที่พูดอยู่แบมือออก บนมือข้างหนึ่งยังถือผ้าไว้ บนผ้าเช็ดหน้านั้นเป็นรอยเลอะสีเลือดอยู่รอยหนึ่ง
คนกลุ่มนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่!
เพียงแต่ว่าตอนนี้คนได้หนีไปแล้ว จะว่าไปอีกพวกนี้ก็ไม่มีความหมายใดๆแล้ว ได้เพียงแค่ต้องควบคุมตัวสวีกว่างเอาไว้ก่อน คนอื่นที่เหลือจะไปหรือจะอยู่ในตอนนี้ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ เลย
ในรถม้าที่ตีนเขา คันนั้นที่ดูหรูหรามีระดับที่สุดแน่นอนว่าเป็นของจ้านเป่ยเซียว
เดิมทีเฟิ่งชิงหัวก็คิดไว้ว่าจะแสร้งแนบเนียนต่อไป ในฐานะที่เป็นผู้ชาย อีกทั้งยังเป็นคนของศาลาว่าการพระนคร แน่นอนว่าควรจะขี่ม้าแล้วเดินอยู่ด้านหน้า
ใครจะไปคิดว่ายังไม่ทันได้รอให้นางขึ้นม้า ก็ถูกคนใช้แขนเสื้อม้วนเข้ามาแล้วพลิกเข้าไปในรถม้าทันที
จ้านเป่ยเซียวค่อยๆ ดื่มชา กลิ่นหอมหวนสดชื่น รถม้าเคลื่อนที่ไป ชาร้อนกลับไม่สาดออกมาแม้แต่นิดเลย
เฟิ่งชิงหัวพลิกหันตัวมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ดึงเอาผ้าคลุมบางๆ ที่อยู่ข้างรถม้ามาคลุมร่างของตนเอาไว้ สั่นไหวเอนเอียงไปมาตามรถม้าที่เคลื่อนที่ไปราวกับตะกร้าที่สั่นไปมา ค่อยๆ หลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝันอย่างคาดไม่ถึง
เฟิ่งชิงหัวกลับไม่ทราบเรื่องเลยว่านางไม่ได้ลงมาจากบนรถม้า เมื่อฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของจ้านถิงเฟิงที่อยู่ด้านหลัง ก็เลยกลายเป็นว่าเขาได้สมรู้ร่วมคิดกับจ้านเป่ยเซียวมานานแล้ว ครั้งนี้เดิมทีก็พุ่งเป้ามาที่เขาอยู่แล้ว
เดิมนั้นคิดว่าขาทั้งสองข้างของคนผู้นี้ใช้การไม่ได้แล้ว ก็ไม่ได้คิดที่จะแย่งชิงกับเขา แต่กลับคิดไม่ถึงว่ายังมีคนที่ไม่สมัครใจอยู่
ในขณะที่จ้านถิงเฟิงคิดอยู่ว่าหลังจากลงเขาไปก็เข้ามาขอรับโทษทัณฑ์ภายในวังหลวงด้วยตนเองเลย นี่ทำให้จ้านเป่ยเซียวที่แต่เดิมก็ไม่ได้คิดว่าจะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลังจากที่ทราบแล้วก็กล่าวออกมาด้วยเสียงเหยียดหยามที่เย็นชา: “รนหาที่ตาย”
วันถัดมา หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวตื่นขึ้นมาก็รีบไปยังศาลาว่าการพระนคร ก็เลยได้ยินว่าเหยียนหรูชิงตอนนี้ไม่ได้อยู่ในที่ว่าการ แต่กลับไปยังตระกูลเหยียนแล้ว
เมื่อ 5 ปีก่อนเหยียนหรูชิงได้แต่งภรรยามาคนหนึ่ง ปีที่แล้วในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์ เหยียนหรูชิงดีใจจนออกนอกหน้า และต่อมา 5 เดือนถัดมาก็พบว่าเด็กในครรภ์ของภรรยาเป็นฝาแฝด ดีใจเกินเหตุจนกังวลมากยิ่งขึ้น เพียงเพราะท่านหมอบอกว่าเดิมทีร่างกายของฮูหยินก็ไม่แข็งแรงนัก เกรงว่าจะอันตรายทั้งสามชีวิตได้
ต่อมาตระกูลเหยียนไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อยต่างก็ดูแลอย่างระมัดระวังสุขภาพร่างกายของฮูหยินน้อยท่านนี้อย่างตั้งใจมาโดยตลอด และก็ไม่เคยได้ข่าวไม่ดีอะไรออกไปเลยเช่นกัน และก็เมื่อวานนี้เอง จู่ๆ มีข่าวลือออกมาว่าฮูหยินน้อยถูกแมวทำให้ตกใจไป เกรงว่าจะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้
เฟิ่งชิงหัวคาดคะเนไว้ว่าวันนี้เหยียนหรูชิงก็คงจะไม่ได้มีเวลาอะไรมาที่นี่ ก็มานั่งอยู่ที่นั่งของตัวเองในที่ว่าการอย่างเงียบๆ รอให้ได้เวลาพอเหมาะในการกลับจวนอย่างซื่อๆ
วันนี้ศาลาว่าการพระนครก็ไม่ได้มีคดีอะไรเลย แม้แต่ขุนนางชันสูตรศพท่านนั้นที่อยู่ด้านข้างก็ยังหลับตาแล้วล้มตัวลงหลับอยู่บนโต๊ะเลย
เฟิ่งชิงหัวลูบคลำคางแล้วก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ว่างงานเช่นนี้เป็นโอกาสยากนัก หรือจะกลับจวนล่วงหน้าเลยอย่างไม่ต้องคิดอะไร ยังไงอยู่ที่นี่ก็ไม่มีเรื่องอะไร
ใจเต้นไม่เท่ากับการเต้นของหัวใจ เฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะเดินออกมาจากโถงหลัง ก็ได้ยินเสียงกล้องตีดังขึ้น ถูกทำให้ตกใจไปเลยชั่วขณะ
ก็เห็นทางประตูใหญ่ของศาลาว่าการพระนคร ผู้เฒ่าที่สวมชุดขาดกะรุ่งกะริ่งคนหนึ่งกำลังตีกลองร้องเรียนความยุติธรรมอยู่ คนวัยกลางคนที่สวมชุดที่ดีกว่าผู้เฒ่าอยู่หลายเท่าเอามือทั้งสองข้างไขว้หลังเอาไว้ พูดอะไรอยู่ด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่มีทางเลี่ยงได้
พวกชาวบ้านที่เข้ามามุงรอบด้านเห็นการรวมกลุ่มกันเช่นนี้ก็รู้สึกว่าจะประหลาดไปหน่อย ก็เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามไถ่ผู้เฒ่าท่านนี้ว่าเรื่องอันใด
ก็ได้ยินเพียงผู้เฒ่านั้นร้องห่มร้องไห้กล่าวออกมาว่าชะตาชีวิตของตนนั้นล้มลุกคลุกคลาน ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเป็นลูกชายของตนเอง ไม่ยินยอมที่จะเลี้ยงดูคนเฒ่าคนแก่ จิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงหมาป่าต่างๆ นานา
เฟิ่งชิงหัวได้ยินชัดเจน แต่กลับเห็นว่าคนวัยกลางคนนั้นสีหน้าเย็นชา เปี่ยมไปด้วยความจำยอม ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยการยืนหยัดในความถูกต้องนี้
นี่ก็เลยทำให้นางรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ในราชวงศ์ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ คุณธรรมและความกตัญญูทั้งสามคำสอนนี้มาโดยตลอด ความกตัญญูนี้ยิ่งเป็นพื้นฐานของการเป็นคนเลย แม้สว่าจะเป็นพ่อร้องเรียนลูก นั่นไม่ว่าจะร้องเรียนยังไงก็ผ่านหมดทุกกรณี ซึ่งยังไงก็ไม่ได้พิจารณาอย่างอื่นอีกอยู่แล้ว ลูกชายนี้ก็ย่อมต้องได้รับโทษจากทางศาลแน่นอนอยู่แล้ว
คนที่อยู่รอบด้านไม่น้อยต่างรังเกียจชายวัยกลางคนที่สวมใส่เสื้อผ้าไม่เลวผู้นี้ พูดก็ต่างๆ นานา ว่าเขาจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงหมาป่า และก็มีคนไม่น้อยเกลี้ยกล่อมเขาว่าให้รีบพาท่านพ่อกลับบ้านไปดูแลให้ดีๆ เห็นว่าเขามีอันจะกินเช่นนี้ ควักออกมานิดหน่อยยังไงก็สามารถพอที่จะให้เป็นค่าเลี้ยงดูคนแก่ได้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้ได้ขึ้นชื่อเป็นนักโทษที่เข้าไปอยู่ในคุกเช่นนี้เลย
และที่ทำให้เฟิ่งชิงหัวรู้สึกประหลาดใจกลับเป็นผู้เฒ่าที่ตีกลองร้องเรียนอยู่ไกลๆ นั้นกำลังเกลี้ยกล่อมชายวัยกลางคนนั้นอย่างสุดกำลังอยู่ด้านข้าง อีกทั้งยังดูยกตนข่มท่าน ไม่มีท่าทีสงสารเลยแม้แต่นิด ในทางตรงกันข้ามสีหน้าของชายวัยกลางคนนั้นก็ซีดขาวด้วย สีหน้าท่าทางบนใบหน้าราวกับว่าโดนรังแกก็ไม่ปาน
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้คิดจะไปสนใจเรื่องวุ่นวายของคนอื่น ยังไงก็เป็นเรื่องในครอบครัวของคนอื่น ใครจะไปคิดว่าเพิ่งจะเดินออกไปสองก้าวก็ถูกพลตระเวน นายหนึ่งดึงเอาไว้
“เฟิ่งอู่โจ้ว ท่านจะไปไหน?”
เฟิ่งชิงหัวคิดไม่ถึงว่านี่ตนเองถูกจับได้งั้นเหรอ บนใบหน้านั้นยังคงแสดงท่าทางที่เฉยเมยออกมาอยู่: “อ๋อ ไม่ได้ไปไหน ข้าก็มองดูพ่อลูกคู่นี้อยู่”
“อืม พอดีเลย เมื่อตอนรุ่งสางใต้เท้าฝากคำพูดมา วันนี้หากมีคนมาตีกลองร้องทุกข์ ให้เฟิ่งอู่โจ้วปฏิบัติหน้าที่แทน”
“อะไรนะ?” เฟิ่งชิงหัวถลึงตาโตออกมา น้ำเสียงตะโกนออกมาสูงปี๊ด
พลตระเวนนั้นกล่าวออกมาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง: “นี่เป็นคำสั่งของใต้เท้าเหยียน ท่านเตรียมตัวครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวก็ไปที่โถงศักดิ์สิทธิ์ ยังมีหน้ากากของท่านอีก จำเป็นหรือไม่?”
“ไม่ต้องถอดออกไม่ได้ รูปลักษณ์ของข้าอัปลักษณ์ เขินอายมาแต่เกิด หากถอดหน้ากากนี้ออกข้าจะต้องบ้าตายแน่” เฟิ่งชิงหัวพูดราวกับว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลย
พลตระเวนนั้นพยักหน้า สายตาที่บ่งบอกว่าข้าเข้าใจ จากนั้นก็มองมาทางเฟิ่งชิงหัวแล้วกล่าวว่า: “งั้นก็ไม่ต้องก็ได้ ท่านไปประทับตรงที่นั่งหลักก่อนเถอะ”
จากนั้น เริ่มจากเสียงดังลากยาวว่า “เว ฮู” เฟิ่งชิงหัวก็นั่งอยู่บนโถงใหญ่ในศาลาว่าการพระนครแล้ว พ่อลูกคู่นั้นก็คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
แม้ว่าในใจของผู้เฒ่าผู้นั้นจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างว่าเหตุใดผู้ที่นั่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้สวมชุดขุนนาง อีกทั้งยังเป็นคนวัยเยาว์คนหนึ่งที่ปิดบังอำพรางด้วยหน้ากากเอาไว้ แต่ว่าเมื่อนึกถึงเรื่องของตนเองก็เลยไม่ได้มีความคับข้องใจจนมากเกินไป ก็เล่าเรื่องของตนเองออกมาอย่างละเอียด
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ฟัง คราวนี้ก็เลยเข้าใจได้ทันที มิน่าเมื่อครู่นางก็เลยพบว่าสีหน้าท่าทางของสองคนนี้แปลกประหลาดเช่นนั้นไปได้