ปรากฏว่าชายชราคนนี้มีลูกชายทั้งหมดสี่คน ซึ่งทั้งหมดเป็นคนบ้านนอกธรรมดา ในช่วงปีแรก ๆ การเก็บเกี่ยวไม่ดี แม้ทั้งตระกูลจะประหยัดแค่ไหนก็ไม่สามารถอิ่มท้องได้
ชาวนาในปีนี้ ไม่รู้จักวิธีการฉวยโอกาสใด ๆ พวกเขาได้แต่หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินตลอดทั้งวัน ไม่มีทางออกอื่นนอกจากทำงานในไร่นาและรอเก็บเกี่ยว
เวลานี้ ลูกพี่ลูกน้องของชายชราที่เป็นพ่อค้าเร่ร่อนได้แบกกล่องไว้บนหลัง สมรสมาหลายปีแต่กลับไม่มีลูกสักคน หลังจากทั้งสองตระกูลเจรจากันแล้ว ก็รับลูกชายคนหนึ่งจากบ้านลูกพี่ลูกน้องมาคนหนึ่ง เพียงเพื่อในอนาคตนั้นจะมีคนจุดธูปบูชาให้ตัวเองหลังตาย
ดังนั้นหลังจากเลือกลูกคนที่สามแล้วก็พาเขาจากไป และก่อนจากไป เขายังให้เงินจำนวนหนึ่งแก่ชายชราเพื่อเป็นการช่วยเหลือ และใช้ชีวิตมาโดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี
จากนั้นพ่อค้าเร่ร่อนก็ใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาเปิดร้านขายของชำ ในวันธรรมดาก็สามารถสร้างรายได้จากร้านได้ ดังนั้นเขาจึงมีรายได้จากธุรกิจของตระกูล
เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว พ่อแม่บุญธรรมเสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วย และธุรกิจของตระกูลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกบุญธรรม
ในเวลานี้ พ่อผู้ให้กำเนิดก็มาหาถึงบ้านและบอกว่าเขาคิดถึงลูกชายมากและต้องการให้เขากลับบ้านในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูล พาเขากลับไปบ้านเกิด
เมื่อฟังแล้วไม่มีอะไรผิดปกติกับคำเหล่านี้ และแม้แต่คนที่ฟังอยู่นอกประตูก็คิดว่าสมเหตุสมผลมาก
ไม่อย่างไรก็เป็นลูกชายทางสายเลือดตระกูลและเป็นที่เข้าใจได้สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการให้คนในตระกูลอยู่ด้วยกัน
หลังจากที่ชายชราพูดจบ เขาก็มองไปที่ลูกชายของเขาอย่างมีชัย “ดูสิ พ่อและชาวบ้านก็คิดว่านี่เป็นคำขอที่สมเหตุสมผล หากเจ้าไม่ฟังข้าและไม่กลับไปบ้านเกิดพร้อมกับข้า ข้าจะฟ้องเจ้าและจับเจ้าเข้าคุก!”
คำพูดเหล่านี้ถูกพูดโดยไร้ความอาย เฟิ่งชิงหัวรู้สึกไม่พอใจอยู่ชั่วขณะเมื่อได้ยิน
เฟิ่งชิงหัวมองไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ “เรื่องนี้เป็นอย่างที่พ่อแท้ ๆ ของเจ้าพูดหรือ? เจ้ายังต้องการพูดอะไรอีก?”
ชายวัยกลางคนมองแล้วร่างสูงกำยำ แต่น้ำเสียงของเขาอ่อนมากราวกับไร้เรี่ยวแรง เมื่อได้ยินว่าผู้ใหญ่บนแท่นสูงกำลังถามเขา และไม่ได้ตัดสินลงโทษเขาทันที เขาจึงคุกเข่าลงและเริ่มร้องไห้ทันที
ชายร่างใหญ่ที่ซื่อมาก แค่เอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วพูดอย่างเสียใจว่า “ใต้เท้า ท่านไม่รู้ขอรับ เรื่องก่อนหน้านี้ก็จริงอย่างที่พ่อแท้ ๆ ของข้าพูด แต่ไม่ว่าข้าจะเป็นเช่นไร ข้าได้ถูกมอบให้เป็นบ้านพ่อบุญธรรมของข้าและต้องการจุดธูปบูชาให้เขา ข้าจะหนีไปได้อย่างไรเมื่อทั้งคู่จากไป ยิ่งกว่านั้น หลายปีมานี้ พ่อผู้ให้กำเนิดของข้าไม่เคยสนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของข้า ครั้งนี้ให้ข้ากลับไปเพราะอยากได้ร้านขายของชำที่และทรัพย์สินบางส่วนพ่อแม่บุญธรรมทิ้งไว้ให้ข้าเท่านั้นเอง”
“อะไรลูกบุญธรรมไม่ลูกบุญธรรม ไม่มีเอกสารการมอบลูกบุญธรรมด้วยซ้ำ จะนับได้อย่างไร? ข้าให้เจ้าจัดงานศพให้สองคนนี้ก็พอแล้ว เจ้าเป็นลูกชายของข้า ดังนั้นเจ้าควรกลับไปพร้อมกับข้า!” ชายชราไม่แยแส และพูดอย่างไร้เหตุผล
“แต่ในตอนนั้นก็เห็นพ้องต้องกันอย่างชัดเจน พ่อบุญธรรมของข้าได้ให้เงินจำนวนมากแก่เจ้า นั่นเป็นการมอบลูกบุณธรรมรุ? นั่นเป็นการขาย!” ชายวัยกลางคนพูดเสียงดัง
“ไอ้หนุ่ม เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตีแกให้ตาย!”
“ที่นี่คือศาล ใต้เท้ายังอยู่ด้านบน!”
“เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อจะตีลูกชาย กล้าดียังไงมาพูดอะไร!” ชายชราพูดด้วยความโกรธ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้
ชายชราต้องการยักยอกทรัพย์สินของลูกชายเพราะเขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด แต่ลูกชายไม่ยอม เขาจึงรีบมาเอะอะโวยวายจึงเกิดเรื่องแบบนี้ แต่กฎหมายอยู่ที่นี่และไม่มีใครสามารถไม่ทำตามได้
ท้ายที่สุดแล้วความกตัญญูนั้นยิ่งใหญ่กว่าเรื่องทุกเรื่อง
คนรอบข้างพูดคุยกัน แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคิดว่าพ่อจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ลูกกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญที่สุดถึง แต่สุดท้ายแล้วพ่อคือผู้ให้กำเนิดลูก ถึงพ่อจะผิดแต่ลูกจะทะเลาะกับพ่อได้อย่างไร จึงผิดแน่นอน
บางคนรู้สึกเอ็นดูชายคนนั้น แต่ท้ายที่สุด เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย หากเขาไม่ก้มหัว เขาจะต้องติดคุก
เฟิ่งชิงหัวตบค้อน ขมวดคิ้วและพูดว่า “เงียบ ส่งเสียงดังเอะอะในห้องเพื่ออะไรกัน! ฟังข้าพิพากษา!”
ผลก็คือ คนสองคนในห้องโถง คนหนึ่งดูตื่นเต้น อีกคนหน้าซีด และแม้แต่ไหล่ก็ทรุดลง
“ข้าตัดสินว่าจำเลยไร้ความผิดและปล่อยตัว ผู้ห้องถูกปรับเป็นสิบตำลึงเงิน และไม่สามารถพัวพันกับจำเลยอีกในอนาคต มิฉะนั้น จะต้องถูกตีสามสิบครั้ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงหัว สีหน้าของชายชราก็เปลี่ยนไปทันที “ใต้เท้า! เหตุใดท่านถึงตัดสินเช่นนี้ ในฐานะลูกชาย เขากลับไม่เลี้ยงดูคนชรา นี้เป็นเหตุผลอะไร? ท่านดูแล้ว่าเขาเป็นคนรวยและมีอำนาจ จึงจะช่วยเขาพ้นผิดหรือ?”
“หุบปาก ถ้าเจ้ายังกล้าใส่ร้ายข้าอีก ข้านี้จะลงโทษเจ้าในข้อหาดูหมิ่นศาลทันที!”
ชายชราตกใจมาก แต่เขาก็ยังพูดอย่างไม่เต็มใจ “ใต้เท้า ท่านตัดสินไม่ถูกต้อง เขาเป็นลูกชายของข้า และเขาควรเลี้ยงดูข้า ข้าฟ้องเขาเป็นการห้องที่ถูกต้อง เหตุใดเขาไร้คามผิด ข้ากลับต้องถูกปรับสิบตำลึงเงินเล่า?”
เฟิ่งชิงหัวเย้ยหยันและพูดว่า “เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ? เมื่อเจ้าตกลงมอบลูกชายฝห้อีกฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกก็สิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้เห็นเขามั่งคั่งและต้องการของของเขา เจ้าสมควรได้รับการเลี้ยงดูจากลูกหรือ? พ่อเลี้ยงดูลูกม ลูกกตัญญูพ่อ เจ้าคิดว่าจะให้กำเนิดลูกชายแล้วลูกจะโตได้ขนาดนี้เองเชียวหรือ? อีกอย่าง ตอนนี้เขาน่าจะอายุสามสิบแล้วนะ? เขาสมรสตั้งนานแล้ว เหตุใดเขาถึงต้องกลับบ้านกับเจ้าด้วย? แม้ว่าเขาจะมีหน้าที่เลี้ยงดู ก็ไม่มีเจตนาที่จะยอมรับเจ้าเป็นพ่อของเขาอีกต่อไป หากเจ้ายังไม่ยอมอีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน!”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาคุกเข่าลงบนพื้นและโค้งคำนับให้เฟิ่งชิงหัวหลายครั้ง
สีหน้าของชายชราซีดเซียว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นชาวนา เขาจะกล้าสงสัยคำพูดของขุนนางได้อย่างไร ได้แต่เอาเงินออกมาสิบตำลึงเงินและหนีไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อชายวัยกลางคนออกไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความยินดี เขาตะโกนซ้ำๆ อยู่หน้าประตูซ้ำแล้วซ้ำแล้ว “ท่านชิงเทียน ท่านชิงเทียน”
ผู้ชมต่างก็ถอนหายใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ แม้ว่าจะรู้สึกว่าสิ่งที่ใต้เท้าพูดนั้นพวกเขาไม่ค่อยเข้าใจ และการพิพากษาแบบนี้ก็ได้ยินเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกมีเหตุผลอย่างประหลาด
เมื่อเห็นว่าการพิจารณาคดีสิ้นสุดลง เฟิ่งชิงหัวกำลังจะลุกขึ้นออกไป ก็เห็นอีกคนรีบเข้ามา แต่เป็นการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
เฟิ่งชิงหัวมองไปยังพลตระเวน พลตระเวน คนนั้นก็มองนางอย่างประจบประแจง และในที่สุดนางก็นั่งลง
หลังจากนั้น ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนป่าวประกาศออกไป โดยบอกว่าวันนี้มีผู้พิพากษามาที่ศาลาว่าการพระนคร และตัดสินคดีได้ราวกับเทพเจ้า และเขาสามารถสืบสวนคดีที่ไม่ถูกต้องมาหลายปีได้ ดังนั้นทุกคนไม่ได้รับความยุติธรรมจึงรีบมาถึงที่นี่
ในที่สุด เมื่อหน้าประตูไร้ผู้คน ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว เวลาเลิกงานของนางผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว
เฟิ่งชิงหัวยืดเส้นยืดสาน ก้าวออกจากประตูศาลาว่าการพระนครก็เห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตู หลิวหยิ่งกำลังรออยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพ