ฉังเหยียนหายใจสะดุด
หวังซีผู้นี้ สุดท้ายแล้วก็มีแค่วิธีเหล่านี้ รู้จักแต่ใช้เงินฟาดคน!
นางค่อนแคะอยู่ในใจ ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีนี้ของหวังซีได้ผลดีจริงๆ ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือนางไม่คิดว่าหวังซีจะปฏิบัติกับคนข้างกายของตัวเองเช่นนี้ด้วย
เห็นได้ชัดว่าตระกูลหวังมีเงินมากจริงๆ
นางมีความหวังกับการมาเยี่ยมเยียนหวังซีมากขึ้นหลายส่วน
“น้องสาวสกุลหวัง!” ฉังเหยียนกล่าวทักทายหวังซีอย่างยิ้มแย้ม สีหน้าดูกระตือรือร้นว่าปกติหลายส่วน
หวังซีราวกับมองเห็นบรรดาสตรีสกุลหวังที่มีเรื่องมาขอร้องนางเหล่านั้น ในใจพลันตั้งกำแพงระแวดระวังขึ้นมาทันที ให้ไป๋กั่วพาไป๋ซู่และคนอื่นๆ ไปแบ่งไข่มุกกัน ทิ้งไป๋จื่อไว้ยกน้ำชาให้ฉังเหยียน
ฉังเหยียนจำต้องกล่าวประจบเอาใจหวังซีทำนอง ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจกว้าง และ โอบอ้อมอารี จำพวกนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หวังซียิ้มตาหยีขณะฟังนาง ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าฉังเหยียนมีเรื่องมาขอร้อง แต่นางก็ไม่ถามฉังเหยียนว่าเหตุใดถึงมาหา กล่าวคือ มาขอร้องนางแล้วยังคิดจะให้นางเป็นคนเอ่ยปากก่อนอีก มีกฎเช่นนี้ที่ไหนกัน
ฉังเหยียนพูดนั่นพูดนี่ไปกว่าครึ่งค่อนวัน นอกจากไม่เห็นหวังซีวกเข้าไปแตะจุดสำคัญแล้ว ยังถามไป๋ซู่ที่มาเปลี่ยนเวรปรนนิบัติยกน้ำชาให้พวกนางแทนไป๋จื่อว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวที่จะส่งไปให้วัดอวิ๋นจวีนั้นจัดเตรียมเรียบร้อยหรือยัง หันมาอธิบายให้ฉังเหยียนฟังว่านับตั้งแต่ที่นางติดตามฮูหยินผู้เฒ่าไปไหว้พระที่วัดอวิ๋นจวีเมื่อคราวก่อนเป็นต้นมา ก็รู้สึกว่าวัดอวิ๋นจวีมีต้นไม้ร่มรื่น อาหารเจก็อร่อย กำลังคิดอยู่ว่ายิ่งอยู่อากาศก็ยิ่งร้อนขึ้น ควรจะไปพักที่วัดอวิ๋นจวีสักสองสามวันดีหรือไม่ “จึงให้หวังหมัวมัวเตรียมเส้นก๋วยเตี๋ยวให้เล็กน้อย ในสองวันนี้จะส่งไปบริจาคให้วัดอวิ๋นจวี เมื่อถึงเวลาจะได้ขอพักที่นั่นสักสองสามวัน”
นับวันอากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นจริงๆ เนื่องจากจำนวนคนของจวนหย่งเฉิงโหวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งอยู่สถานที่พักอาศัยก็ยิ่งคับแคบลง ทำการตัดต้นไม้มาสร้างบ้านหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ไม่มีต้นไม้เก่าแก่มากเท่าตระกูลอื่น และเป็นธรรมดาที่ไม่ร่มรื่นเท่าตระกูลอื่นด้วย อีกทั้งตระกูลฉังนั้นให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรี แม้นฉังเหยียนจะเป็นบุตรสาวคนเดียวของบ้านรอง ค่อนข้างเป็นที่รักของบิดามารดาก็ตาม แต่เรือนพักของนางก็ไม่มีอะไรควรค่าแก่การกล่าวถึงนัก
หวังซีต้องหาวิธีพาฉังเคอไปด้วยเป็นแน่
ไม่รู้เพราะเหตุใด ขณะที่ฉังเหยียนคิดเช่นนี้อย่างมั่นใจนั้น ในใจกลับไม่เป็นสุข ส่วนหวังซีระหว่างที่พูดเรื่องพวกนี้อยู่ยังลุกขึ้นมาด้วย กล่าวว่า “พี่สาวสามอยากไปดูกับข้าหรือไม่ ข้ายังคิดว่าควรจะส่งซาลาเปามังสวิรัติไปให้ด้วยดีหรือไม่ ปีนี้มีน้ำแข็งน้อย คนไปขอค้างที่วัดอวิ๋นจวีต้องมีมากเป็นแน่ ถ้าหากส่งไปให้แค่เส้นก๋วยเตี๋ยว กลัวไม่มีอะไรพิเศษ วัดอวิ๋นจวีอาจไม่อนุญาตให้พวกข้าไปพักด้วย แต่ซาลาเปามังสวิรัติไม่เหมือนกัน เป็นของที่แม่ครัวของข้าเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ อากาศเช่นนี้ อยู่ได้ไม่นาน ต้องไม่มีคนทำเช่นนี้แน่นอน”
เจ้ารู้ว่าไม่มีคนทำเช่นนี้แต่เจ้าก็ยังจะทำเช่นนี้!
ฉังเหยียนอดวิจารณ์อยู่ในใจไม่ได้ ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าหากหวังซีทำซาลาเปามังสวิรัติส่งไปให้จริง ไม่แน่ว่าวัดอวิ๋นจวีอาจจะจัดหาลานบ้านหนึ่งหลังมาให้หวังซีอยู่สักสองสามวันจริงๆ ก็เป็นได้
แต่อากัปกิริยาที่หวังซีลุกขึ้นมาพลางพูดไปด้วยนี้เป็นวิธีการส่งแขกแบบอ้อมๆ นี่ทำให้ฉังเหยียนมีสีหน้าไม่น่าดูนัก แต่นางก็จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ดึงหวังซีไว้กล่าวต่อว่า “หวังหมัวมัวมีความสามารถขนาดนั้น ไหนเลยจะต้องให้น้องสาวไปดูด้วยตัวเอง เจ้าสั่งการไปสักคำก็ได้แล้ว”
หวังซีแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ แต่ไม่คิดจะตามใจนางที่มาขอร้องผู้อื่นแล้วยังมีท่าทีไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไรอีก
นางกล่าวยิ้มๆ อย่างเอาแต่ใจว่า “ข้ารู้! แต่ข้าอยากไปเรือนครัว ถือโอกาสตอนที่พวกนางทำซาลาเปามังสวิรัติอยู่นั้นแอบกินสักสองสามลูก หลายวันมานี้กินบะหมี่เย็นทุกวัน ข้าอยากกินซาลาเปาบ้าง”
หวังซีมีปัญหาไม่ค่อยอยากอาหารช่วงหน้าร้อน เมื่อถึงฤดูร้อนจึงอยากกินอาหารรสจัด กินมากไปก็เป็นร้อนใน หวังหมัวมัวเคี่ยวชาสมุนไพรมีฤทธิ์เย็นให้นางด้วยตัวเองและต้องมองนางกลืนลงไปถึงจะยอมปล่อยนางไป ทำเอานางเป็นทุกข์จนเหลือจะกล่าว คิดว่าควรไปหาท่านหมอเฝิงให้เขาจัดยาบำรุงให้สักสองสามเทียบดีหรือไม่
ชั่วขณะนั้นฉังเหยียนอยากจะขวางนางไว้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จำต้องแถลงไขวัตถุประสงค์การมาของตัวเอง “ข้ามาหาน้องสาวเพราะมีเรื่องอยากขอร้อง”
หวังซีจงใจเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ถึงได้นั่งลงพลางกล่าว “จวนหย่งเฉิงโหวยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ ผู้อาวุโสหลายท่านก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีความสามารถทั้งสิ้น เรื่องอะไรทำให้พี่สาวสามมาขอร้องถึงข้าได้?” ขณะที่กล่าว นางยังแสร้งขยับร่างไปด้านข้างอย่างหวาดกลัว กล่าวต่อว่า “กลัวแต่ว่าข้าเป็นคนตัวเล็กอ่อนแอ อาจจะช่วยเหลือพี่สาวสามไม่ได้ ถึงเวลาพี่สาวสามอย่าตำหนิข้าก็พอ”
ถ้อยคำนี้ยังไม่ได้กล่าวออกไปเลย นางก็ดักคอกลับมาแล้ว ฉังเหยียนเองก็ทำได้แค่ยิ้มขื่นอยู่ในใจเท่านั้น ผู้ใดใช้ให้ตนมีเรื่องต้องขอมาขอร้องนางเล่า
หากเป็นยามปกติ ฉังเหยียนย่อมสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปแล้ว แต่ครั้งนี้นางมีเจตนาแอบแฝง นางจำต้องทำใจดีเข้าสู้กล่าวว่า “เพราะไม่อาจขอร้องผู้อาวุโส ถึงได้มาขอร้องน้องสาว”
นางกลัวหวังซีจะโวยวาย รีบเล่าเรื่องที่มาขอร้องให้หวังซีฟัง “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลของน้องสาวกับร้านขายยาเพื่อมวลชนมีสายสัมพันธ์ต่อกัน ช่วยขอโสมคนร้อยปีให้ข้าสักต้นหนึ่งได้หรือไม่”
โสมคนร้อยปีค่อนข้างหายาก แต่คนที่ครอบครัวทำธุรกิจค้ายาสมุนไพรเช่นหวังซี ยามเจอของดีอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ช่วยชีวิตคนได้ประเภทนี้ ย่อมจะเก็บไว้ใช้เองเป็นลำดับแรก ของที่ผู้อื่นหาไม่ได้ สำหรับนางแล้วกลับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่หวังซีไม่อยากช่วย
ทุกคนในจวนหย่งเฉิงโหวต่างสบายดี ฉังเหยียนต้องมิได้มาขอร้องนางแทนคนจวนหย่งเฉิงโหวเป็นแน่ เช่นนั้นหากมิใช่เพราะขอเอาไปทำเป็นสินน้ำใจให้ผู้อื่น ฉังเหยียนก็ต้องขอเอาไปให้ผู้อื่น หากเป็นแบบแรก เหตุใดนางต้องให้ฉังเหยียนได้หน้าด้วย แต่ถ้าเป็นแบบหลัง ในเมื่อมาขอถึงฉังเหยียนได้ เหตุใดถึงไม่มาขอที่นางเอง?
ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้ฉังเหยียนกับซือจูสนิทสนมกัน หากฉังเหยียนมาขอความช่วยเหลือจากนางให้ซือจู สุดท้ายแล้วของก็ตกไปอยู่ในมือซือจู นางคงได้โมโหจนกระอักเลือดแน่
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “สู่จงผลิตยาสมุนไพร ต่อให้ไม่มีสายสัมพันธ์กับร้านขายยาเพื่อมวลชน ก็ต้องมียาสมุนไพรที่ช่วยชีวิตคนได้ประเภทนี้เตรียมเอาไว้ในบ้าน เพียงแต่ว่าของที่เจ้าต้องการคือโสมคนร้อยปี ยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณครอบจักรวาลเช่นนี้ย่อมอยู่ในมือของผู้อาวุโสในบ้าน พี่สาวสามอยากได้ ก็ต้องบอกเหตุผลที่มีน้ำหนักพอให้ข้าเอาไปพูดต่อหน้าผู้อาวุโสได้ด้วย!”
นางเดาว่าฉังเหยียนไม่มีทางบอกได้
ฉังเหยียนมีสีหน้าย่ำแย่อย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ
หวังซีดูเหมือนหาทางลงให้นาง แต่ความจริงแล้วกำลังขัดขวางนางอยู่ กล่าวว่า “ไม่รู้ว่าคนที่ต้องการใช้คือผู้ใด ใช้ทำอะไร ท่านหมอเฝิงที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนเห็นข้าโตมาตั้งแต่เด็ก ฝีมือด้านการแพทย์ของเขายอดเยี่ยมมาก ไม่อย่างนั้นข้าเป็นตัวกลางให้เจ้า พาคนไปให้ท่านหมอเฝิงดูอาการให้ดีหรือไม่ หรือไม่หากใช้โสมคนธรรมดาได้ ที่นี่ข้ามีโสมคนอายุยี่สิบปีอยู่สองต้น หากต้องการใช้อย่างเร่งด่วนจริงๆ เจ้าเอาไปใช้ก่อนก็ได้”
โสมคนอายุยี่สิบปี แม้มีราคาทว่าก็มิใช่ของหายาก หากฉังเหยียนเอาไปให้ซือจู นางก็จะได้เอาซือจูไปป่าวประกาศให้ทั่วจิงเฉิงว่าแม้แต่โสมคนอายุยี่สิบปีก็ยังหาไม่ได้ เอาให้นางขายหน้าจนไม่เหลือเกียรติไปเลย
สีหน้าของฉังเหยียนดูไม่น่ามองเล็กน้อย นางอึกๆ อักๆ อยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็พูดไม่ออกว่าต้องการเอาโสมคนร้อยปีไปทำอะไร ตอนกลับยังกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า “ไม่รู้ว่าโสมคนอายุยี่สิบปีจะใช้ได้หรือไม่ หากใช้ได้ คงต้องมาขอร้องน้องสาวอีกครั้ง หรือไม่ก็ไปดูที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนสักครั้ง”
หวังซีพยักหน้า ให้ไป๋กั๋วเดินไปส่งฉังเหยียน
ฉังเคอเร่งตามมาอย่างรีบร้อน เช็ดเหงื่อที่หน้าผากไปด้วยพลางถามหวังซีว่า “พี่สาวสามมาแล้วใช่หรือไม่”
ดูแล้วคงมิใช่เรื่องบังเอิญ!
หวังซีรินน้ำบ๊วยเปรี้ยวให้ฉังเคอด้วยตัวเอง เชิญนางมานั่งคุยกัน
ฉังเคอดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวไปอึกหนึ่ง สงบสติได้แล้วถึงกล่าวขึ้นว่า “พี่สาวสามให้ข้ามาขอร้องเจ้า แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก ไม่เพียงปฏิเสธไปอย่างอ้อมๆ เท่านั้น ยังโน้มน้าวนางอีกเป็นเวลานาน นางรับปากข้าว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายนางยังคงมาหาเจ้าอยู่ดี ข้าพยายามเร่งตามมา สุดท้ายก็ยังมาไม่ทัน”
หวังซีถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วเป็นเพราะนายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหว หรือก็คือมารดาของคุณชายสี่เจี่ยเฝิงจวนเซียงหยางโหวไม่สบาย ต้องใช้โสมคนร้อยปีไปปรุงยา จวนเซียงหยางโหวไม่มี ส่งคนไปจวนชิ่งอวิ๋นโหวช่วยหาหนทางให้ ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อฉังเหยียนได้ยินแล้วกลับมาขอร้องที่นางอย่างร้อนใจ
เห็นๆ อยู่ว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับฉังเหยียนเลย!
พลังแห่งความรักมันยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ ทำให้เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอถึงกับกระสับกระส่ายได้
ไม่แปลกที่ฉังเหยียนพูดออกมาไม่ได้
ฉังเคอกลับคิดได้รอบคอบกว่าหวังซี นางเตือนหวังซีว่า “หลายวันก่อนฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงประชวรติดๆ กัน ตอนนี้ยาสมุนไพรดีๆ ในจิงเฉิง โดยมากล้วนถวายเข้าไปในวังหลวงแล้ว ข้าเดาว่าต่อให้ตระกูลใดมีของดีเช่นนี้อยู่ นั่นก็เป็นเพราะต้องการเก็บไว้ใช้ช่วยชีวิตครอบครัวของตัวเอง ไม่มีทางเอาออกมาทำเป็นสินน้ำใจง่ายๆ เป็นแน่ นอกจากนี้นายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหวนั้น ก็เพราะบุตรสาวได้แต่งไปเป็นชายาซื่อจื่อของจวนชิ่งอวิ๋นโหวนางถึงได้พอมีหน้ามีตาอยู่ในจวนเซียงหยางโหวเท่านั้น แล้วก็มิใช่นายท่านรองป่วยด้วย ต่อให้จวนเซียงหยางโหวไปขอความช่วยเหลือที่จวนชิ่งอวิ๋นโหว ก็ไม่เสมอไปว่าจะสมปรารถนา เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้”
ทุกคนต่างทราบกันดีว่าหวังซีร่ำรวย ที่บ้านยังมีกิจการค้ายาสมุนไพรด้วย กลัวก็แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะถูกคนอื่นเกลี้ยกล่อมจนใจอ่อน มาขอยาด้วยอีกคน
หวังซีมองพระอาทิตย์ด้านนอกที่สว่างจ้าเสียดแทงจนคนลืมตาไม่ขึ้นแล้วถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง เรียกหวังหมัวมัวเข้ามา กล่าวว่า “พวกเราไปอยู่วัดอวิ๋นจวีสักสองสามวันก็แล้วกัน จวนหลังนี้ไม่มีเวลาให้ได้อยู่อย่างสงบเลยแม้แต่โมงยามเดียว”
หวังหมัวมัวอยากไปใจจะขาด
ระยะนี้หวังซีผ่ายผอมไปหมด นัยน์ตาดวงโตยิ่งดูกลมมากขึ้น ใบหน้าเล็กผอมจนเห็นแต่ดวงตาแล้ว
“ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ขณะที่พูดอยู่นั้นหวังหมัวมัวก็คำนวณเรื่องออกเดินทางอยู่ในใจไปด้วยแล้ว “อย่างมากที่สุดสองวัน คุณหนูใหญ่ก็ออกเดินทางได้แล้ว”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ เป็นอย่างที่ฉังเหยียนคิดเอาไว้ หวังซีชวนฉังเคอไปด้วย
ฉังเคออยากออกจากจวนหย่งเฉิงโหวไปอยู่ที่อื่นสักระยะหนึ่งเหลือเกิน เพียงแต่ว่าด้านมารดาของนางจำเป็นต้องได้รับการปลอบประโลมดีๆ นางต้องไปหารือกับมารดาของนางก่อน
หวังซีเร่งให้นางรีบไป ส่วนตัวเองวิ่งไปดูแม่ครัวทำซาลาเปามังสวิรัติที่เรือนครัว
ไส้ผัก ไส้ถั่วกวน ไส้เต้าหู้ ไส้เห็ดหอมและอื่นๆ…แม่ครัวทำซาลาเปาไส้ต่างๆ ไปทั้งหมดสิบกว่ารสชาติ
หวังซีพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา นางกล่าวกับแม่ครัวว่า “ข้าจำได้ว่าเคยกินซาลาเปาประเภทหนึ่งที่บ้านของท่านป้าใหญ่ของข้า หอมเหมือนเห็ดหอมนี้ไม่มีผิด ข้างในห่อถั่วกวนเอาไว้ พวกเจ้าทำได้หรือไม่”
คนในเรือนครัวต่างมองหน้ากันอย่างเหลอหลา
หวังซีจึงอธิบายลักษณะของซาลาเปาเห็ดหอมที่ตัวเองเคยกินอย่างละเอียดว่าเป็นอย่างไร
เมื่อเซียวเหยาจื่อกับไห่เทาของวัดเจินอู่ได้รับโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้แล้วก็อดทอดถอนใจอย่างซาบซึ้งครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าตระกูลหวังจะซื่อตรงเพียงนี้ ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ บอกจะให้ก็ให้จริงๆ น้ำใจครั้งนี้ยากจะตอบแทนจริงๆ!”
ไห่เทาคิดต่างจากเซียวเหยาจื่อ เขากล่าว “สาเหตุที่พวกข้าสืบเรื่องโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้ไม่ได้สักทีก็เพราะมันถูกใช้เป็นสินเจ้าสาวและถูกส่งต่อจากมือหนึ่งสู่มือหนึ่งไปยังตระกูลต่างๆ อยู่ตลอด กลัวแต่ว่าโฉนดที่ดินนี้จะเป็นสินเจ้าสาวที่ผู้อาวุโสของตระกูลหวังจัดเตรียมเอาไว้ให้บุตรสาว เรื่องกินเรื่องดื่มนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผลแห่งกรรมทั้งสิ้น จะมากจะน้อยพวกเราก็ต้องชดเชยให้ผู้อื่นสักหน่อยถึงจะถูก”
เซียวเหยาจื่อถามไห่เทา “เจ้าหมายความว่า?”
ไห่เทาครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ตระกูลของพวกเขากำลังตามหาสูตรเครื่องหอมอยู่มิใช่หรือ ข้ามีตำรับเครื่องหอมที่หลวงพี่ผู้ล่วงลับท่านหนึ่งในวัดทิ้งเอาไว้ให้อยู่หนึ่งเล่มพอดี เขียนได้ยอดเยี่ยมมาก ข้าคิดว่ามิสู้ยืมมาลาถวายพระ มอบให้คุณหนูใหญ่ของตระกูลหวังผู้นั้นเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร”
ถึงแม้มันอาจจะไม่เพียงพอให้ใช้เป็นของตอบแทนน้ำใจครั้งนี้ แต่วัดหนานหวาได้รับเขาซื่อกู้แล้ว ย่อมจะสร้างอนุสรณ์สถานสลักชื่อคนบริจาคไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมอย่างแน่นอน ส่วนตำรับเครื่องหอมที่เป็นมรดกตกทอดหนึ่งเล่ม จะมากจะน้อยก็นับได้ว่าเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณชิ้นหนึ่งแล้ว
เซียวเหยาจื่อรู้สึกว่าเช่นนี้ดียิ่ง
………………………………………………………………………………………
ตอนต่อไป