หวังซีได้รับตำรับเครื่องหอมแล้วดีใจมากจริงๆ
ไม่ว่าใครก็หวังให้คนเข้าใจเจตนาดีของตัวเองกันทั้งนั้น
นางอ่านอย่างละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า เสร็จแล้วมอบตำรับเครื่องหอมให้ไป๋ซู่เป็นคนดูแล ยังกล่าวกับไป๋ซู่ด้วยว่า “ไป๋จื่อมือคล่องแคล่วที่สุด ส่วนเจ้าฉลาดที่สุด ในนี้มีสูตรเครื่องหอมหนึ่งเรียกว่า ‘ชุ่นจิน’ ว่ากันว่าหลังจากที่ธูปหอมถูกเผาไหม้จนหมดแล้วขี้ธูปเหนียวเป็นก้อนไม่แตกซ่านกระเซ็น กลิ่นเจริญใจทำให้รู้สึกสงบ ช่วยให้จิตใจสงบได้ มีเวลาว่างเมื่อไรพวกเราลองทำตามสูตรดูดีกว่า ดูว่ามันจะเป็นอย่างที่ตำรากล่าวเอาไว้หรือไม่ ถ้าหากดีเช่นนั้นจริง ยังมอบให้ญาติสนิทมิตรสหายต่างๆ ได้ด้วย”
ในตำรับเครื่องหอมเล่มนั้น แค่สูตรเครื่องหอมสำหรับสงบจิตใจประเภทนั้นก็มีถึงยี่สิบกว่าชนิดแล้ว ว่ากันว่ากลิ่นของแต่ละชนิดล้วนไม่เหมือนกัน ไป๋ซู่ชอบอ่านหนังสือ ตอนเห็นไห่เทาให้คนนำตำรับเครื่องหอมมาส่งให้ นางก็อยากลองอ่านดูจนแทบจะทนไม่ไหว หวังซีกล่าวเช่นนี้ ตรงกับใจของนางพอดี นางไหนเลยจะไม่ตอบตกลง
รอหวังหมัวมัวไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จ มารดาของฉังเคอก็อนุญาตแล้ว ตอนที่พวกนางเตรียมตัวออกเดินทางไปหลบร้อนที่วัดอวิ๋นจวีสักระยะหนึ่งนั้น ทุกคนต่างช่วยกันเก็บหีบสัมภาระ ทว่าไป๋ซู่กลับแอบศึกษาตำรับเครื่องหอมอยู่ด้านข้าง โชคดีที่ทุกคนต่างรู้นิสัยของนางดี หวังซีเองก็ให้ท้ายนาง ทุกคนจึงหัวเราะไปด้วย ปล่อยให้ไป๋ซู่แอบขี้เกียจไปด้วย กระทั่งพวกนางไปถึงวัดอวิ๋นจวี ไป๋ซู่ก็เตรียมส่วนผสมสำหรับทำเครื่องหอมเสร็จแล้ว รอเพียงคำอนุญาตจากหวังซีประโยคเดียวก็เริ่มทำเครื่องหอมได้แล้ว
ความจริงแล้วหวังซีถูกใจวัดอวิ๋นจวีเพราะมีต้นไม้มากเหมือนป่า ร่มรื่นและเงียบสงบ แต่สถานที่เช่นนี้มักจะมียุงชุกชุม และหวังซีก็เป็นคนกลัวยุงที่สุดผู้หนึ่ง ตอนที่หวังหมัวมัวพาคนไปจุดธูปโกฐจุฬาลัมพานั้น นางกับไป๋ซู่จึงศึกษาดูว่ายังมีเครื่องหอมอะไรอีกบ้างที่ทำง่ายกว่าและน่าสนใจ นางอยากถือโอกาสตอนที่อยู่วัดอวิ๋นจวีหาอะไรทำสักหน่อย
ฉังเคอเองก็สนใจเรื่องทำเครื่องหอมมากเช่นกัน ทั้งสามคนจึงมักจะนั่งสนทนาหารือกันบ่อยๆ
หวังซีชอบเครื่องหอมแปลกหายาก ส่วนไป๋ซู่ชอบเครื่องหอมที่มีส่วนผสมมาก ฉังเคอกลับติดอกติดใจเครื่องหอมที่อบเสื้อผ้าให้หอมได้มากเป็นพิเศษ
พวกนางสองสามคนซื้อเครื่องเทศมาหนึ่งกองใหญ่
ตอนหลงจู๊ใหญ่มาส่งเครื่องเทศให้หวังซียังแจ้งข่าวให้นางทราบด้วยหนึ่งเรื่อง จวนเซียงหยางโหวยืมโสมคนร้อยปีจากจวนชิ่งอวิ๋นโหวไม่ได้ ตระเวนหาจนมาหาถึงร้านขายยาเพื่อมวลชน ท่านหมอเฝิงตรวจชีพจรให้นายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหวครั้งหนึ่ง พบว่าเป็นแค่โรคหลังคลอดเนื่องจากตอนยังสาวนางคลอดลูกแล้วไม่ได้ดูแลร่างกายให้ดีก็เท่านั้น ใช้โสมตั่งเซินและโสมซาเซินบำรุงก็ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจ่ายเทียบยาโสมคนร้อยปีให้นาง เกรงว่าจะมีอะไรผิดปกติซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย จึงอ้างว่าไม่มีโสมคนร้อยปีอยู่ในมือเช่นกัน สลัดตัวหนีเสีย
หวังซีฟังแล้วหัวเราะไม่หยุด ช่วงหัวค่ำตอนที่นางกับฉังเคอไปเดินเล่นตามทางเดินขนาดเล็กใกล้ๆ กับเรือนรับรองแขกของวัดยังเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย กล่าวอย่างซุกซนเล็กน้อยว่า “ไม่รู้ว่าฉังเหยียนจะอ้างชื่อของข้าไปขอร้องหลงจู๊ใหญ่หรือไม่”
หากนางกล้าทำเช่นนั้นจริงๆ หวังซีก็จะยกย่องนางเป็นวีรสตรีผู้หนึ่ง ยอมหาวิธีเอาโสมคนร้อยปีมาให้นางสักต้นพื่อช่วยให้นางได้บรรลุความปรารถนา
ฉังเคอได้ยินแล้วตะลึงงันไปครู่ใหญ่ กล่าวอย่างไม่กล้ารับประกันว่า “เจ้าอย่าว่าไปเชียว อย่ามองจากท่าทางยามปกติที่นางเป็นคนสงบเงียบ อ่อนโยน และไม่ค่อยพูดอะไรนั่นเชียว เพราะนางเป็นคนที่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้จริงๆ”
หวังซีได้ยินแล้วประหลาดใจ เห็นข้างต้นไม้มีม้านั่งหินตัวยาวอยู่ จึงดึงฉังเคอไปนั่ง เร่งให้ฉังเคอเล่าเรื่องของฉังเหยียนให้ฟัง
“ตอนนั้นข้ายังเด็ก ท่านปู่ก็ยังมีชีวิตอยู่” ฉังเคอนำลูกตุ้มเผาเครื่องหอมทองชุบลายดอกเบญจมาศที่หวังหมัวมัวจุดธูปโกฐจุฬาลัมพาเตรียมเอาไว้ให้พวกนางวางลงข้างเท้าเพื่อไล่ยุง เสร็จแล้วถึงได้ค่อยๆ เล่า “มารดาของท่านอาสิบสามเป็นอนุภรรยาที่ท่านปู่โปรดปรานที่สุด ถึงแม้ท่านอาสิบสามจะเป็นคนรุ่นอาวุโส ทว่าอายุมากกว่าพี่สาวใหญ่แค่สามปีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้ชาย อาศัยที่มารดาเป็นคนโปรด จึงมักจะรังแกเด็กผู้หญิงอย่างพวกข้าเสมอ มีครั้งหนึ่ง เขาโยนตัวบุ้งสองตัวใส่ร่างพี่สาวใหญ่ พี่สาวใหญ่ตกใจกลัวร้องไห้งอแงทั่วไปหมด”
กล่าวถึงตรงนี้ นางคงนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมา ถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่
“ท่านลุงใหญ่ไปฟ้องท่านย่า ท่านย่าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เรียกอนุผู้นั้นมาอบรมครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่นาน เรื่องนี้ก็แพร่ไปถึงหูท่านปู่ ไม่รู้ว่าคนที่เอาเรื่องไปเล่าลือต่อเหล่านั้นพูดอะไรไปบ้าง ท่านปู่มีคำสั่งลงมาทันที ไม่ให้พวกข้าพี่สาวน้องสาวไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้อีก บอกว่าเด็กสาวต้องเรียบร้อยอ่อนหวาน ไม่ควรวิ่งเล่นไปทั่ว ยังหาหมัวมัวที่เกษียณงานจากวังหลวงมาสอนกฎระเบียบให้พวกข้าด้วย…
…แม้นพวกข้าจะคับข้องใจ ทว่าก็ไม่กล้าพูดอะไร…
…ผู้ใดจะรู้ว่าพี่สาวสามกลับวิ่งไปหาท่านปู่เพียงลำพัง พูดเรื่องลำดับอาวุโสภรรยาเอกกับอนุต่างๆ กว่าครึ่งค่อนวัน สุดท้ายถึงกับทำให้ท่านปู่ใจอ่อนได้ ท่านปู่ไม่เพียงถอนคำสั่ง ยังเข้มงวดกับเด็กผู้ชายในบ้านขึ้นมาด้วย ไม่อนุญาตให้พวกเขาไปเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลัง”
หวังซีฟังแล้วดวงตาทั้งคู่เป็นประกายระยิบระยับ
ฉังเคอกลับทอดถอนใจ “พวกข้าได้ยินว่าตอนที่นางไปโต้แย้งกับท่านปู่นั้น หวาดกลัวจนขาทั้งสองข้างสั่นไปหมด แม้แต่ตอนที่เล่าให้ท่านป้าสะใภ้รองฟังคำพูดคำจายังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่สาวสามจะทำสำเร็จ โน้มน้าวท่านปู่ได้ กลับสวนกล้วยไม้ไปอย่างปลอดภัยไม่บุบสลาย พวกเราล้วนชื่นชมนางมาก…
…นี่ก็เป็นสาเหตุที่แม้นนางไม่ค่อยพูดเท่าไร แต่พวกข้าล้วนไม่กล้าคูแคลนนาง”
หวังซีฟังจบแล้วลูบคาง ครุ่นคิดว่าควรจะช่วยฉังเหยียนสักครั้งดีหรือไม่ ทันใดนั้นหางตากลับเหลือบไปเห็นศีรษะน้อยๆ อันหนึ่งยื่นออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบรอบที่อยู่ไม่ไกลนัก
เป็นเด็กผู้ชายอายุไม่เกินสี่ถึงห้าขวบ ผิวขาวเนียน สวมชุดเต้าเผาผ้าเนื้อละเอียดสีน้ำเงินไพลิน
เห็นได้ชัดว่ากำลังหลบอยู่หลังต้นไม้แอบดูพวกนางอยู่
เด็กในวัยนี้น่ารักน่าชังเป็นพิเศษ
หวังซีมองแล้วใจอ่อนยวบ หันไปกวักมือให้เขาอย่างยิ้มแย้ม ยังจับๆ ถุงพกด้วย ดูว่าวันนี้เอาขนมอะไรออกมาด้วยบ้าง
ใครจะรู้ว่าเด็กชายผู้นั้นเห็นนางกวักมือ ตกใจรีบหดศีรษะกลับไปทันที
เด็กเล็กน่ารักขี้อายเช่นนี้ มีใครต้านทานได้บ้าง!
หวังซีรีบเปิดถุงพกออก ดูแล้วข้างในยังมีขนมหลีสีขาวเหลืออยู่สองชิ้น รีบกล่าวเสียงดังว่า “ไอโย ขนมหลีแสนอร่อย ทำจากน้ำลูกหลีผสมกับแป้งข้าวเหนียว ทั้งหอมทั้งหวาน น่าเสียดายที่ฟันของข้าไม่ค่อยดี จึงกินไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมอบให้ใครได้บ้าง”
เด็กน้อยผู้นั้นยื่นศีรษะออกมาอีกครั้งอย่างที่หวังซีคิดเอาไว้
อย่างไรก็ตาม เขาแตกต่างจากบรรดาเด็กผู้ชายที่มักจะซุกซนมีชีวิตชีวาอย่างที่หวังซีรู้จัก เขาดูขี้กลัว ค่อยๆ ยื่นศีรษะออกมา หลังจากยื่นศีรษะออกมาแล้ว ยังกัดนิ้วชี้ด้วยความอยากกินอีกด้วย ท่าทางน่ารักน่าชังนั่น ทำให้หัวใจของหวังซีอ่อนปวกเปียกไปหมด
ฉังเคอเห็นความผิดปกติของหวังซี มองตามไปจนเห็นเด็กน้อยผู้นั้น ก็ชื่นชอบมากเหลือเกิน รู้ว่าหวังซีกำลังหลอกล่อเด็กน้อยผู้นั้นอยู่ นางเองก็ให้ความร่วมมือด้วย ดึงถุงพกของตัวเองออกมา หยิบขนมรังไหมออกมาสองชิ้น กล่าวว่า “ข้ายังมีขนมหวานแสนอร่อยเหลืออยู่อีก ขนมหวานนี้มิใช่ขนมหวานธรรมดาทั่วไป ข้างในยังมีถั่วเมล็ดสน ถั่วเซินจื่อ[1] ถั่วมันฮ่อ ถั่วซิ่งเหริน[2]…และถั่วอื่นๆ อีกมากมาย แต่ตอนนี้ข้ายังเอาออกมาไม่หมด”
เด็กน้อยต้านทานการล่อลวงไม่ไหว เดินออกมาจากหลังต้นไม้ช้าๆ ยืนเอียงศีรษะมองพวกนางอยู่ตรงหน้าไม่พูดอะไรสักคำ
หวังซีถึงได้ค้นพบว่า เด็กน้อยหน้าตางดงามโดดเด่นมากเป็นพิเศษ
เส้นผมดำขลับ ผิวขาวดุจหิมะ นัยน์ตาทั้งคู่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ยังมีโครงหน้าที่ชัดกว่าเด็กทั่วไปมากโข
นี่เป็นเด็กเผ่าอี๋?
แต่ใกล้ๆ บริเวณนี้มีเผ่าอี๋ที่ไหนกัน
หวังซียังคงนิ่งสงบ
เมื่อก่อนนางเคยเห็นเด็กเผ่าอี๋มาก่อน เนื่องจากเด็กเหล่านี้หน้าตาไม่เหมือนพวกเขา จึงมักจะถูกมองเป็นคนต่างชาติ ถูกหัวเราะเยาะ ถูกถากถางและถูกข่มขู่ให้หวาดกลัว
แต่ครอบครัวของพวกนางก็ทำการค้ากับเผ่าอี๋เช่นกัน ผมสีแดง ดวงตาสีเขียว หรือดวงตาสีฟ้า นางล้วนเคยเห็นมาแล้ว
นางปฏิบัติต่อเด็กผู้นี้เหมือนเด็กปกติธรรมดาทั่วไป ยิ้มตาหยีพลางหยิบขนมหลีชิ้นหนึ่งยื่นส่งให้เขา กล่าวว่า “กินขนมหลีของข้า ก็ต้องเป็นสหายของข้าแล้วนา!”
เด็กคนนั้นยิ้มขัดเขิน ไม่รับขนมหลีของนาง หมุนกายวิ่งหนีไป
หวังซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ฉังเคอกลับกล่าวขึ้นว่า “เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ หน้าตาก็น่ารักน่าชังยิ่ง เพียงแต่ว่าดูแปลกเล็กน้อย คล้ายไม่ค่อยเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปเท่าไรนัก เพราะป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่าก็เลยมารักษาตัวอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนข้าเคยเห็นคนที่ร่างกายเหมือนถูกระบายสีไปทั้งร่าง ขาวซีดเป็นจ้ำๆ ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ชวนให้ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก”
ถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น แต่นางรู้สึกว่าเขาแตกต่างไปจากนาง
หวังซีคิดว่าหลังจากนี้พวกนางอาจจะได้พบกับเด็กผู้นี้อีก แทนที่จะปล่อยให้ถึงเวลาเมื่อฉังเคอรู้เรื่องแล้วจะหลุดกิริยาหวาดกลัวออกมา ทำลายความรู้สึกนับถือตัวเองของเด็กคนนี้ มิสู้บอกนางให้รู้เอาไว้แต่เนิ่นๆ ให้นางเป็นคนตัดสินใจเองว่าต้องการปฏิสัมพันธ์กับเด็กผู้นี้หรือไม่ จึงบอกเล่าสิ่งที่เด็กคนนี้แตกต่างจากผู้อื่นให้นางฟัง
ฉังเคอประหลาดใจมาก แต่หาได้มีความรู้สึกไม่ดี ยังกล่าวอย่างเห็นใจว่า “อาจจะเป็นบุตรหลานของตระกูลร่ำรวยสักตระกูลต้องการความแปลกใหม่ รับสตรีเผ่าอี๋มาให้กำเนิดเด็กคนนี้ ทว่าถูกคนในบ้านมองเป็นสิ่งอัปมงคล ก็เลยเอามาทิ้งที่วัดอวิ๋นจวีให้ใช้ชีวิตตามลำพัง เป็นบาปของผู้ใหญ่ แต่เด็กต้องมารับกรรมจริงๆ”
นางเดือดดาลมาก
หวังซีหลุดหัวเราะ รู้สึกว่าฉังเคอที่เป็นเช่นนี้ดูน่ารักยิ่ง
ฉังเคอยังกล่าวอีกว่า “พวกเราควรจะสืบดูหรือไม่ว่าเป็นเด็กจากตระกูลใด ต่อไปหากได้พบกันอีก ช่วยเหลืออะไรได้ก็ช่วยเหลือหน่อยดีหรือไม่ ดีร้ายช่วยให้เขาได้เติบโตขึ้นมาอย่างสงบสุขบ้างก็ยังดี”
หวังซีเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน กลับไปจึงขอให้หวังหมัวมัวช่วยไปสืบข่าว
หวังหมัวมัวใช้เวลาไปสืบมารอบหนึ่ง แต่ก็สืบไม่ได้ว่าในวัดอวิ๋นจวีมีเด็กเช่นนี้อยู่ด้วย
ตอนที่หวังซีกับฉังเคอกำลังคิดจะยอมแพ้แล้วนั้น ระหว่างที่พวกนางกำลังเดินเล่นอยู่บนทางเดินเล็กก็ได้พบกับเด็กผู้นั้นอีกครั้ง
เด็กคนนั้นกอดกล่องไว้หนึ่งกล่อง ภายในกล่องบรรจุขนมมันฮ่อของร้านเจกุ้ยซุ่นเอาไว้สองสามชิ้น เขากล่าวกับพวกนางเสียงอ่อนหวานว่า “พี่สาว ข้า ข้าแลกกับขนมหลีของเจ้า”
ตายแล้ว! ตายแล้ว!
น่ารักจนหวังซีกับฉังเคอหลงรักไม่ไหวแล้ว แม้แต่เสียงพูดยังเบาลงหลายส่วน นั่งยองลงมารับขนมมันฮ่อของเด็กคนนั้น กล่าวเสียงอบอุ่นและบางเบาว่า “น้องชายชื่ออะไร วันนี้พวกข้าไม่ได้เอาขนมหลีมาด้วย เจ้าอยากตามพวกข้าไปที่เรือนพักหรือไม่ ที่นั่นนอกจากขนมหลีแล้ว พวกข้ายังมีขนมฝูหลิง ขนมกุหลาบ ขนมพรห้าประการ…เจ้าอยากกินอะไรล้วนมีทุกอย่าง”
ไม่คาดคิดว่าเมื่อเด็กคนนั้นได้ยินแล้วกลับถอยหลังออกไปสองสามก้าวติดๆ กัน มองพวกนางอย่างระแวดระวัง กล่าวว่า “ข้า ข้าไม่แลกแล้ว!” พูดจบก็จะวิ่งหนีไปอีก
ฉังเคอคว้าหมับกอดเด็กน้อยผู้นั้นเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว พวกข้าหาใช่คนไม่ดี พวกข้าเองก็พักอยู่ที่นี่เช่นกัน หากเจ้าไม่เชื่อ พาพวกข้าไปพบผู้อาวุโสของพวกเจ้าก่อนก็ได้…”
เพียงแต่ว่านางยังพูดไม่ทันจบ เด็กน้อยคนนั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว
แม้หวังซีจะประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ตกใจกลัว
แค่มองก็รู้แล้วว่าเด็กผู้นี้พานพบเรื่องราวมามากมาย หากมิใช่เพราะขนมหลีของพวกนางดึงดูดใจเขามาก อีกทั้งเพราะเป็นเด็กสาวสองคน ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรแล้วล่ะก็ ต่อให้เด็กคนนี้จะอยากกินมากเพียงใด ก็ไม่มีทางมาแลกขนมกับพวกนางอย่างแน่นอน
“เจ้ารีบปล่อยเขา!” หวังซีกลัวจะทำให้เด็กน้อยตกใจ กล่าวกับฉังเคออย่างร้อนใจ “ดูว่ามีของอะไรก็ให้เด็กคนนี้ไปให้หมด เกรงว่าเมื่อก่อนเขาคงถูกผู้อื่นรังแกมา”
ต่อให้นางตอบสนองได้รวดเร็วเพียงใด ก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว เสียงของนางยังไม่ทันหายไป ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างสูงผู้หนึ่งพรวดออกมาจากด้านข้าง นอกจากฉุดเด็กน้อยไปแล้ว ยังหันไปเตะฉังเคออย่างรุนแรงอีกด้วย
………………………………………………………………….
[1] ถั่วเซินจื่อ ถั่วเฮเซลนัท
[2] ถั่วซิ่งเหริน เมล็ดแอปริคอท
ตอนต่อไป