บทที่104 ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้
เจียงหยุนเอ๋อ ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงแต่ก้มหน้า นัยน์ตาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ตอนนี้
“ผู้ดูแลเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เสียงของ ลี่จุนถิง จู่ๆ ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เจียงหยุนเอ๋อ ตัวสั่นด้วยความตกใจ
ผู้ดูแลวิ่งอย่างรีบร้อนเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วสีหน้าของเขาก็ลำบากใจขึ้นมา
“รีบพูดออกมา มันเกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของถวนจื่ออยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มขมวดคิ้วและพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังจะระเบิดออกมา
“คือ… ”ผู้ดูแลบ้านหลบสายตาไม่กล้าตอบ
“พูด” อารมณ์ของ ลี่จุนถิง แทบจะระเบิดออกอย่างสมบูรณ์ เส้นเลือดสีเขียวที่คอของเขาปูดขึ้นมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
เดิมทีโม่เสี่ยวฮุ่ย สั่งไว้ว่าไม่ให้พูดอะไร แต่ผู้ดูแลรู้ดีว่าถ้าตนยังขืนนิ่งเงียบไม่ปริปากเช่นนี้ ต่อหน้าลี่จุนถิง ที่กำลังอารมณ์ร้อนแทบจะระเบิด เกรงว่าเขาอาจจะตายอย่างอนาถได้
“ข้าวของของถวนจื่อและคุณเจียงทั้งหมดอยู่ในโกดัง” พ่อบ้านหดคออย่างตื่นตระหนก
ลี่จุนถิงหายใจเข้าลึกๆ และหรี่ตาลง “คุณนายเป็นคนสั่งให้ทำใช่ไหม”
“ครับ” ผู้ดูแลเอื้อมมือไปแตะเหงื่อที่หน้าผาก
“ไปเอาของของถวนจื่อและคุณเจียงมาแล้วใส่กลับให้เหมือนเดิมถ้ามีอะไรผิดไปแม้แต่น้อยเตรียมตัวตกงานได้เลย” เสียงของ ลี่จุนถิง นั้นนุ่มนวลมาก แต่ก็สุขุมซึ่งทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้
“ครับ” ผู้ดูแลพยักหน้า
“ไปให้พ้น” ลี่จุนถิง เอามือเท้าสะเอว และเตะประตูอย่างบ้าคลั่ง
ลี่จีถอง พาโม่เสี่ยวฮุ่ย ไปงานเลี้ยงต้อนรับที่ส้งหวั่นหวั่นจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับพวกเขา
เมื่อลี่จีถอง นึกถึงคำพูดของ ส้งหวั่นหวั่นที่เคยพูดกับตน มุมปากของเธอก็ยิ้มออกมาอย่างไม่สามารถปิดบังความสุขของเธอได้
“คุณน้าฉันเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับสำหรับคุณและคุณป้าเป็นพิเศษเลยค่ะ รบกวนคุณน้าพาคุณป้ามาตามนัด นี่คือที่อยู่ของร้านอาหารค่ะ” ส้งหวั่นหวั่นพูดพร้อมกับยื่นการ์ดที่มีที่อยู่ของร้านอาหาร
“ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องเตรียมของพวกนี้ให้ เราไม่สนใจเรื่องพวกนี้ฉันไม่คิดว่าพี่สะใภ้ของฉันจะชอบเรื่องแบบนี้” ลี่จีถองเพียงแค่เหลือบมองไพ่บนโต๊ะ
“แต่ร้านนี้ …” ส้งหวั่นหวั่นจงใจหยุดพูดกลางคัน
“แต่อะไร พูดมาสิ ฉันลุ้นจะตายอยู่แล้ว” ลี่จีถอง เกลียดการยั่วแบบนี้มาก
ส้งหวั่นหวั่นโบกมือไปมา
แม้ว่าท่าทางของลี่จีถองจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังโน้มหูเข้ามา
“คุณน้าเท่าที่ฉันรู้ อวิ๋นเจิ้งซีชอบทานอาหารที่ร้านนี้ ถ้าเราไปก็จะมีโอกาสสูงที่จะพบเขา” ส้งหวั่นหวั่นกระซิบที่หูของลี่จีถอง
“จริงเหรอ” ดวงตาของลี่จีถองเป็นประกายอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงอวิ๋นเจิ้งซีราวกับลูกหมาที่ยังไม่หย่านม
“ฉันจะโกหกคุณน้าทำไมล่ะ” ส้งหวั่นหวั่นกระพริบตา
“ได้ ถ้าอย่างนี้เธอไม่ต้องกังวลฉันจะพาพี่สะใภ้ไปให้ได้แน่นอน” ลี่จีถอง พูดพร้อมกับหยิบการ์ดบนโต๊ะลงในกระเป๋าของเธอ
ส้งหวั่นหวั่นยกยิ้มที่มุมปาก ไม่มีอะไรที่เธอคิดจะทำแล้วทำไม่ได้
“ถ้าเป็นอย่างนี้ สักครู่ฉันจะส่งเวลาให้คุณค่ะ ดังนั้นรบกวนพาคุณป้ามาด้วยนะคะ” ส้งหวั่นหวั่นยิ้ม
“ได้” ลี่จีถองดื่มเครื่องดื่มบนโต๊ะหนึ่งคำ
พูดตามตรงไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ความคิดของ ส้งหวั่นหวั่นเธอชอบลี่จุนถิงมาโดยตลอดลี่จีถองรู้เรื่องนี้เธอดี แต่ลี่จุนถิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงเลยคนนี้เลย
ด้วยเหตุนี้ วิธีที่ดีที่สุดของ ส้งหวั่นหวั่นคือทำให้โม่เสี่ยวฮุ่ย พอใจในตัวเธอ หากได้ความช่วยเหลือจากแม่สามีในอนาคตอย่างโม่เสี่ยวฮุ่ย การเอาชนะใจลี่จุนถิง ก็จะง่ายขึ้น
แม้ว่าลี่จุนถิงจะแต่งงานกับใครก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ แต่ส้งหวั่นหวั่นก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากเธอรู้ว่าตัวเองชอบอะไรและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ถึงแม้ว่าตอบรับแบบนี้จะเป็นการทำให้เธอสมปรารถนาได้ง่ายขึ้น แต่ทำไมถึงจะทำไมได้ล่ะ
“ทำอะไรอยู่ ถึงได้ยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ ก็แค่ไปงานเลี้ยงต้อนรับเท่านั้นไม่ใช่เหรอไง” โม่เสี่ยวฮุ่ย สังเกตลี่จีถอง อยู่นานแล้ว ก็เห็นว่าตั้งแต่เธอออกจากบ้านก็ยิ้มที่มุมปากอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโดนของหรือเปล่า
“โอ้ย ก็แค่ดีใจที่จะได้ออกไปทานข้าวกับพี่สะใภ้ของฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะมากับพี่สะใภ้ฉันก็คงไม่มา” แน่นอนว่าลี่จีถองไม่สามารถพูดได้ว่าตนมีความสุขเช่นนี้เพราะอาจจะได้พบกับอวิ๋นเจิ้งซี
“นี่จะมาอ้างว่าเป็นเพราะฉันได้อย่างไร” โม่เสี่ยวฮุ่ย ไม่รู้ว่าทำไมลี่จีถอง ถึงพูดว่าเป็นเพราะตัวเธอเอง
“พี่สะใภ้ถามฉันแบบนี้ไม่รู้ตัวเองจริงเหรอคะ” ลี่จีถองไม่เชื่อว่าโม่เสี่ยวฮุ่ยไม่รู้ความคิดของ ส้งหวั่นหวั่นเลย
“ฉันเหรอ” โม่เสี่ยวฮุ่ย ชี้ไปที่ตัวเอง
“เอาล่ะ” ลี่จีถอง ไม่ได้คิดที่จะหารือเกี่ยวกับโม่เสี่ยวฮุ่ย ในเรื่องนี้ต่อไป “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยไปเถอะเราจะสายกันแล้ว”
เมื่อพูดจบลี่จีถอง ก็ลากโม่เสี่ยวฮุ่ย เข้าไปในร้านอาหาร
เมื่อเข้ามายังร้านอาหาร ส้งหวั่นหวั่นก็รออยู่ที่ล็อบบี้แล้ว
เมื่อเห็นโม่เสี่ยวฮุ่ย เดินมาเธอก็ทักทายทันที “คุณป้าคุณน้าพวกคุณมากันแล้วเหรอคะ“
“อืม” โม่เสี่ยวฮุ่ย พยักหน้า
“ไปกันเถอะค่ะหนูสั่งอาหารไว้แล้ว“ ส้งหวั่นหวั่นกล่าวและนำโม่เสี่ยวฮุ่ยและลี่จีถองลงไปยังห้องที่จองไว้แล้ว
ทันทีที่ทั้งสามคนนั่งลงบริกรก็มาเสิร์ฟอาหาร
“คุณป้าคุณน้า รีบทานเถอะค่ะ อาหารในร้านนี้มีเอกลักษณ์มาก” ส้งหวั่นหวั่นคีบปลาชิ้นหนึ่ง แกะก้างออกแล้วใส่ลงในชามของโม่เสี่ยวฮุ่ย “โดยเฉพาะปลานี่เป็นอาหารจานหลักของที่นี่”
โม่เสี่ยวฮุ่ยหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบปลาเข้าปากชิมอย่างประณีตและพยักหน้าด้วยความชื่นชม “อืม ก็ไม่เลวนะ”
“คุณน้า ก็รีบทานด้วยสิคะ” ส้งหวั่นหวั่นพูดคุยกับทั้งสองอย่างกระตือรือร้น
จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มทานอาหาร
“คุณป้าคุณน้าคะ ฉันขอดื่มคารวะให้พวกคุณสักแก้วเพื่อเป็นการฉลองการกลับมาของพวกคุณ” ส้งหวั่นหวั่นพูดแล้วยกแก้วขึ้นมา
โม่เสี่ยวฮุ่ยและลี่จีถอง ต่างก็ยกแก้วซึ่งถือเป็นการตอบสนอง
ทานอาหารไปครึ่งทางโม่เสี่ยวฮุ่ย ก็หยิบหยกพม่าชิ้นหนึ่งส่งให้ส้งหวั่นหวั่น
“คุณป้า นี่อะไรคะ” ส้งหวั่นหวั่นน้อยหน้าเสีย
“หวั่นหวั่น ป้าให้เธอ นี่เป็นเครื่องประดับทำด้วยหยกจากพม่า สไตล์มันสวยมาก ฉันรู้สึกว่ามันเข้ากับเธอได้ดี” โม่เสี่ยวฮุ่ย มองส้งหวั่นหวั่นด้วยความรัก
“ขอบคุณค่ะคุณป้า หวั่นหวั่นชอบมากค่ะ” ส้งหวั่นหวั่นดีใจมากรีบหยิบเครื่องประดับหยกขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง
“ชอบก็ดีแล้วล่ะ ฉันก็กลัวว่าสายตาหญิงชราอย่างฉัน จะไม่ถูกใจคนหนุ่มสาว” โม่เสี่ยวฮุ่ย พยักหน้า
เธอชอบเด็กสาวอย่างส้งหวั่นหวั่นมาก เธอทั้งสุภาพอ่อนโยน มีมารยาทและเกรงใจผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นเด็กดี
“ที่ไหนกันคะ คุณป้ายังไม่แก่เลย ถ้าออกไปบอกว่าเราสองคนเป็นพี่น้องกันใครๆ ก็ต้องเชื่อค่ะ” ส้งหวั่นหวั่นวางหยกประดับในกระเป๋าและเก็บอย่างระมัดระวัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กคนนี้มันปากหวานจริงเชียวๆ ”เมื่อมีคนชมว่าตัวเองยังไม่แก่ เป็นธรรมดาที่โม่เสี่ยวฮุ่ย จึงมีความสุขอย่างมาก จะมีผู้หญิงคนไหนกันอยากให้คนอื่นบอกว่าตัวเองแก่