บทที่ 104 กำลังเสริม

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 104 กำลังเสริม

ในตอนนี้ ฉู่เหินและฝ่ายศัตรูได้พุ่งเข้าเข่นฆ่ากันอุตลุด พัดในมือของเขากวัดแกว่งไปมาอยู่รอบกาย ฉลามพิษนับสิบถูกฆ่าตายภายในชั่วพริบตาด้วยน้ำมือของฉู่เหิน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นจำนวนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฉลามพิษหลายหมื่นตัว ถึงแม้กับดักที่เขาเรียงไว้จะป้องกันได้ในระดับหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี ในเวลาชั่วพริบตา หินก้อนแล้วก้อนเล่าก็ถล่มลงมา

ฉู่เหินที่เห็นแบบนั้น เขาก็อดรู้สึกหัวเสียไม่ได้ เพราะตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยแล้ว นางเงือกหลายตัวต้องลาสังขารหนีเพราะอาการบาดเจ็บด้วยสีหน้าสิ้นหวัง พวกเขารู้ดีว่าฝ่ายนางเงือกของพวกตนพ่ายแพ้แล้ว แม้จะยังไม่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของฝ่ายตรงข้ามจนราบคาบในวันนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ได้อย่างเป็นสุขในอนาคตได้อีกต่อไปแล้ว

ในเวลานี้มีฉลามพิษมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือไหว เผ่านางเงือกไม่สามารถขัดขืนได้อีกต่อไป เมื่อเห็นความพ่ายแพ้ที่กำลังเกิดขึ้น ฉู่เหินจึงรีบคิดหาทางออก ถ้าที่นี่ไม่ใช่ใต้ท้องทะเล เขาก็จะสามารถใช้พลังอัคคีแก้ปัญหาได้

อานุภาพการทำลายล้างของพลังอัคคีร้ายแรงมาก แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล ไม่ว่าพลังไฟจะร้ายแรงแค่ไหนมัน มันก็แทบไม่สร้างความแตกต่างอะไรเลย ฉู่เหินคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

“ฆ่ามัน นางเงือกมันต้านไม่อยู่แล้ว เข้าไปฆ่าหัวหน้ามันเลย เราจะได้ยึดที่ของมันซะ” ฉลามที่กำลังต่อสู้กับฉู่เหินตะโกนเสียงดัง ฉลามทั้งฝูงเกิดความฮึกเหิม พวกมันพุ่งเข้าไปโจมตีทีละตัว

ฝ่ายนางเงือกกำลังจะพ่ายแพ้ในไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้ฉู่เหินเองก็พร้อมที่จะหนีแล้ว ถ้าเขาอยู่ต่อ ตัวเขาจะต้องตกอยู่ในอันตราย แต่แล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจอยู่เพื่อสู้ต่อ เขารวบรวมแรงฮึดเพื่อเริ่มการเข่นฆ่าศัตรูอีกครั้ง

ระหว่างการต่อสู้อันดุเดือดนี้เอง ฉู่เหินรู้สึกว่าความแข็งแรงของร่างกายเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความสามารถระดับเทพยุทธ์อยู่ใกล้แค่เอื้อม น่าเสียดายที่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ถึงเขาจะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ ชายหนุ่มก็ไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรได้ คำเดียวที่จะสามารถบรรยายเผ่านางเงือกทั้งหมดได้ในตอนนี้คือสิ้นหวัง แต่ถึงจะสิ้นหวัง ทุกคนก็ยังสู้ยิบตา

ฉลามแสนดุร้ายว่ายตรงเข้ามาหาฉู่เหิน ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากไหล่ของเขา “โอ้แม่เจ้า ปลาพวกนี้มันดุร้ายจริง ๆ รีบเผ่นกันเถอะ” เมื่อสิ้นเสียง เจ้ากระต่ายเสี่ยวหงก็รีบกลับหลังหันแล้วกระโดดเข้าไปในแหวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้ฉู่เหินโกรธไม่น้อย

“เจ้ากระต่ายนี่รีบหนีเอาตัวรอดในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ถ้ารอดไปได้ จะจัดการให้เข็ด อกตัญญูจริงๆ” ฉู่เหินนึกด่าในใจ เขาเห็นเผ่านางเงือกกำลังพ่ายแพ้ ฉู่เหินรู้ดีว่าไม่มีทางอื่นแล้ว หินที่เขาเรียงไว้ถูกอีกฝ่ายทำลายลงอย่างรวดเร็ว มันทำให้ฉู่เหินรู้อีกด้วยว่ามันไม่ใช่ทางออกสำหรับทุกสิ่ง ถ้าไม่เตรียมตัวมาอย่างดี ต่อให้มีตัวช่วยดีแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหลังชนฝา และฉลามก็กำลังจะฝ่าปราการป้องกันของนางเงือกเข้ามาได้ ก็มีเสียงโห่ร้องดังมาแต่ไกล ฉู่เหินมองไปที่ต้นตอของเสียงร้อง เขาเห็นฝูงปลาทะเลมากมายนับไม่ถ้วนกำลังว่ายมาจากระยะไกล แต่หน้าตาของปลาพวกนั้นช่างแปลกนัก

ปลาตัวผอมที่มีปากเรียวแหลมคือปลาทูน่า ส่วนปลาที่ว่ายเคียงปลาทูน่ามาดูตัวใหญ่กว่าและมีแสงสีแดงส่องสว่างอยู่รอบตัวเหมือนเปลวไฟ มันคือปลาเฟลมฟิชนั่นเอง เมื่อผู้นำฝูงปลาทั้งสองพ้นภัยจากพิษร้าย พวกมันก็รีบมาช่วยชีวิตเหล่าเงือกทันที พวกมันคาดการณ์ไว้แล้วว่าฉลามพิษจะต้องมาโจมตีเผ่าเงือกแน่นอน ถึงแม้ทั้งสองเชื้อชาติจะไม่ได้เป็นศัตรูของฉลามพิษ แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ พวกมันก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง

หากนางเงือกพ่ายแพ้ ใต้ท้องทะเลจะไม่มีความสงบสุขได้อีก เมื่อถึงเวลานั้นทั้งสองสายพันธุ์จะตกเป็นอาหารของราชาฉลามพิษอย่างแน่นอน นางเงือกที่กำลังอ่อนกำลังเต็มทีรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นกำลังเสริม

“ฆ่ามันเลย! กำลังเสริมมาแล้ว ไม่ต้องไปกลัว!” ถึงแม้ฉู่เหินจะไม่รู้ว่าเขาตะโกนบอกใคร แต่มันก็ได้ผลมากทีเดียว มันทำให้นางเงือกที่หมดแรงต้านกลับมามีแรงฮึดอีกครั้ง ทั้งสองผนึกกำลังต่อสู้ พุ่งเข้าโจมตีฝูงฉลามพิษ เมื่อเห็นเช่นนั้น ราชาฉลามพิษที่ต่อสู้กับฉู่เหินก็อดหัวเสียไม่ได้ ถึงแม้ทั้งสองเผ่าพันธุ์จะไม่อยู่ในสายตาของมันก็ตาม แต่หากปล่อยให้เวลาผ่านไป มันก็คงไม่ดีต่อฝ่ายตนเป็นแน่

“ฆ่านางเงือกให้หมดโดยเร็วที่สุด!” เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของราชาฉลามพิษ มันก็เข้าต่อสู้กับฉู่เหินต่อ หลังจากต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ร่างกายของฉู่เหินบาดเจ็บเล็กน้อย แต่โชคดีที่บาดแผลตามร่างกายของเขาเริ่มเยียวยาตัวเองได้ทันที

แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าเมื่อสงครามนี้จบลง เขาต้องกลับไปรักษาตัว มิเช่นนั้นมันจะส่งผลกับความสามารถในการต่อสู้ของเขา และอาจทำให้ขั้นฝีมือของเขาลดลงได้

ฉู่เหินส่ายหน้าเรียกสติตัวเอง เพราะตอนนี้เขาต้องเอาชีวิตให้รอดก่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึงอนาคตเลยจะดีกว่า ว่าแล้วเขาก็ตะโกนก้องแล้ววิ่งรุกหน้าไปกับนางเงือก

อาจกล่าวได้ว่าในศึกครั้งนี้ ฉู่เหินได้ใช้สมบัติออกมามากที่สุดแล้ว และเพราะเหตุนี้ เหล่านางเงือกจึงเคารพเขามาก ซึ่งนี่ก็ได้สร้างมิตรภาพที่ดีงามให้เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์และนางเงือก แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายของพวกเขาสามารถเอาชนะศึกครั้งนี้ได้เท่านั้น แม้ทั้งสองฝ่ายจะยังสู้ไม่ถอย แต่ฉู่เหินก็นับเวลาอยู่ในใจตลอดเวลา ชายหนุ่มรู้ว่าถ้าเขาถ่วงเวลาได้อีก 10 นาที หัวหน้านางเงือกก็ต้องออกมาช่วยแน่นอน

แต่ช่วงเวลา 10 นาทีที่ว่านี้คือช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด มันไม่ง่ายเลยที่เอาตัวรอดในช่วงเวลา 10 นาทีนี้ แต่เมื่อปลาทูน่าและปลาเฟลมฟิชมาถึงสนามรบแล้ว มันก็ช่วยเสริมกำลังให้อีกฝ่ายที่กำลังพ่ายแพ้มีกำลังตีเสมอขึ้นมา แต่ฉู่เหินเองก็เห็นว่าทั้งปลาทูน่าและปลาเฟลมฟิชคงสู้อีกได้ไม่นาน พวกมันต้องอ่อนกำลังลงในเร็ว ๆ นี้แน่

เมื่อเห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้า ฉู่เหินกลับไม่รู้สึกเป็นกังวล แถมยังยิ้มออกมาเสียด้วย ที่ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้นั่นก็เพราะตอนนี้เขามีทางออกแล้ว ว่าแล้วฉู่เหินก็รีบถอยออกมาจากสนามรบและเริ่มนำบางอย่างออกมาจากแหวนมิติ

ของที่ว่านี้คือไม้เบิร์ช แร่ทองและเปลือกหอยลายที่ได้จากกองทัพใต้ท้องทะเล เขาหันหลังเพื่อนำสิ่งของเหล่านี้มาประกอบเข้าด้วยกัน

นอกที่พักของนางเงือกอยู่นอกเขตสงคราม แต่มันมีพื้นที่กว้างมาก การจัดเรียงจึงทำได้ยาก แต่เขาไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว ฉู่เหินนำไม้เบิร์ชมาประกอบเข้าด้วยกันทีละชิ้น นอกจากวัสดุระดับ 3 พวกนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ยังใช้เพชรมาประกอบอีกด้วย เขานำเปลือกหอยลายมาจัดเป็นกับดัก เมื่อเห็นผลงานของตัวเองแล้ว ฉู่เหินก็มั่นใจเลยว่าเจ้าปลาฉลามต้องได้บทเรียนครั้งใหญ่แน่ ๆ

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น แม้ฉู่เหินจะทำได้เร็วมาก แต่เขาก็ต้องจัดเรียงมันอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ปลาทูน่าและปลาเฟลมฟิชเริ่มหมดแรงแล้ว ขืนปล่อยให้สู้ต่อ พวกมันต้องตกอยู่ในอันตรายแน่

“ถอยทัพกลับมา ฉันมาช่วยแล้ว กลับมาพักก่อน” เมื่อเห็นฝ่ายของตัวเองเริ่มพ่ายแพ้ ฉู่เหินก็ยืนตะโกนเรียกพรรคพวกให้ถอยทัพ เขารู้ว่าขืนชักช้ามากกว่านี้ ทั้งสองเผ่าพันธุ์ต้องถูกฆ่าตายหมดแน่ ๆ

Next