ตอนที่ 64

The simple life of the emperor

ขณะที่เทียนหลางนั่งอยู่บนรถนั้นเขาก็หยิบโทรศัพขึ้นมาและโทรหาเฟิงหยวน เมื่อเฟิงหยวนรับโทรศัพเขาก็เอ่ยถามทันที

”คุณจะให้ผมไปหาที่ไหน ?”

เฟิงหยวนที่ได้ยินคำถามก็ตอบกลับทันที

”คุณกลับมาหาฉันที่บ้านได้เลย ฉันกับคุณยายพึ่งกลับมาจากซื้อของหน่ะ”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ถามออกมาด้วยสงสัยเพราะปกติแล้วผู้หญิงมักจะเลือกซื้อของกันนาน แต่นี่เพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

”ทำไมเร็วงี้หล่ะ ?”

เฟิงหยวนที่ได้ยินคำถามก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

”เพราะที่ห้างไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเลยนะสิ”

”งี้นี่เอง งั้นเดียวผมกลับไปหาที่บ้าน”

”ฉันจะรอ”

หลังจากวางสายเทียนหลางก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปถามกับคนขับรถว่า

”นายชื่ออะไร ?”

เมื่อคนขับรถได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ

”ผมชื่อกัวชิงครับ”

เทียนหลาวพยักหน้าก่อนจะถามอีกครั้ง

”แล้วนายทำงานมาให้ตระกูลฉันนานเท่าไหร่แล้ว”

กัวชิงได้ยินแบบนั้นก็คิดสักพักก่อนจะตอบ

”5ปีครับ”

เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย

”แล้วนายมาทำงานกับตระกูลฉันได้ยังไง ?”

”เมื่อก่อนนั้นผมเคยนักเลงอยู่ที่เปาซานและคอยรับใช้ผู้มีอิทธิพลที่นั่นเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่วันหนึ่งบังเอิญผมทำงานผิดพลาดและติดหนี้เจ้านายเก่าหลายล้านผมไม่มีเงินมาใช้หนี้คืนเจ้านายเก่าจึงคิดจะให้ผมขายอวัยวะเพื่อใช้หนี้ ในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจอยู่นั้นท่านผู้นำตระกูลก็ได้เข้ามาและเสนอโอกาสให้กับผม”
( ไม่รู้ว่าจะใช้คุณนาย นายหญิง หรืออะไรดีเลยใช้ผู้นำตระกูลแทน แนะนำกันได้นะถ้ามันดูดีผมจะกลับมาเปลี่ยนให้ )

เทียนหลางลูบคางเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น

”กัวชิงนายลองพูดเกี่ยวกับ 4ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงให้ฉันฟังหน่อยสิ”

”มันจะดีเหรอครับ ?”

กัวชิงพูดออกมาด้วยความลังเล เทียนหลางจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

”เข้าใจแล้วครับ เหตุผลที่พวกเขาได้ชื่อว่าเป็น 4 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงก็เพราะว่าพวกเขานั้นมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในเมืองหลวงและเมืองอื่นๆ ในประเทศพวกเขามีเส้นสายอยู่ทุกแวดวงไม่ว่าจะบนดินและใต้ดิน รวมถึงมีธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาลในแต่ละวันอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยเงินและอำนาจที่พวกเขามีนั้นทำให้พวกถูกเรียกว่าเป็น 4 ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่คนภายนอกเห็นเท่านั้นครับ”

กัวชิงหยุดพูดไปสักพักก่อนจะพูดต่อ

”แต่ความจริงแล้ว 4 ตระกูลใหญ่ไม่ใช้พวกเดียวที่เป็นใหญ่ในเมืองหลวงยังมีตระกูลอีกมากที่แข็งแกร่งทัดเทียมกันไม่ว่าจากในเมืองหลวงและเมืองอื่นๆ ยังไม่รวมเรื่องของเหล่าตระกูลโบราณและตระกูลลึกลับที่คอยซ่อนตัวอยู่หลังม่านอีกมากมาย แต่ที่พวก 4 ตระกูลใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะพวกเขานั้นมีรากที่แข็งแกร่งและฝังลึกจากการสะสมมาเป็นเวลานับร้อยปี และจากที่ผมได้รู้มาพวกเขานั้นยังรู้จักกับเหล่าผู้บ่มเพาะอีกด้วย”

เมื่อกัวชิงพูดจบเทียนหลางก็แสดงท่าทีแปลกใจเล็กน้อยออกมา

”โอ้ ~ นายรู้จักผู้บ่มเพาะด้วย”

”แน่นอนครับคนที่เคยทำงานในวงการใต้ดินมาอย่างผมมานั้นต้องมีสักครั้งที่ได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง”

เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง

”ไหนนายลองพูดเกี่ยวกับตระกูลโบราณมาให้ฉันฟังสิ”

”ตระกูลโบราณนั้นผมไม่ได้รู้อะไรมากนักแต่นอกจากตระกูลตงเสวียและตระกูลจ้าวที่ยอมเปิดเผยตัวแล้วผมก็ไม่รู้จักตระกูลอื่นๆ เลย”

”แล้วนายคิดยังไงกับตระกูลโบราณ ?”

เมื่อได้ยินคำถามเขาก็คิดเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา

”ส่วนตัวของผมแล้วคิดว่าตระกูลโบราณนั้นน่ากลัวกว่าพวกตระกูลใหญ่กับตระกูลลึกลับมากเพราะการที่ตระกูลเหล่านั้นสามารถอยู่รอดมาได้หลายร้อยปีโดยที่ไม่ล่มสลายแถมยังแข็งแกร่งขึ้นทุกวันมันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ทำความเข้าใจคร่าวๆ ก่อนจะยิ้มออกมาและบอกให้กัวชิงขับรถกลับบ้านตระกูลฉวี เมื่อกลับมาถึงเทียนหลางก็พบเฟิงหยวนกับคุณยายกำลังนั่งจิบชาคุยกันอย่างสนุกสนาน เขาเลยเดินเข้าไปถาม

”คุยอะไรกันอยู่ครับ ?”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็หันมาพูดพร้อมกับยิ้มๆ

”กำลังคุยกับคุณยายเรื่องงานแต่งงานของเราหน่ะ”

เมื่อเทียนหลางได้ยินก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงแล้วถามด้วยความสับสน

”จริงเหรอ ?”

”จริงสิฉันเคยโกหกคุณด้วยงั้นเหรอ ?”

เฟิงหยวนตอบกลับด้วยความสงสัย เทียนหลางก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพูดขึ้น

”ผมจะให้คุณตัดสินใจเรื่องแต่งงานแล้วกัน ส่วนผมจะตัดสินใจเรื่องหาเงิน”

เมื่อเฟิงหยวนได้ยินก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

”ไม่ใช่ว่าเราต้องตัดสินใจด้วยกันงั้นเหรอ ?”

”ผมเคยขัดคุณได้รึไง ?”

เทียนหลางพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเฟิงหยวนได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

”ก็จริง เอาตามนั้นแล้วกัน”

เทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะพูดเข้าประเด็นสำคัญ

”คืนนี้คุณจะไปงานเลี้ยงกับผมรึเปล่า ?”

”งานเลี้ยง ?”

เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะหยิบบัตรเชิญออกมาให้กับเฟิงหยวนดูเธอหยิบมันขึ้นมาและพลิกไปพลิกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น

”ฉันไม่ไปหรอก คุณไปเถอะ”

”ทำไมหล่ะ ?”

เทียนหลางถามด้วยความสงสัย

”ฉันจะอยู่กับคุณยายหน่ะ”

”เอางั้นเหรอ ?”

เฟิงหยวนที่ได้ยินคำถามก็พยักหน้าเล็กน้อย เทียนหลางก็ทำได้เพียงยิ้มก่อนจะกลับไปที่ห้องปล่อยให้เฟิงหยวนกับคุณยายพูดคุยกันต่อ

……………………………………………………………………………….

ค่ำคืนมาถึงเทียนหลางแต่งตัวด้วยชุดคลุมสีดำของเขา เทียนหลางเลี่ยงที่จะใส่ชุดสูทเพราะมันดูอึดอัดจนเกิดไปแน่นอนว่าเรื่องความเกรงใจหรืออะไรทำนองนั้นไม่ได้มีอยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียนหลางเดินมาที่รถก็พบว่ากัวชิงได้เปิดประตูรถรออยู่แล้ว

ในระหว่างทางที่กำลังจะไปคฤหาสน์ของตระกูลตงเสวียเทียนหลางก็ได้แต่นึกถึงเหตุผลที่เขาได้รับบัตรเชิญนี้มา ไม่นานนักกัวชิงก็ขับรถมาถึงหน้าทางเข้าคฤหาสน์ของตระกูลตงเสวียพวกเขาถูกยามบอกให้หยุดเพื่อตรวจสอบรถจากนั้นยามก็ถามถึงบัตรเชิญเทียนหลางจึงหยิบออกมาให้เขาหลังจากตรวจสอบกันสักพักประตูของบ้านตระกูลตงเสวียก็ถูกเปิดออก

เมื่อมาถึงหน้าคฤหาสน์เทียนหลางก็พบว่ามีรถหรูมากมายจอดอยู่พร้อมกับผู้คนจำนวนมาก เทียนหลางลงจากรถก่อนจะเดินไปที่ทางเข้าคฤหาสน์ ระหว่างทางเทียนหลางก็ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนมากมายด้วยการแต่งตัวที่แตกต่างและเพราะไม่เคยมีใครเห็นเขา ไม่นานนักที่เทียนหลางเข้ามาด้านในพ่อบ้านชราที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้ก็เดินเข้ามาทักทายเขาทันที

”ยินดีต้อนรับคุณชายเทียนหลาง สู่บ้านตระกูลตงเสวียขอรับ”

เทียนหลางยิ้มก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

”ต้องขอบคุณ คุณหนูของคุณที่ชวนผมงานสังสรรค์อันหรูหราแบบนี้ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณหนูของคุณชวนผมมาทำไมกันแน่”

”ถ้างั้นได้โปรดเชิญคุณชายตามผมมาครับ”

เมื่อพูดจบพ่อบ้านชราก็พาเทียนหลางเดินมาที่ห้องๆ หนึ่งด้านในเมื่อเข้ามาเทียนหลางก็เห็นคุณหนูตงเสวียกำลังนั่งดื่มชาอยู่เมื่อเธอเห็นว่าพ่อบ้านพาเทียนหลางมาแล้วเธอก็หันมายิ้มก่อนจะพูดขึ้น

”เชิญคุณชายเทียนหลางนั่งก่อนสิคะ”

เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะนั่งลงคุณหนูตงเสวียรินชาให้เขาก่อนจะส่งรอยยิ้มให้ เทียนหลางพูดขอบคุณก่อนจะจิบชาเล็กน้อยหลังจากวางถ้วยชาลงเทียนหลางก็พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

”ผมต้องขอบคุณที่คุณได้เชิญผมมาดื่มชาที่หอมหวานแบบนี้ แต่ผมว่าคุณหนูแห่งตระกูลตงเสวียอย่างคุณคงไม่ได้เชิญผมมาเพราะอยากดื่มชาด้วยเป็นแน่”

”แหม ~ คุณชายเทียนหลางนี่ช่างพูดตรงไปตรงมาเสียจริง อันที่จริงฉันก็มีเรื่องอยากจะยืนยันกับคุณหน่อยนะค่ะ”

”เชิญคุณหนูตงเสวียถามมาได้เลยครับ”

เทียนหลางยิ้มกลับทำให้คุณหนูตงเสวียแปลกใจเล็กน้อยก่อนเธอจะส่งยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับถามคำถามออกมา

”ฉันอยากรู้ว่าคุณชายเทียนหลางเป็นคนที่ลงขายยาทิพย์ในการประมูลเมื่อวันก่อนใช่ไหมหรือเปล่าคะ”

เทียนหลางที่ได้ยินก็แสดงสีหน้านิ่งเงียบแต่ในใจกลับรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะด้วยอำนาจและเงินจำนวนมากของตระกูลโบราณไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้วดังนั้นเทียนหลางจึงไม่คิดจะปกปิดหากใครมาถามเขา เทียนหลางจึงพูดไปตามความจริง

”คุณเข้าใจถูกแล้วผมเป็นวางขายพวกมันในงานประมูลวันก่อนเอง”

คุณหนูตงเสวียตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเทียนหลางจะยอมรับตรงๆ แบบนี้เธอมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

”คุณไม่กลัวคนอื่นจะรู้ความลับนี้งั้นเหรอ ?”

เทียนหลางหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับคำถาม

”รู้แล้วทำอะไรได้กันหล่ะ ? จับผมไปทรมานงั้นเหรอ ? ไร้สาระจะตาย ~ ว่าแต่คุณหนูตงเสวียทำไมถึงต้องถามถึงเรื่องนั้นด้วยหล่ะ ?”

คุณหนูตงเสวียได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็ถึงกับพูดไม่ออกเพราะเธอไม่รู้ว่าเทียนหลางนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้มั่นใจและไม่เกรงกลัวอะไรแบบนี้ แต่เธอก็ยังคงแสดงรอยยิ้มออกมาอยู่ตลอดแม้จะตกใจก็ตาม

”ฉันอยากจะรู้ว่าคุณพอจะขายยาทิพย์ที่เหลือให้กับฉันได้หรือเปล่า ?”

เมื่อเทียนหลางได้ยินก็แสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะถามออกมา

”ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณจะเอาไปใครทาน ?”

ทันทีที่ได้ยินคำถามเธอก็แสดงสีหน้าเศร้าออกมาจนทำให้เทียนหลางรู้สึกแปลกใจ ก่อนที่เธอจะเริ่มพูดออกมา

”เพื่อแสดงความจริงใจของฉันที่มีต่อคุณฉันจะตอบคำถามนั้น”

เธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

”เมื่อประมาณสองปีที่แล้วแม่ของฉันได้ล้มป่วนกระทันหันโดยที่ไม่รู้สาเหตุฉันและคุณพ่อจึงพาท่านไปหาหมอที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในจีน แต่ถึงยังงั้นหมอก็ไม่สามารถหาสาเหตุนั้นได้ แม้แต่โรงพยาบาลที่ต่างประเทศก็ยังหาสาเหตุของการป่วยนั้นไม่ได้เช่นกันแม้เราจะลองทุกวิธีทางแล้วแต่ถึงอย่างก็ไม่สามารถรักษาแม่ของฉันได้”

เทียนหลางได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น

”แล้วยาทิพย์ที่เคยประมูลไปก่อนหน้านั้นหล่ะ ?”

”ระหว่างการเดินทางฉันก็ได้รู้ว่าคุณพ่อเป็นมะเร็งจึงได้ใช้ยาทิพย์ขวดนั้นกับคุณพ่อไปแล้วดังนั้นฉันจึงอยากจะขอซื้อยาทิพย์จากคุณอีกขวดหนึ่งซึ่งคุณสามารถเสนอราคาได้ตามต้องการ ทางตระกูลตงเสวียยินดีที่จะจ่ายมัน”

เทียนหลางขบคิดเล็กน้อยก่อนจะพิจารณาข้อเสนอของเธอ ต้องบอกก่อนว่าตอนนี้เทียนหลางอยากจะได้เงินไม่น้อยเลยเพราะเขามีแผนจะเปลี่ยนส่วนหนึ่งของเมืองเป็นโครงการอสังหาซึ่งเขาได้ให้ซ่านฉินไปจัดการกว่านซื้อพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้แล้วแต่ถึงอย่างงั้นเทียนหลางก็ยังคงขาดเงินอีกจำนวนหนึ่ง

คุณหนูตงเสวียเห็นท่าทีของเทียนหลางก็ไม่ได้เร่งร้อนอะไรจึงได้แต่รออย่างสงบ หลังจากคิดอยู่สักพักเทียนหลางก็พูดขึ้น

”ผมจะขายให้คุณก็ได้แต่ผมขอดูอาการของแม่ของคุณเสียก่อน”

เมื่อได้ยินแบบนั้นตงเสวียก็ทำหน้าสงสัย เทียนหลางจึงได้พูดขึ้น

”แม้ยาทิพย์ของผมนั้นจะรักษาได้ทุกโรคก็จริงแต่ถึงอย่างงั้นก็มีบางโรคที่ตัวยาไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักดังนั้นจึงต้องดูอาการป่วยของแม่คุณเสียก่อน เพื่อปรับเปลี่ยนตัวยาเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด”

คุณหนูตงเสวียได้ยินแบบนั้นก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย

”แค่ขายยาทิพย์ให้ฉันอย่างเดียวไม่ได้งั้นเหรอ ?”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเธอเทียนหลางก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

”คุณหนูตงเสวียอย่าเข้าใจผิดถึงผมนั้นจะเป็นเพียงเด้กหนุ่ม ผมก็ยังคงเป็นหมอดังนั้นผมคงทิ้งคนไข้ตรงหน้าไม่ได้”

เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นและบอกให้เทียนหลางตามเธอไป ซึ่งเทียนหลางก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย ระหว่างทางเทียนหลางก็พูดบางอย่างขึ้น

”หลังจากที่ผมมาคิดดูดีๆ แล้วคุณสนใจจะร่วมมืออะไรบางอย่างกับผมไหม ?”

”ร่วมมือ ?”

เธอหันกลับมาถามด้วยความสงสัย เทียนหลางพยักหน้าพร้อมกับพูดถึงแผนการของเขา

”พอดีผมนั้นมีแผนที่จะสร้างส่วนหนึ่งของเมืองจิงไห่ให้เป็นย่านชุมชนชั้นสูง ดังนั้นจึงหาผู้ร่วมลงทุนจำนวนหนึ่งที่พอจะไว้ใจได้”

”แล้วคุณไว้ใจ้ตระกูลของเรางั้นเหรอ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้น

”ผมไม่ได้ไว้ใจตระกูลของคุณหรอก ผมไว้ใจคุณมากกว่า”

”ทำไมถึงไว้ใจฉันหล่ะ ?”

เทียนหลางลูบคางตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น

”การที่ลูกยอมเสียเงินหลายพันล้านเพื่อช่วยชีวิตพ่อแม่ของตัวเอง คนผู้นั้นย่อมมิใช่คนเลวร้าย ดังนั้นจึงมีเพียงพอที่จะเชื่อใจ”

เมื่อได้ยินแบบนั้นคุณหนูตงเสวียก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะนำเทียนหลางมายังห้องหนึ่งด้านบนซึ่งถูกตกแต่งอย่างหรูหราและด้านในมีหญิงคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ เมื่อเทีนยหลางเข้ามาดูใกล้ๆ ก็พบว่าร่างกายของเธอนั้นผอมแห้งเป็นอย่างมากพร้อมกับลมหายใจอันแผ่นเบา

เทียนหลางตรวจดูร่างกายของเธออย่างรวดเร็วก่อนจะถอนหายใจออกมาและหันมาพูดกับคุณหนูตงเสวีย

”คุณนี่โชคดีที่จริงๆ ที่เชิญผมมาในเวลานี้”

”ทำไมงั้นเหรอ ?”

”หากเธอไม่มาเจอผมในอีกครึ่งเดือน เธอคงตายอย่างแน่นอน”

เมื่อคุณหนูตงเสวียได้ยินแบบนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะถามเทียนหลางอย่างเร่งรีบ

”แปลว่าคุณรักษาแม่ของฉันได้อย่างงั้นเหรอ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล้กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

”ใช่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

”หมายความว่ายังไง ?”

”ร่างกายของเธอตอนนี้อ่อนแอเป็นอย่างมากไม่เหมาะแก่กายรักษาดังนั้นจะต้องบำรุงร่างกายของเธอให้กลับมาแข็งแรงเสียก่อน”

เมื่อพูดจบเทียนหลางก็หยิบยาขวดหนึ่งออกมาก่อนจะยื่นให้กับเธอพร้อมกับพูดขึ้น

”ผสมกับน้ำเปล่าให้เธอดื่มครั้งละหนึ่งหยดทุกวันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์จากนั้นเมื่อร่างกายของเธอเริ่มดีขึ้น ก็ผสมมันเข้ากับอาหารครั้งละหนึ่งหยดเช่นเดิมอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นผมจะมาตรวจดูอาการของเธอีกครั้งหนึ่ง”

”งั้นแปลว่าแม่ของฉันจะหายดีงั้นเหรอ ?”

เทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้น

”ยาที่ดีที่สุดหาใช่สิ่งอื่นนอกจากความต้องการผู้ป่วย”

เขาหยุดพูดไปครู่ก่อนจะหันหน้าไปหาผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียง

”ต่อให้ยาดีแค่ไหนหากผู้ป่วยต้องการที่จะตายก็ไม่มีใครสามารถจะยื้อเอาไว้ได้”

เมื่อพูดจบเขาก็หันหน้ามาหาคุณหนูตงเสวียครู่หนึ่ง

”หากเธอได้กำลังใจที่ดีเธอก็อาจจะหลุดพ้นจากคุมนรกนี้ได้”

เธอได้ยินคำพูดของเทียนหลางก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม

”ฉันตงเสวียโหร่วและตระกูลตงเสวียขอขอบคุณ คุณจากใจจริง”

”แหม ~ ไม่ต้องคิดมากหรอกส่วนเรื่องร่วมมือที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้หล่ะ ?”

เมื่อเธอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น

”แน่นอนฉันยินดีจะร่วมมือกับคุณ”

เทียนหลางยิ้มก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจเล็กน้อย

”ถ้างั้นผมจะให้เบอร์ติดต่อเอาไว้ และเดียวผมจะพาคุณไปดูสถานที่”

หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อยตงเสวียโหร่วก็ชวนเทียนหลางลงไปร่วมงานด้านล่างซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธ แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับไปที่ห้องจัดงานนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงอย่างอย่าง มันเป็นออร่าที่น่ากลัวที่เทียนหลางเคยสัมผัสเมื่อนานมาแล้ว เขารีบผละออกจากตงเสวียโหร่วและเดินตรงไปยังหน้าต่างที่ใกล้ที่สุดทันที

ส่วนทางตงเสวียโหร่วก็มองเทียนหลางด้วยความสงสัยพร้อมกับเดินตามเขาไปที่หน้าต่าง

”คุณเป็นอะไรงั้นเหรอ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็หันกลับมายิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

”ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ ที่ลงไปร่วมงานกับคุณไม่ได้”

”คุณมีธุระที่ต้องไปจัดการงั้นเหรอ ?”

”ถูกต้อง”

ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อมือถือของเทียนหลางก็ดังขึ้น เขารับพร้อมกับพูดอย่างใจเย็น

”คุณก็รู้สึกถึงมันสินะ”

ปลายสายซึ่งเป็นเฟิงหยวนก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

”ใช่แล้ว คุณจะเอายังไง ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

”แน่นอนว่าเราต้องไปกำจัดมันอยู่แล้ว”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบกลับ

”ก็ได้งั้นฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้านกลับมาเร็วๆ หล่ะ”

”เข้าใจแล้ว”

เทียนหลางวางหูก่อนจะหันมาพูดกับตงเสวียโหร่ว

”ผมต้องไปแล้วเจอกันคราวหน้านะครับคุณหนูตงเสวีย”

”เข้าใจแล้วค่ะ”

เมื่อพูดจบเทียนหลางก็โดดออกไปจากหน้าต่างก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปพร้อมกับความมืด