ตอนที่ 65

The simple life of the emperor

เทียนหลางมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าห้องของเขาที่บ้านตระกูลฉวีก่อนจะเปิดเข้าไปก็พบกับเฟิงหยวนที่กำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก เขาเดินเข้าไปก่อนจะพูดกับเฟิงหยวน

”เป็นยังไงบ้าง ?”

เฟิงยหวนที่กำลังหวีผมอยู่ก็ได้พูดขึ้น

”ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่คุณคิดจริงๆ นั่นแหละ”

”แล้วมันอยู่ที่ไหนหล่ะ ?”

”เกาะทางใต้หน่ะ”

”งั้นเราไปกันเลยไหม ?”

เฟิงหยวนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาเทียนหลาง ก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางกังวลเล็กน้อย

”พวกมันไม่ได้ปรากฏตัวออกมานานหลายพันปีแล้วหลังจากสงครามครั้งก่อน แล้วทำไมจู่ๆ มันถึงมาโผล่ที่โลกนี้กันหล่ะ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ทำแต่เพียงส่ายหัวก่อนจะตอบ

”ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มีเพียงแค่เราต้องไปดูเท่านั้นแหละ”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พยักหน้าก่อนจะเดินตามเทียนหลางออกมาจากห้อง เมื่อทั้งคู่ออกมาก็เห็นว่าคุณยายของเทียนหลางกำลังเดินมาทางนี้พอดีเมื่อเธอเห็นทั้งคู่ก็แปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามออกมา

”เทียนหลาง หลานไม่ได้อยู่ที่งานเลี้ยงของตระกูลตงเสวียงั้นเหรอ ?”

”พอดีผมมีธุระต้องไปจัดการด่วนกับเฟิงหยวนนะครับเลยกลับมาก่อน โอ้~ จริงด้วยคุณยายช่วยโทรไปบอกกับกัวชิงให้กลับมาด้วยนะครับพอดีผมรีบออกมาเลยลืมบอกกับเขา”

”ได้จ้ะ เดียวยายบอกให้หลานจะให้ยายจัดคนไปส่งรึเปล่า ?”

”ไม่เป็นไรครับผมกับเฟิงหยวนจะไปด้วยตัวเอง”

เมื่อพูดจบทั้งคู่ก็กล่าวลา ก่อนจะเดินออกไปที่สวนและพุ่งตัวออกไปทางทิศใต้ระหว่างทางเทียนหลางก็คิดถึงสิ่งที่ปรากฏตัวออกมาที่เกาะทางใต้หากมันเป็นสิ่งเดียวกับที่เขาคิดจริงดูเหมือนว่านี่จะกลายเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงไม่น้อย เขามองไปที่เฟิงหยวนเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

เฟิงหยวนสังเกตุเห็นก็ถามออกมาด้วยความสงสัย

”เป็นอะไรไปหล่ะ ?”

”ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดจริง ผมไม่อยากให้คุณไปเสี่ยงด้วย”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็ยิ้มก่อนจะกุมมือของเทียนหลางเอาไว้พร้อมกับพูดขึ้น

”มาพูดอะไรเอาตอนนี้ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มออกมา

”นั่นสินะ”

ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงเป้าหมายที่เกาะๆ หนึ่งในแถบทะเลทางใต้ซึ่งการหามันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพราะเหนือเกาะนั้นมีลำแสงแสงสีแดงปรากฏออกมาอย่างเห็นได้ชัด เทียนหลางและเฟิงหยวนจัดสินใจจะลงเดินเท้ากัน

ทั้งคู่สำรวจป่ารอบๆ ก็พบว่าทั่วทั้งป่าต่างเต็มไปด้วยอักขระโบราณแปลกๆ เฟิงหยวนจึงพูดขึ้น

”ดูเหมือนจะมีคนจัดพิธีกรรมอะไรบางอย่างขึ้นนะ”

เทียนหลางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปด้านหน้าระหว่างทางเทียนหลางก็จ้องมองลำแสงสีแดงนั้นอยู่เป็นระยะๆ มันให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดเขามองมันก่อนจะบอกกับเฟิงหยวนว่า

”เราขึ้นไปดูที่ยอดเขากันเถอะ”

”อืม”

ทั้งคู่กระโดดไปที่ยอดเขาใกล้ๆ เพื่อสังเกตุหลังจากที่มองบริเวณรอบๆ ดีแล้วเทียนหลางก็พบกับลานพิธีกรรมที่มีศพนับร้อยนอนเรียงกันเป็นวงกลมและถูกล้อมรอบด้วยอักขระโบราณ เทียนหลางมองมันก่อนจะพูดออกมาด้วยความสนใจ

”พิธีกรรมเลือดงั้นเหรอ ?”

”พิธีกรรมเลือด ?”

เฟิงหยวนถามด้วยความสงสัย

”ใช่ พิธีกรรมเลือดนั้นเป็นหนึ่งในพีธีกรรมต้องถามของเหล่าลัทธิมารที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในช่วงยุคแรกแต่หลังจากสงครามกวาดล้างลัทธิมารเมื่อหมื่นปีก่อนพิธีกรรมเลือดก็กลายเป็นพิธีกรรมต้องห้ามและถูกแบนไป”

”ทำไมหล่ะ ?”

”เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะพิธีกรรมเลือดนั้นสะดุดตาจนเกินไปหรือไม่ก็เป็นการสิ้นเปลืองมากเกินไปเพราะในยุคหลังๆ นั้นก็ไม่มีใครใช้พิธีกรรมเลือดกันแล้วเพราะมีวิชาที่ได้ประสิทธิภาพมากกว่าและปลอดภัยกว่าถูกคิดค้นขึ้นมาพิธีกรรมเลือดจึงถูกลืมเลือนไปและถูกตีตราว่าเป็นพิธีกรรมต้องห้าม”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามออกมา

”แล้วในสมัยที่คุณเป็นจ้าวลัทธิมารละ ? เคยใช้พิธีกรรมเลือดบ้างรึเปล่า ?”

เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น

”ไม่มีหากที่ผมจะขุดของเก่าเก็บไร้ประโยชน์แบบนั้นมาใช้หรอก อีกอย่างลัทธิมารของผมออกแนวไปทางทหารรับจ้างมากกว่าพวกนับถือปีศาจดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้น”

”เข้าใจละ ว่าแต่เราจะเอายังไงกับพวกนั้นดีหล่ะ ?”

เมื่อเฟิงหยวนพูดจบก็ชี้ไปยังพวกคนที่กำลังสวดบทคาถาอะไรสักอย่างอยู่บนแท่นบูชาก่อนจะค่อยๆ กรีดฝ่ามือตัวเองพร้อมกับปล่อยให้เลือดนองทั่วแท่นบูชานี่คือหนึ่งในขั้นตอนของพิธีกรรมเลือดซึ่งถูกเรียกว่า บูชายัญโลหิต

”ปล่อยพวกนั้นไปแบบนั้นแหละ ในตอนนี้ผมอยากรู้เหลือเกินว่าตัวอะไรที่พวกมันจะปลุกขึ้นมาถึงขนาดต้องใช้พิธีกรรมเลือดแบบนี้”

เมื่อพูดจบเทียนหลางก็นั่งลงพร้อมกับเฝ้ามองดูอย่างสนใจ เฟิงหยวนมองเทียนหลางเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาแม้เธออยากจะบ่นเขาแต่เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกนั้นจะปลุกปีศาจหรืออสูรตัวไหนขึ้นมากันแน่เธอจึงลงนั่งข้างๆ เทียนหลางและนำชุดน้ำชากับขนมออกมาทานระหว่างรอ

ในขณะที่พิธีกรรมกำลังดำเนินไปอย่างช้าๆ ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ว่ามีคนอื่นนอกจากพวกเขาและลัทธิมารกำลังมาเกาะนี้ เทียนหลางจึงอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจกับพวกเขา

”ดูเหมือนจะมีแขกมาเพิ่มนะ”

เทียนหลางบังคับประสาทสัมผัสของเขาให้ดียิ่งขึ้นและเฝ้ามองพวกมาใหม่อย่างสนใจ และดูเหมือนเหล่าผู้มาใหม่จะเป็นคนที่เทียนหลางรู้จักเสียด้วยนั่นก็คือคนจาก 4 สำนักใหญ่ที่เขาเคยเจอเมื่อครั้งเดินทางที่ทะเลทราย และดูเหมือนจะมีคนที่ไม่ใช่จาก 4 สำนักมาด้วยเทียนหลางคาดว่าอาจเป็นผู้บ่มเพาะเร่ร่อน

ในขณะที่เทียนหลางกำลังเฝ้ามองผู้มาใหม่อยู่นั้นเฟิงหยวนก็พูดขึ้น

”ดูเหมือนพวกลัทธิมารเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

”พวกนั้นคงรับรู้ได้การมาถึงของ 4 สำนักใหญ่เลยส่งลูกน้องออกมาป้องกัน ดูท่าจะมีโชว์ดีๆ ให้ชมนะ”

”นั่นนะสิ ว่าแต่ 4 สำนักใหญ่ที่พูดถึงเมื่อกี้คืออะไรงั้นเหรอ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ลูบคางตัวเองเล็กน้อยก่อนจะอธิบายให้เฟิงหยวนฟัง เมื่อเฟิงหยวนได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา

”ดูเหมือนเซียนในโลกนี้จะถูกยกย่องเกินจริงไปมากเลยนะ”

”นั่นนะสิ”

ไม่นานนักทั้งสองฝ่ายก็เริ่มปะทะกัน การต่อสู้รุนแรงส่งผลไปทั่วทั้งเกาะเทียนหลางและเฟิงหยวนเฝ้ามองการต่อสู้อย่างสนใจ

”พวกเราไม่ช่วยพวกไม่ดีกว่าเหรอ ?”

เฟิงหยวนเสนอความคิดเห็น เทียนหลางคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

”ยังก่อนดีกว่าพวกเราไปช่วยพวกนั้นในตอนนี้อาจโดนหาว่าเราสองคนเป็นพวกลัทธิมารไปแทนได้ดูไปก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อเฟิงหยวนได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย

”ทำเป็นพูดดีที่จริงคุณอยากไปช่วยพวกนั้นเวลาคับขันเพื่อให้พวกนั้นติดหนี้บุญคุณ คุณหน่ะสิ”

”ว๊า ~ โดนคุณจับได้อีกแล้ว”

เทียนหลางเกาแก้มตัวเองเบาๆ แก้เขินก่อนจะหันไปมองที่แท่นบูชาพิธีกรรมซึ่งดูแล้วอีกสังพักคงประสบผลสำเร็จและจู่ๆ เฟิงหยวนก็เอ่ยถามขึ้น

”งานเลี้ยงของตระกูลตงเสวียเป็นยังไงบ้าง ?”

”ไม่มีอะไรมากแค่คุณหนูตงเสวียอยากจะขอซื้อยาทิพย์เพื่อรักษาแม่ของเธอเท่านั้น”

”แล้วรักษาได้ไหม ?”

เทียนหลางส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้น

”จากที่ได้ตรวจดูแล้วร่างกายของเธอตอนนี้อ่อนแอมากเกินไปและอาการของเธอไม่ค่อยเหมาะกับยาทิพย์เท่าไหร่”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็งุนงงเล็กน้อย

”หมายความว่ายังไง ?”

”อืม… ดูเหมือนเธอจะถูกบังคับให้กินเม็ดยาคลายใจอ่ะนะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้นเฟิงหยวนก็ยิ่งสงสัยมากเข้าไปอีกเพราะเม็ดยาคลายใจนั้นมีสรรพคุณช่วยในการบำรุงหัวใจและทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้นเป็เม็ดยาพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไป และไม่มีผลร้ายใดๆ กับร่างกายของผู้ทานเฟิงหยวนก็เป็นหนึ่งที่เรียนรู้เต๋าแห่งยามาดังนั้นเธอจึงมีความรู้เรื่องเม็ดยาอยู่พอสมควร แต่เมื่อได้ยินว่าเม็ดยาที่ช่วยบำรุงหัวใจและแทบไม่มีผลร้ายใดๆ กับทำให้ร่างกายของคนๆ หนึ่งอ่อนแอจนถึงขั้นต้องพึ่งยาทิพย์ได้แบบนี้เธอก็พึ่งจะเคยได้ยิน

”หรือว่าจะมีข้อผิดพลาดในส่วนผสม”

เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าพร้อมกับอธิบาย

”ดูเหมือนเม็ดบัวเจ็ดสีนั้นจะได้รับการดูแลไม่เพียงพอในขั้นตอนการผสม เม็ดยาคลายใจจึงกลายเป็นพิษแทนที่จะเป็นยาแต่ไม่รู้ว่าเพราะตั้งใจหรือไม่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พยักหน้าช้าๆ เม็ดบัวเจ็ดสีนั้นเป็นหนึ่งในส่วนผสมของเม็ดยาคลายใจ มันเป็นส่วนผสมที่พิเศษเพราะหากเกิดการผิดพลาดขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเม็ดบัวเจ็ดสีที่มีสรรพคุณทางยาก็จะกลายเป็นพิษที่ร้ายแรงในทันที แต่ว่าการควบคุมเม็ดบัวเจ็ดสีนั้นง่ายเป็นอย่างมากถึงขนาดนักปรุงยาขั้นต้นก็ยังสามารถทำได้ดังนั้นเรื่องนี้น่าจะเกิดจากการจงใจเสียมากกว่า

ในขณะที่เฟิงหยวนกำลังคิดถึงเหตุผลที่เม็ดยาคลายใจเป็นพิษอยู่นั้นตัวของเทียนหลางก็คิดถึงเหตุการณ์แปลกๆ บางอย่างได้

‘จะว่าไปแล้ว… ทำไมตาแก่พ่อบ้านของตระกูลตงเสวียถึงไปโผล่ที่บ้านตระกูลลู่ได้กันนะ หรือเขาจะตามฉันมา’

ในจังหวะที่เทียนหลางกำลังคิดถึงเหตุผลของการปรากฏตัวของพ่อบ้านตระกูลตงเสวียอยู่นั้น แท่นบูชายัญก็มีบางอย่างเกิดขึ้น บริเวณพื้นที่รอบๆ แท่นบูชาเกิดรอยปริแตกพร้อมกับที่มีมือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา

โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เสียงคำรามดังลั่นไปทั่วทั้งเกาะทำให้ทุกคนถึงกับตัวสั่นเพราะแรงกดดันที่มันปล่อยออกมา ร่างกายของมันค่อยๆ ไต่ขึ้นมาจากรอยแยกอย่างช้าๆ เมื่อเจ้าตัวสัตว์ประหลาดนั่นออกมาจากรอยยิ้มได้สำเร็จมันก็มองซ้ายมองขวาอย่างสงสัย และเหล่าสาวกลัทธิมารก็แต่ก้มกราบเคารพบูชาเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย

มันมองเหล่าสาวกอย่างเฉยชาก่อนจะแยกเขี้ยวและงับไปที่หัวของสาวกคนหน้าสุดทันที มันสบัดร่างของสาวกคนนั้นทิ้งไปราวกับเศษขยะก่อนจะคำรามออกมาและไล่ฆ่าเหล่าสาวกเหล่านั้นทันที เมื่อเทียนหลางเห็นมันก็หัวเราะออกมา

”เจ้าโง่พวกนี้กล้าปลุกอสูรโบราณออกมาโดยที่ไม่รู้เรื่องของมันได้ยังไงกัน”

เฟิงหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็พูดเสริมขึ้นมาทันที

”นั่นนะสิ แต่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่รู้เรื่องของอสูรโบราณเลยแม้แต่นิดเดียวถึงได้ปลุกมันขึ้นมา”

”ช่างน่าสงสารพวกเหล่าลัทธิมารจริงๆ”

ในขณะที่เทียนหลางกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นก็ได้มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นซึ่งทำเอาเทียนหลางตกใจไม่น้อย นั่นก็คือการที่มีอสูรโบราณอีกสองตัวโผล่ออกมาจากรอยแยกและดูเหมือนจะยังคงมีออกมาอยู่เรื่อยๆ เรื่องนี้ทำเอาเทียนหลางเริ่มที่จะขำไม่ออก

”นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ”

”พวกมันมีจำนวนเยอะขนาดนี้ได้ยังไงกัน !”

เฟิงหยวนถามออกมาด้วยความสงสัยซึ่งเทียนหลางก็ไม่สามารถที่จะตอบได้เหมือนกันเพราะครั้งสุดท้ายที่เทียนหลางเจอกับอสูรโบราณก็เมื่อเจ็ดหรือแปดพันปีก่อนซึ่งมีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น หลังสงครามครั้งใหญ่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเหล่าอสูรโบราณแทบจะถูกกวาดล้างออกไปทั้งหมดจากสามพันโลกแม้จะยังมีเหลืออยู่บ้างแต่ก็มีแต่พวกที่อ่อนแอดังนั้นเหล่าเทพจึงไม่ได้สนใจพวกมัน

เทียนหลางไม่คิดว่าจะเจอพวกมันจำนวนมากขนาดนี้อยู่ที่โลกใบนี้ด้วย พวกมันมีจำนวนหลายร้อยตัวเลยทีเดียวเทียนหลางจ้องมองพวกมันกำลังไล่ฆ่าเหล่าสาวกลัทธิมารอย่างใจเย็นพร้อมกับที่รออะไรบางอย่างอยู่เพื่อดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรอื่นออกมาจากรอยแยกนั่นอีก

เมื่อแน่ใจแล้วเทียนหลางก็หันไปพูดกับเฟิงหยวน

”คงได้เวลาลงไปจัดการแล้ว”

เมื่อพูดจบทั้งคู่ก็หายไปจากยอดเขาทันที