ตอนที่ 391 - จิตแห่งมหามรรคา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 391 – จิตแห่งมหามรรคา

การพบปะกันครั้งนี้ โม่เทียนเกอค้นพบว่า เนี่ยอู๋ชางคล้ายจะไม่เหมือนเดิมแล้ว

เนี่ยอู๋ชางแต่เดิมถึงจะขวัญกล้าเทียมฟ้า กระทำการเด็ดขาด แต่โม่เทียนเกอรู้สึกเสมอว่าทั้งร่างนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเหน็ดเหนื่อย เหมือนกับว่าไร้ความสนใจสักน้อยนิดต่อเรื่องราวรอบด้าน แม้แต่ตนเองมีชีวิตหรือไม่ยังไม่สำคัญ

แต่ครั้งนี้ ถึงแม้นางท่องไปทั่วอย่างไร้จุดหมายสักนิดเหมือนกัน แต่จิตใจคึกคักแจ่มใส ทั้งร่างมีชีวิตชีวา

โม่เทียนเกออดถามมิได้ว่า “สหายเต๋าเนี่ย ท่านกับข้าแยกจากกันมาหนึ่งปี หรือว่าท่านพบกับวาสนาอะไร เหตุใดพบหน้าครานี้ท่านจึงไม่เหมือนเดิมไปทั้งตัวเลยเล่า”

“อ้อ?” เนี่ยอู๋ชางได้ยินวาจานี้ของนาง ถามด้วยความสนใจถึงสิบส่วนว่า “ไม่เหมือนเดิมที่ใด”

โม่เทียนเกอเอียงคอคิด เอ่ยว่า “คล้ายกับว่าเริ่มเพลิดเพลินกับความสุขของการมีชีวิตแล้ว”

“……” เนี่ยอู๋ชางตะลึง เก็บรอยยิ้ม มองโม่เทียนเกอ สายตาซ่อนเร้น “นี่ยังต้องขอบคุณสหายเต๋าโม่มากนะ”

โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “ขอบคุณข้าสำหรับอะไรหรือ” นอกจากให้ที่พำนักนางสามวันที่เกาะเป่ยจี๋ ตนเองไม่เคยกระทำเรื่องช่วยเหลือนางอันใด และสามวันนั้นก็ไม่ได้เกิดเรื่องพิเศษอะไรที่เพียงพอจะเปลี่ยนทัศนคติของเนี่ยอู๋ชาง

เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจเบา ๆ คำหนึ่ง มองไปที่ไกล ๆ กล่าวช้า ๆ ว่า “หลายปีขนาดนี้ ตลอดมาข้าฝันอยากจะไปจากกำมือของซือฟุ ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี แต่ประสบกับความทุกข์ยากนานัปการ จากหนีมาถึงอวิ๋นจง จู่ ๆ ข้ากลับค้นพบว่าไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไร หนึ่งร้อยกว่าปี เรื่องราวอันใดที่ข้าทำล้วนเป็นสิ่งที่ซือฟุอยากให้ข้าทำ ถึงแม้ในใจข้าไม่เต็มใจเลย แต่ไม่อาจปฏิเสธว่าเป็นซือฟุที่มอบความหมายของชีวิตแก่ข้า”

ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “นี่เป็นวาจาใดกัน ท่านเป็นมนุษย์ มิใช่ของใช้ ไยเขาจะต้องมอบความหมายของการมีชีวิตต่อท่าน”

“สหายเต๋าโม่ ท่านไม่เข้าใจ” เนี่ยอู๋ชางส่ายหน้าเอ่ย “ซือฟุท่านปล่อยท่านไปตามอิสระ ดังนั้นชีวิตของท่านก็คือเพื่อตนเอง แต่ว่าข้าไม่ใช่ ก่อนหน้าที่จะไปจากซือฟุ ข้าไม่สามารถนับว่าเป็นคนคนหนึ่งเลย……”

“……”

เนี่ยอู๋ชางยิ้ม ไม่อธิบายมากอีก เรื่องราวบางอย่าง คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ยากนักจะเข้าใจ หรือพูดได้ว่า ซือฟุทำสำเร็จเกินไปแล้ว ไม่เพียงบงการชีวิตของนาง ยิ่งสะกดนิสัยพื้นฐานของนาง ดังนั้น นางเกลียดชัดซือฟุชัด ๆ หลังไปจากเขากลับรู้สึกว่าสูญเสียความหมายของการมีชีวิตและหลงทาง

หนึ่งร้อยกว่าปี สำหรับผู้ฝึกตนระดับสูงแล้วไม่นับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไปเลย แต่กลับเป็นช่วงเวลาทั้งชีวิตของนาง

“สหายเต๋าโม่” เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ ถามขึ้นมา “เหตุใดท่านต้องไปจากเทียนจี๋มาถึงอวิ๋นจงเล่า”

“……” คำถามนี้ โม่เทียนเกอตอบได้ยากอยู่บ้าง นางมาถึงอวิ๋นจง ทั้งเพื่อจะพบเห็นโลกที่กว้างขวางยิ่งขึ้น แล้วก็เพื่อตามรอยเท้าของโม่เหยาชิง สรุปว่าอันไหนสำคัญกว่า แม้แต่ตัวนางเองก็ตอบได้ยาก อีกทั้ง เรื่องของโม่เหยาชิง นางก็ไม่คิดจะพูดกับคนอื่น

เห็นนางมีสีหน้ายุ่งยาก เนี่ยอู๋ชางโบกมือเอ่ยว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องตอบอย่างละเอียดมาก ข้ารู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะพูดกับคนนอก ข้าเพียงประหลาดใจ ท่านอยู่ที่เทียนจี๋เป็นศิษย์สำนักมีชื่อ ตนเองฝึกตนราบรื่น มีซือฟุที่รักศิษย์ดั่งชีวิต แล้วยังเพิ่งจะผูกเป็นคู่เต๋ากับซือเกอท่าน กำลังเป็นเวลาที่สุขสมหวัง เหตุใดกลับต้องไปจากเทียนจี๋ มาถึงอวิ๋นจง”

คำถามนี้ แต่แรกตอนที่ทั้งสองคนกลับมารวมตัวกันใหม่ที่เกาะเป่ยจี๋ เนี่ยอู๋ชางก็เคยคิด เพียงแต่เวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางยังเป็นศัตรูน่าระแวง ไม่สะดวกจะถามไถ่ ขณะนี้ถามออกมาก็นับว่าแก้ความฉงนสงสัยหนึ่งปีมานี้ของนางแล้ว

โม่เทียนเกอได้ยินคำถามนี้แล้วเพียงมองนางยิ้มบาง ๆ “ในสายตาสหายเต๋าเนี่ย ข้าเป็นคนอย่างไรกันหรือ ศิษย์สำนักมีชื่อ ฝึกตนราบรื่น มีซือฟุมีคู่เต๋า จึงน่าจะอยู่ที่เทียนจี๋เพลิดเพลินกับสายตาริษยาชื่นชมของคนอื่น? รอให้คนอื่นกระทำเรื่องทุกอย่างเพื่อข้าจนสำเร็จ?”

“……” เนี่ยอู๋ชางตอบไม่ถูกอยู่บ้าง นางสัมผัสได้ว่าโม่เทียนเกอไม่ใช่คนอย่างนี้ แต่ว่า ที่เทียนจี๋ เหล่าผู้ฝึกตนสตรีที่ชีวิตเลิศลอยพวกนั้นมิใช่ว่าล้วนเป็นเช่นนี้หรือ พวกนางไม่ต้องกังวลเรื่องเส้นทางการฝึกตนของตัวเอง มีผู้อาวุโสกับสวามีจัดแจงทุกสิ่งเพื่อพวกนาง……

ไม่ต้องให้เนี่ยอู๋ชางตอบโม่เทียนเกอก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร นางเอ่ยว่า “หากข้าเพียงเพลิดเพลินกับร่มเงาของซือฟุและซือเกอ เช่นนั้นถึงจะผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ สุดท้ายก็จะไม่สำเร็จมหามรรคา”

เนี่ยอู๋ชางหันหน้าควับไปมองนาง สายตาไม่กะพริบ “สำเร็จมหามรรคา?”

“แน่นอน” ท่าทางตกตะลึงของนางทำให้โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “หรือว่าสหายเต๋าเนี่ยเหยียบย่างบนเส้นทางเซียนไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะสำเร็จมหามรรคา บรรลุแจ้งสำเร็จเซียนหรือ”

“……” เนี่ยอู๋ชางสูดลมหายใจเข้าลึก คารวะนางอย่างเคร่งขรึม “จนกระทั่งขณะนี้ข้าจึงทราบว่าเป็นข้าที่ดูเบาสหายเต๋าโม่”

สำเร็จมหามรรคา บรรลุแจ้งสำเร็จเซียน ผู้ฝึกตนยุคสมัยนี้มีกี่คนที่ยังคิดถึงเรื่องพวกนี้ มิผิด ผู้ที่ฝึกเซียนเหยียบย่างบนเส้นทางเซียน ทั้งหมดเพื่อชีวิตยืนยาว แต่หลังจากโบราณกาล ท้องทะเลกลายเป็นไร่นา เวลาแสนกว่าปี ไม่เคยมีคนบรรลุแจ้งสำเร็จเซียน แม้แต่ผู้แปลงเทพยังน้อยนิดไม่กี่คน ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ล้วนจิตใจสำเร็จเซียนตายไปแล้ว หันไปใฝ่หาอำนาจกับอายุยืนยาว ก็เพราะเหตุนี้จึงไม่มีคำว่าเซียนมารไม่อาจอยู่ร่วมอีก เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกเซียนหรือว่าผู้ฝึกมาร เป้าหมายที่ใฝ่หาไม่มีความแตกต่างในแก่นแท้อีกแล้ว

ทุกสิ่งนี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าเป็นการตกต่ำของผู้ฝึกเซียนหรือว่าความจนใจที่เต๋าแห่งเซียนเลือนลาง

แต่ว่ายุคสมัยนี้ ผู้ที่ยังคงสามารถยืนหยัดในเต๋าแห่งเซียน เป็นคนที่จิตใจมั่นคงควรค่าแก่การนับถืออย่างแน่นอนที่สุด

เห็นเนี่ยอู๋ชางใบหน้าจริงจัง โม่เทียนเกอหัวเราะพรวด “ตอนนี้ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน มหามรรคาที่ว่ากันนั้นยังเอื้อมไม่ถึง จิตแห่งเต๋าก็ประโยคเดียวเพียงเท่านี้ สหายเต๋าเนี่ยไยต้องเป็นเช่นนี้”

บนใบหน้าเนี่ยอู๋ชางกลับไร้รอยยิ้ม นางเอ่ยว่า “หากจะพูดว่าพบปะกันที่เกาะเป่ยจี๋ สหายเต๋าโม่เพียงทำให้ข้ารู้สึกว่าชีวิตยังมีความสนุกสนานบางอย่าง เช่นนั้นวันนี้คำคำเดียวของสหายเต๋าโม่กลับทำให้ข้าได้เห็นโลกใบใหม่แล้ว จากนี้ไป เนี่ยอู๋ชางเดินไปทางเส้นทางไหนก็จะไม่ติดอยู่กับเรื่องอดีตอีกต่อไปแล้ว”

โม่เทียนเกอเลิกคิ้วอย่างพิศวง “สหายเต๋าเนี่ย ท่าน……”

เนี่ยอู๋ชางทอดมองขุนเขาประดุจมวลสาร คลื่นเมฆาประดุจความโกรธเกรี้ยว* ที่ไกล ๆ เพียงรู้สึกว่าฟ้าดินไพศาลเพียงนี้ ไยต้องละทิ้งอนาคตอันเสรีนั้นไปเพื่อความมืดมิดของแต่ก่อน สำเร็จมหามรรคา ฝึกตนสำเร็จเซียน หนึ่งร้อยกว่ามีที่ผ่านไป นางไม่เคยจะคิด แล้วก็ไม่กล้าไปคิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางไม่ได้มีพันธนาการแล้ว สามารถอยู่ท่ามกลางฟ้าดินอย่างอิสระเสรี เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจะไม่สามารถไปไล่ตามหาความหมายแท้จริงแห่งเต๋าเล่า ละทิ้งปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม กลายเป็นผู้ฝึกเซียนที่แท้จริงคนหนึ่ง

ข้ามเขาเจียหลิง เข้าไปในอาณาจักรเป่ยหลินทิศเหนือ เขาขจีกว้างใหญ่ไพศาลที่นี่ล้วนปกคลุมด้วยปราณดำบาง ๆ หนึ่งชั้น นี่ก็คือปราณมาร ทางเหนือของเขาเจียหลิงคือเมืองซิงลั่ว แดนมารแห่งหนึ่งของอาณาจักรเป่ยหลิน

อาณาจักรเป่ยหลินเป็นดินแดนของผู้ฝึกมารอวิ๋นจง พวกเขามีประมุขมารใหญ่สามคน แต่ละคนครอบครองแดนมารใหญ่สามแห่ง นอกจากนี้ยังมีเจ็ดแดนมารเล็ก ขนาดเทียบกับสามแดนมารใหญ่แล้วเล็กสักหน่อย แต่มีผู้ฝึกมารรวมตัวอยู่กันเป็นจำนวนมากเช่นกัน เมืองซิงลั่วก็คือหนึ่งในเจ็ดแดนมารเล็ก

เนี่ยอู๋ชางเอ่ยว่า “เจ้าเมืองของเมืองซิงลั่วคนนี้เป็นผู้ฝึกมารจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นคนหนึ่ง ในแดนมารของอาณาจักรเป่ยหลิน ความแข็งแกร่งไม่มากไม่น้อย พอจะนับว่าเป็นคนสำคัญได้”

โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ นางค้นพบจุดหนึ่ง ผู้ฝึกตนของอวิ๋นจง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกเซียนหรือว่าผู้ฝึกมาร สำหรับการเรียกขานล้วนมิได้เคร่งครัดขนาดนั้น อย่างเช่นที่เทียนจี๋ โรงเรียนเสวียนชิงกับสำนักสายเวทล้วนทำตามธรรมเนียมก่อเกิดตานเป็นอาจารย์เต๋า จิตวิญญาณใหม่เป็นประมุขเต๋า การเรียกขานก็คือสัญลักษณ์บอกระดับการฝึกตน แต่ที่อวิ๋นจงกลับไม่เป็นเช่นนี้ ในโรงเรียนเต๋า ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ฉายาอาจารย์เต๋าก็มาก เป็นความชอบส่วนบุคคลล้วน ๆ ในผู้ฝึกมาร ผู้ที่เรียกตนเองว่าประมุขมารเยอะมาก ผู้ที่ชื่อเสียงแท้จริงสั่นสะเทือนอวิ๋นจงในนั้นมีเพียงสามประมุขมารใหญ่เท่านั้น

โม่เทียนเกอคิดถึงตรงนี้ ยิ้มบาง ๆ นางคิดถึงประมุขมารเสวียนเยว่ที่เคยมีชะตาพบหน้าที่เมืองเทียนเสวี่ยคนนั้น ถึงแม้ฉายานามประมุขมาร แต่ก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่ง

เนี่ยอู๋ชางดูสีหน้านาง เอ่ยอย่างใคร่รู้ว่า “มีอะไรน่าหัวเราะ”

โม่เทียนเกอถามว่า “ท่านยังจำสหายเต๋าจิ่งผู้นั้นได้หรือไม่”

เนี่ยอู๋ชางตะลึง สีหน้ากลายเป็นอึดอัดนิดหน่อยขึ้นมาทันที “สหายเต๋าโม่ เรื่องนั้น……สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ทำอย่างไรกับท่านกระมัง”

“เอ๊ะ?” โม่เทียนเกอตะลึง จากนั้นรู้ว่านางเข้าใจผิด ยิ้มเอ่ยว่า “เปล่า สิ่งที่ข้าอยากถามมิใช่เรื่องนั้น ทว่าคือว่าข้าพบกับคนที่คล้ายเขามากคนหนึ่งที่อวิ๋นจง”

“อ้อ?”

โม่เทียนเกอเล่าเรื่องที่พบกับประมุขมารเสวียนเยว่ให้นางฟัง สุดท้ายเอ่ยว่า “ข้าเห็นประมุขมารเสวียนเยว่ผู้นั้นก็คิดถึงเขา”

เนี่ยอู๋ชางได้ยินแล้วก็ยิ้ม “อันที่จริงสหายเต๋าจิ่งผู้นั้น ถึงแม้จะไม่สำรวมอยู่บ้าง พฤติกรรมกลับยังนับว่าเชื่อถือได้ วันนั้นเขารู้แผนการของซือฟุ ต่อต้านอย่างรุนแรง หากมิใช่ซือฟุเก็บเขาไว้ใช้ประโยชน์ก็แทบจะสังหารเขาแล้ว”

เรื่องนี้โม่เทียนเกอกลับไม่รู้ นางประหลาดใจ “ถึงกับมีเรื่องเช่นนี้”

“อืม เวลานั้นท่านสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย “เขาว่า ฉินโส่วจิ้งเป็นคนที่เขาสามารถเรียกเป็นสหายซึ่งมีจำนวนไม่มาก ถึงเขาจะเสเพล แต่กลับไม่เต็มใจจะกระทำผิดต่อสหาย อีกอย่าง เรื่องของบุรุษสตรี เดิมควรจะถูกใจกันและกัน สิ่งที่เป็นความสุขหรรษาจะสามารถถูกคนบังคับกลายเป็นการกระทำหยาบช้าสกปรกได้อย่างไร”

เนี่ยอู๋ชางหยุดถอนหายใจ “เดิมทีข้าไม่ได้มีความประทับใจดี ๆ อะไรกับเขา หลังจากเรื่องนี้ถึงรู้สึกว่าเขาเมื่อเทียบกับคนที่เสแสร้งเป็นมีคุณธรรมพวกนั้นแล้วน่ารักกว่ามาก”

“……”

เห็นโม่เทียนเกอตกอยู่ในห้วงคิด เงียบงันไร้วาจา เนี่ยอู๋ชางเลิกคิ้วถามว่า “สหายเต๋าโม่ ท่านคิดอะไรอยู่หรือ”

โม่เทียนเกอถอนหายใจ กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ กลับเป็นข้าและโส่วจิ้งซือเกอละอายต่อเขาแล้ว”

“เอ๊ะ? หรือว่าเขาสิ้นชีพที่ภูเขามารแล้ว”

โม่เทียนเกอส่ายหน้าเอ่ยว่า “นั่นก็ไม่ใช่ เขาก็หนีพ้นภัยพิบัติแห่งภูเขามาร แต่หลังเหตุการณ์ เขากับศิษย์คนหนึ่งของผู้อาวุโสกระบี่ฝูหลิงสำนักกู่เจี้ยนทะเลาะแตกหักกัน หากข้าจำไม่ผิด ผู้อาวุโสกระบี่ฝูหลิงท่านนั้นมีศิษย์หนึ่งคนเป็นเจ้าสำนักของสำนักกู่เจี้ยน การกระทำนี้ของเขานับว่าล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลสำนักกู่เจี้ยน ไม่อาจกลับสำนักอาจารย์แล้ว”

ว่าแล้ว โม่เทียนเกอพูดเรื่องที่เจอจิ่งสิงจื่อในวันนั้นอีกครั้งให้เนี่ยอู๋ชางฟังทั้งหมด จิ่งสิงจื่อตอนนั้นมีอาการบาดเจ็บบนร่าง แล้วยังไม่สามารถกลับสำนักกู่เจี้ยน ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว

เนี่ยอู๋ชางฟังจบแล้วกลับเอ่ยว่า “สหายเต๋าโม่ เรื่องนี้กับพวกท่านมีความเกี่ยวพันใดหรือ ถึงจะไม่มีเรื่องนี้ หรือว่าเขาจะต้องสามารถได้รับวาสนาอะไรที่ภูเขามารแน่ ๆ ไม่แน่ว่าจะหนีมหันภัยภูเขามารไม่พ้น สิ้นชีพไปเลย ถึงเขาจะสามารถได้รับวัตถุดิบสวรรค์สมบัติพิสดารอะไรจากภูเขามารจริง ๆ แต่เขากับผู้อาวุโสกระบี่ฝูหลิงมีความแค้นต่อกันแต่แรก การฉีกหน้ากันเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว พูดอีกเรื่อง เขาเป็นคนที่มีความคิดเห็นของตนเองเท่าใด อยู่ที่สำนักกู่เจี้ยนไม่มีความสุขตลอดมา เกรงแต่ว่าอยากจะไปแต่แรกแล้ว เหตุใดจะต้องกังวลใจแทนเขา”

โม่เทียนเกอตะลึง ไร้วาจาไปครึ่งค่อนวัน

เนี่ยอู๋ชางเห็นแล้วถามว่า “หรือว่าข้าพูดผิด”

โม่เทียนเกอถอนหายใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ ที่ท่านพูดล้วนถูก เป็นข้าคิดนอกเรื่องไป สหายเต๋าจิ่งผู้นั้นเดิมก็มิใช่คนที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ”

อันที่จริงยังมีจุดหนึ่งที่โม่เทียนเกอไม่ได้พูด นางค้นพบว่าตนเองใจอ่อนลงกว่าแต่ก่อน ถึงกับไปกังวลกับคนอื่น หรือว่า เพราะตนเองได้รับมากเกินไป ดังนั้นอารมณ์ก็เลยเปี่ยมล้นแล้ว? นี่สรุปว่าเป็นเรื่องดีหรือว่าเรื่องร้าย

………………………………………………….

* 峰峦如聚,波涛如怒 เป็นส่วนหนึ่งของบทเพลง 山坡羊·潼关怀古 (แกะริมเขา.รำลึกถึงถงกวน) แต่งโดยจางหย่างโฮ่วในยุคราชวงศ์หยวน ซึ่งในตอนนี้ผู้เขียนเปลี่ยนตัวอักษรหนึ่งตัวจาก 波 (คลื่นน้ำ) เป็น 云 (เมฆ)

เนื้อเพลงเต็ม

峰峦如聚, ขุนเขาประดุมวลสาร (บรรยายถึงภูเขาที่ห้อมล้อม)

波涛如怒, คลื่นสูงประดุจความโกรธา (บรรยายถึงคลื่นคลั่งของแม่น้ำฮวงโห)

山河表里潼关路。 ภูเขาสายน้ำนอกใน ถนนถงกวน (บรรยายถึงภูมิประเทศอันตรายของด่านถงกวน มีแม่น้ำอยู่ข้างนอก ภูเขาอยู่ข้างใน)

望西都, จ้องมองเมืองหลวงประจิม (หมายถึงเมืองฉางอาน)

意踌躇。 จิตลังเล

伤心秦汉经行处, ปวดใจทางสัญจรฉินฮั่น

宫阙万间都做了土。ราชวังนับหมื่นล้วนเป็นฝุ่นผง (เศร้าใจที่วังของราชวงศ์ฉินกับฮั่นไม่เหลือซาก กลายเป็นทางเดินของคนทั่วไป)

兴,百姓苦; รุ่งเรือง ร้อยแซ่ทุกข์เข็ญ

亡,百姓苦 สิ้น ร้อยแซ่ทุกข์เข็ญ (ไม่ว่าราชวงศ์จะรุ่งเรืองหรือล่มสลาย ชาวบ้านก็ยังทุกข์ยาก)

อันนี้เป็นเวอร์ชั่นเพลงค่ะ มันก็จะโบราณ ๆ อะนะ พยายามจะหาเวอร์ชั่นที่มันทันสมัยกว่านี้หน่อยแล้วแต่หาไม่เจอ

ตอนที่ 392 – เมืองซิงลั่ว