ตอนที่ 392 – เมืองซิงลั่ว
ลงเขาเจียหลิงไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงเมืองซิงลั่ว
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอสัมผัสกับสถานที่อยู่อาศัยของผู้ฝึกมาร
มองคำรบแรก เมืองซิงลั่วกับเมืองที่ผู้ฝึกเซียนอยู่อาศัยไร้ซึ่งความแตกต่าง บ้านเรือนเป็นทิวแถวเหมือนกัน ฝูงชนหลั่งไหลไม่ขาดสายเหมือนกัน ถนนหนทางที่แผงลอยเล็ก ๆ กางเต็มเหมือนกัน
เพียงแต่ว่า ทั้งเมืองซิงลั่วล้วนปกคลุมด้วยปราณมาร ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางเมืองยิ่งหนาแน่น
โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสองคนต่างคนต่างโคจรพลังวิญญาณคุ้มครองร่าง เดินเข้าเมืองซิงลั่ว
จุดนี้ไม่เหมือนกับผู้ฝึกมาร ผู้ฝึกมารอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมไม่มีความรู้สึกอึดอัดเลย พวกเขาถึงกับสามารถใช้พลังวิญญาณฝึกตน พลังวิญญาณยิ่งหนาแน่น สำหรับพวกเขายิ่งมีประโยชน์ แต่ผู้ฝึกเซียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปราณมารเต็มเปี่ยมกลับจะรู้สึกอึดอัด
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ยังต้องเท้าความไปถึงยุคปฐมกาล ต้นกำเนิดของเซียนมาร
ตำนานว่าไว้ว่า ยุคปฐมกาลเดิมทีพลังวิญญาณและปราณมารคงอยู่ในเวลาเดียวกัน พลังวิญญาณลอยขึ้น ปราณมารจมลง
แต่ว่า ระหว่างฟ้าดินเดิมอาศัยพลังวิญญาณก่อกำเนิด ปราณมารคงอยู่ไม่มาก ภายหลังทะเลกลายเป็นท้องนา ปราณมารกลายเป็นยิ่งน้อย ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกมารรอดชีวิตอยู่บนโลกได้ลำบากมาก เพื่อเอาชีวิตรอดบนโลกมนุษย์ใบใหม่นี้ พวกเขาอาศัยการเปลี่ยนแปลงวิชาเวท เรียนรู้การเปลี่ยนพลังวิญญาณกลายเป็นปราณมาร จึงได้สืบทอดกันต่อมา
ส่วนแดนมารเป็นตัวตนอันพิเศษ ผู้ฝึกมารชุมนุมกันจำนวนมาก ชักจูงให้ปราณมารโดยรอบมารวมตัว จึงได้ก่อขึ้นเป็นแดนมาร
เพราะว่าปราณมารคงอยู่บนโลกไม่มาก ผู้ฝึกเซียนน้อยมากจะพบกับปราณมาร แล้วปราณมารก็ทำลายเป็นหลัก ดังนั้นพวกเขาเผชิญกับปราณมารจะเกิดผลกระทบต่อความแข็งแกร่งประมาณหนึ่ง แน่นอนว่า ขอเพียงไม่ใช่ปราณมารที่หนาแน่นจนเกินไป สำหรับผู้ฝึกตนระดับสูงแล้วขอเพียงพลังวิญญาณคุ้มครองร่างก็เพียงพอให้กระทำการโดยอิสระแล้ว
แต่ว่า ปราณมารพวกนี้สำหรับผู้ฝึกเซียนระดับต่ำแล้วกลับปวดศีรษะมาก พวกเขาไม่อาจฝึกตนที่แดนมารได้เลย ส่วนปุถุชนอาศัยอยู่ที่แดนมารนานเข้าก็จะส่งผลกระทบต่ออายุขัย ดังนั้นในเมืองซิงลั่วนี้ผู้ฝึกเซียนระดับต่ำไม่มาก ส่วนใหญ่ที่มาอยู่เป็นระดับสร้างฐานพลังขึ้นไป ผู้ที่ทำธุรกิจก็เป็นผู้ฝึกมารระดับต่ำเสียเป็นส่วนใหญ่
ทั้งสองคนมองดูตามใจชอบ สิ่งของที่วางขายที่นี่ล้วนไม่มีอะไรน่าสนใจ โม่เทียนเกอถามว่า “สหายเต๋าเนี่ย ท่านทำความเข้าใจเมืองซิงลั่วมามากน้อยเท่าใด”
เนี่ยอู๋ชางมองซ้ายมองขวา พูดว่า “ไม่รู้สักนิด”
“……” โม่เทียนเกอหน้าผากกระตุก “เช่นนั้นท่านยังพูดว่าอยากมา!”
“อยู่ว่างก็คืออยู่ว่าง มาดูเล่น ๆ” เนี่ยอู๋ชางพูด
โม่เทียนเกอไม่พูดแล้ว หากพูดกันขึ้นมา นางก็เหมือนกัน หลิงอวิ๋นเฮ่อพูดว่าพบกันใหม่อีกสามเดือนให้หลัง ดังนั้นค่าตอบแทนที่เหลือของการท่องหุบเขาไร้กังวลต้องสามเดือนให้หลังจึงจะสามารถไปเก็บ เวลาสามเดือนนี้ อยู่ว่างก็คืออยู่ว่าง ก็อยากจะสุ่มหาสถานที่เสียเวลา ออกจากหุบเขาไร้กังวล พอดีว่าเมืองซิงลั่วใกล้สุด นางไม่เคยเห็นแดนมาร ก็เลยอยากจะมาชมความครึกครื้น เดิมทียังหวังว่าเนี่ยอู๋ชางจะรู้มากหน่อย ไม่คิดว่านางก็ไม่รู้เลย
ทั้งสองคนเบิกตาใหญ่มองตาเล็กอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเนี่ยอู๋ชางหยั่งเชิงว่า “มิสู้ หาโรงน้ำชาก่อน?”
โม่เทียนเกอลังเลอยู่บ้าง “แดนมารก็มีโรงน้ำชาหรือ”
“ถาม ๆ ดูมิใช่รู้แล้วหรือ” เนี่ยอู๋ชางพูดจบ จากนั้นคว้าตัวผู้ฝึกมารระดับต่ำคนหนึ่ง “สหายเต๋าท่านนี้ โรงน้ำชาเมืองซิงลั่วไปอย่างไร”
ผู้ฝึกมารนี้ระดับการฝึกตนแค่หลอมรวมพลังวิญญาณชั้นห้าชั้นหก ถูกนางดึง เห็นว่าเป็นผู้ฝึกเซียนที่ระดับการฝึกตนลึกสุดจะหยั่งสองคน ถูกทำให้ตระหนกจนสะดุ้ง ตอบกระท่อนกระแท่นว่า “ที่……ที่ด้านนั้น……”
เนี่ยอู๋ชางปล่อยมือ ยักไหล่ให้โม่เทียนเกอ “ท่านดู ก็มีนี่”
“……”
หนึ่งปีก่อนโม่เทียนเกอยังจินตนาการได้ยากมาก ว่าเนี่ยอู๋ชางจะมีท่าทางอย่างนี้ ยิ่งยากจะจินตนาการว่าทั้งสองคนจะเดินไปด้วยกันอย่างนี้
หากจะพูดว่า หลังพบกันที่เกาะเป่ยจี๋พวกนางมิใช่ศัตรูอีกแล้ว เช่นนั้นการท่องหุบเขาไร้กังวลครั้งนี้ก็นับว่าคล้ายสหายอยู่นิดหน่อยแล้ว
เดินไปตามถนนครู่หนึ่ง ฟังเสียงร้องขายของตรงนั้นตรงนี้ โม่เทียนเกอคิดอย่างเหม่อลอยว่าตนเองคล้ายจะกลับไปยังเทียนจี๋แล้ว
ตอนที่อยู่โรงเรียนเสวียนชิง บางคราหลัวเฟิงเสวี่ยก็จะชวนนางไปเดินเล่นข้างนอก ผ่อนคลายจิตใจ ซุบซิบนินทา เพียงแต่ ตั้งแต่ที่ระดับการฝึกตนของตนเองค่อย ๆ สูงขึ้น หลัวเฟิงเสวี่ยเนื่องจากควบคุมโถงผู้ดูแลของยอดเขากานลู่จึงยุ่งขึ้นทุกวัน โอกาสประเภทนี้ก็ยิ่งมายิ่งน้อย เวลาสองปีที่อาศัยอยู่กับฉินซี พวกเขามีเรื่องนับไม่ถ้วนที่ต้องยุ่ง ยิ่งไม่มีอารมณ์ประเภทนี้
ณ ขณะนี้ โม่เทียนเกอสัมผัสกับความสุขใจของการไม่รีบเร่ง อดยิ้มมุมปากบาง ๆ มิได้
ตั้งแต่ออกจากหุบเขาไร้กังวล ค้นพบว่าตนเองคล้ายจะกลายเป็นใจอ่อนแล้ว นางเคยหวั่นใจ แต่ครุ่นคิดอย่างละเอียดกลับรู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องร้ายเลย
ตอนที่นางยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ระดับสร้างฐานพลังหรือแม้กระทั่งหลอมรวมพลังวิญญาณ นางไม่กล้าใจอ่อน เพราะนางยังอ่อนแอเกินไป พอใจอ่อนก็จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจได้ง่ายมาก ก่อให้เกิดความผิดพลาด ผลลัพธ์นั้นเป็นไปได้มากว่าคือการตายโดยไร้ที่ฝังศพ ดังนั้น นางได้แต่ขบฟัน เดินไปข้างหน้าอย่างตื่นตัวและใจเย็น
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว แม้จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ นางก็มิใช่ว่าจะได้แต่งอมือรอความตาย มิใช่โม่เทียนเกอที่ได้แต่ระมัดระวังรอบคอบจึงจะสามารถมีชีวิตต่อไปคนนั้นอีกแล้ว พูดอีกอย่างคือ นางครอบครองพลังอำนาจประมาณหนึ่งแล้ว ดังนั้นมีต้นทุนให้ใจอ่อน
คิดดูสิ ผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ที่เดินอย่างระมัดระวังรอบคอบดิ้นรนฝึกตนบนโลก กับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่มีฌานศักดิ์สิทธิ์ไม่ถูกผู้ใดเหยียบย่ำอีกแล้ว ผู้ใดที่จะใจอ่อนได้โดยง่าย?
บางทีคนส่วนใหญ่จะรู้สึกอย่างสมเหตุสมผลว่าน่าจะเป็นผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ที่ใจอ่อนหน่อย แต่ในความเป็นจริงมักจะเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่ใจอ่อนง่ายกว่า
เพราะผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ที่ใจอ่อนเหล่านั้นส่วนใหญ่สาบสูญไปบนเส้นทางเซียนอันขรุขระแล้ว ส่วนผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านั้น ในช่วงชีวิตฝึกเซียนอันแสนยาวนานได้ฝึกฝนพลังในการประเมินที่เพียงพอออกมาแล้ว เพียงพริบตาก็พอให้ประเมินออกว่าเรื่องราวมีภัยหรือไร้ภัยต่อตนเอง หากไม่มีความจำเป็น พวกเขาสามารถใจอ่อนลงหน่อยได้อย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขาครอบครองพลังอำนาจที่เพียงพอ ไม่กลัวการแว้งกัดเลย
ดังนั้นพูดจากมุมหนึ่งโลกใบนี้ช่างย้อนแย้ง หลังจากมีพลังอำนาจจึงมีคุณสมบัติให้ใจอ่อน
โม่เทียนเกอถามตัวเองว่านางสามารถทำการประเมินในพริบตาว่าคนหรือเรื่องราวมีอันตรายต่อตนเองหรือไม่แล้วจากนั้นจัดการอย่างเหมาะสมที่สุดได้หรือไม่ คำตอบคือสามารถ ในช่วงชีวิตฝึกเซียนอันแสนยาวนาน การรักษาตัวรอดกลายเป็นสัญชาตญาณชนิดหนึ่งไปแล้ว ในเมื่อสามารถ เช่นนั้นนางใจอ่อนสักหน่อยแล้วจะไปไรไปเล่า
ครุ่นคิดจากอีกด้านหนึ่ง นี่มิใช่เรื่องแย่เลย ที่ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ เหล่าผู้ฝึกตนต้องรวบรวมพลังวิญญาณ ขัดเกลาร่างกาย ที่ระดับสร้างฐานพลัง พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้พลังวิญญาณ เหยียบย่างเข้าประตูใหญ่ของการฝึกเซียนอย่างแท้จริง และเริ่มตั้งแต่ระดับก่อเกิดตาน พวกเขาจะต้องสัมผัสแหล่งกำเนิดของพลังวิญญาณ สำรวจหาความหมายแท้จริงของเซียน ถึงระดับจิตวิญญาณใหม่คือการหยั่งรู้มรรคาสวรรค์ การหยั่งรู้ยิ่งมาก ฌานศักดิ์สิทธิ์ยิ่งแกร่งกล้า
ด้วยเหตุนี้ หลังระดับก่อเกิดตานพวกเขาก็จะใส่อารมณ์ลงในประสบการณ์ชีวิตมากยิ่งขึ้น ฝึกเซียนฝึกจิตใจ ต้องฝึกสภาวะจิตใจให้แกร่งกล้ายิ่งขึ้น จะต้องทำความเข้าใจจิตใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเต๋า, ฝ่ายพุทธหรือว่าฝ่ายขงจื้อล้วนมีคำสอนว่าไท่ซ่างลืมรัก มีรักนั้นไร้รัก
“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่” เสียงเสียดแทงหูของเนี่ยอู๋ชางดังขึ้นข้างหู
โม่เทียนเกอได้สติจากในภวังค์ ขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “เสียงนี้ของท่านไม่น่าฟังโดยแท้” เสียงเดิมของนางเพียงแหบแห้งอึมครึมอยู่บ้าง แต่เสียงปลอมแปลงครั้งนี้ไม่น่าฟังเกินไปจริง ๆ คล้ายกับว่าลำคอพังจนกลายเป็นกระชอนไปแล้ว เสียดแทงหูและมีรูรั่วไปทั่ว
เนี่ยอู๋ชางหัวเราะเสียงทุ้มคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ช่วยไม่ได้ ไม่เป็นแบบนี้จะปิดบังเสียงพูดได้อย่างไร”
“……” โม่เทียนเกอกลอกตา “นั่นเป็นท่านเสาะหาความยุ่งยากใส่ตัวเอง อวิ๋นจงอันกว้างใหญ่ ใครจะรู้ว่าเนี่ยอู๋ชางเป็นผู้ใด ท่านใช้โฉมหน้าแท้จริงปรากฏกายก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง”
เนี่ยอู๋ชางเอ่ยว่า “ข้าขโมยสมบัติประจำสำนักของสำนักเทียนเหยี่ยนจากในมือพวกเขา หากถูกค้นพบเข้า……”
“นี่เป็นปัญหาจริง ๆ แต่ว่า ไม่จำเป็นต้องทรมานตัวเองจนกลายเป็นสารรูปนี้กระมัง”
“ท่านนึกว่าแปลงรูปลักษณ์ง่ายดายมากหรือ” เนี่ยอู๋ชางเหล่มองนาง “ไม่อย่างนั้นท่านลองดู”
“ข้าไม่ได้ขโมยสมบัติประจำสำนักของคนอื่นเขา จะใช้ประโยชน์อะไร” โม่เทียนเกอคิดแล้วเอ่ยอีกว่า “แต่ว่าสามารถลองดูได้จริง ๆ”
เนี่ยอู๋ชางกำลังจะจี้ถาม ทั้งสองคนเห็นธงอักษรชาที่ยกสูงในเมืองซิงลั่วแล้ว
ทั้งสองล้วนไม่ได้ปิดบังระดับการฝึกตน ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพนักงานโรงน้ำชา ระดับการฝึกตนแสดงถึงความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งแสดงถึงความร่ำรวย หากสามารถทำให้ผู้ฝึกตนระดับสูงคนหนึ่งพึงพอใจ รางวัลที่พวกเขาให้ส่ง ๆ สำหรับผู้ฝึกตนระดับต่ำล้วนเป็นรายรับอันหาได้ยาก
ทั้งสองคนล้วนไม่ได้วางแผนจะผูกมิตรกับผู้ฝึกตนร่วมระดับ ดังนั้นหลังจากถามคำถามจำนวนหนึ่งกับพนักงานของโรงน้ำชานี้ก็จากไป
พนักงานนี้บอกว่า ในแดนมารก็มีโรงเตี๊ยมที่รับรองผู้ฝึกเซียนโดยเฉพาะ พวกนางเพียงต้องสังเกตสัญลักษณ์ข้างนอกก็พอ
พวกโม่เทียนเกอสองคนเดินเลาะไปหนึ่งรอบ หาโรงเตี๊ยมที่พนักงานพูดถึงเจอทันที — ข้างนอกโรงเตี๊ยมแขวนธงเล็ก ๆ หนึ่งผืน บนนั้นวาดรูปเมฆสีขาวหนึ่งก้อน
พอย่างเข้าโรงเตี๊ยมก็มีคนขึ้นหน้ามาต้อนรับทันที “ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต้องการพักแรมหรือขอรับ”
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว คนที่มารับแขกนี้ถึงกับเป็นผู้ฝึกเซียนระดับต่ำคนหนึ่ง มิใช่ผู้ฝึกมาร
กวาดมองหนึ่งรอบ โรงเตี๊ยมนี้ค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งไม่มีกระแสของผู้คนมากเกินไป ผู้ที่เข้าไประดับสร้างฐานพลังเป็นหลัก ดูท่าโรงเตี๊ยมนี้มาตรฐานสูงยิ่ง ต้อนรับผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ นางมองเนี่ยอู๋ชาง เห็นนางยังนับว่าพึงพอใจ จึงเอ่ยว่า “มิผิด พวกเจ้ามีที่ที่เงียบสงบหน่อยหรือไม่”
“มีขอรับ ๆๆ!” ผู้ฝึกคนระดับต่ำที่ต้อนรับพวกเขายิ้มเอ่ย “โรงเตี๊ยมพวกเราต้อนรับผู้ฝึกตนระดับสูงเยี่ยงผู้อาวุโสทั้งสองโดยเฉพาะ แม้แต่ถ้ำพำนักยังสามารถปล่อยเช่า ไม่ทราบผู้อาวุโสทั้งสองต้องการพักนานเพียงใด ต้องการห้องโรงเตี๊ยมธรรมดา หรือว่าเรือนเล็กโดดเดี่ยว หรือจะเป็นถ้ำพำนักขอรับ”
โม่เทียนเกอมองไปทางเนี่ยอู๋ชาง นางค่อนข้างตามสบายกับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าเนี่ยอู๋ชางมีข้อเรียกร้องพิเศษหรือไม่
เนี่ยอู๋ชางมองนางแล้วเอ่ยว่า “ก็เอาเรือนเล็กโดดเดี่ยวเถอะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า เรือนเล็กเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างดีจริง ๆ พวกนางล้วนชมชอบความเงียบสงบ ห้องโรงเตี๊ยมธรรมดาอย่างมากที่สุดได้แต่ใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ กระแสของผู้คนปนเป การพักอาศัยไม่เหมาะสมแน่ ๆ ส่วนถ้ำพำนักก็ยุ่งยากเกินไป พวกนางอาจจะไปได้ทุกเมื่อ เรือนเล็กหนึ่งหลังพอแล้ว
“เช่นนั้นเอาเรือนที่เงียบสงบหนึ่งหลังเถอะ อยู่นานเท่าไหร่ไม่แน่ แค่เลือกที่ดี ๆ มาก็พอ”
ผู้ฝึกตนระดับต่ำนั้นยิ้มเอ่ยว่า “ขอรับ เรือนชั้นดีหนึ่งห้อง วันละศิลาวิญญาณสองก้อน”
ศิลาวิญญาณสองก้อน? ราคานี้กลับแพงอยู่บ้าง โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว ยังไม่ถามออกมา พนักงานนั้นฉลาดปานใด ยิ้มแย้มตอบแล้วว่า “ผู้อาวุโสไม่ทราบ โรงเตี๊ยมพวกเรารับรองที่พักให้ผู้ฝึกเซียนโดยเฉพาะ ที่แดนมารนี้ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงนิดหน่อย ดังนั้นราคาสูงอยู่บ้าง”
โม่เทียนเกอคิดแล้วยอมรับคำอธิบายนี้ มองเนี่ยอู๋ชาง เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่เห็นศิลาวิญญาณสองก้อนต่อวันอยู่ในสายตา จึงเอ่ยว่า “นำทางเถอะ”
พนักงานทำท่า “เชิญ” อย่างนอบน้อม “ผู้อาวุโสทั้งสองโปรดตามข้ามา”
โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสองคนกำลังจะตามผู้ฝึกตนระดับต่ำคนนี้เข้าไป จู่ ๆ ที่ปากประตูโรงเตี้ยมมีคนก้าวเข้ามาหนึ่งคน ปราณมารเต็มร่าง “สหายเต๋าที่ฝึกเซียนทั้งสองท่าน โปรดรั้งเท้า!”
————
พนักงานยังไม่แน่ว่าเป็นหญิงหรือชาย เราใส่เป็นผู้ชายไปก่อนค่ะ อาจจะแก้ไขก็ได้
ตอนที่ 393 – เจ้าเมืองเชิญพบ